ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 144-1 ขะ…เข้าวังขอพระราชทานอภัยอีกแล้ว??!
เว่ยฉางเจวียนถูกเว่ยฉางอิ๋งและองค์หญิงอันจี๋จัดการต่อเนื่องกัน ภายหลังก็ยังถูกเว่ยฉางหว่านพี่หญิงใหญ่ของนางกำชับว่าในงานเลี้ยงครานี้นางต้องเรียบร้อยให้มาก นางไม่มาหาเรื่อง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่มีเวลาไปหานาง จึงไปสอบถามคนสองสามคน และจนหาที่ที่ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนอยู่เจอ นางพบว่าพวกนางกำลังสนทนากับเติ้งวานวานอยู่อย่างออกรสออกชาติ ยิ่งไปกว่านั้นข้างๆ ก็ยังมีคุณหนูมีตระกูลที่อายุไล่เลี่ยกันนั่งอยู่ด้วยอีกสองสามคน เช่นฮั่วชิงหลิงก็อยู่ในนั้นด้วย
เว่ยฉางอิ๋งยืนอยู่ข้างๆ พักหนึ่ง เห็นว่าเพราะได้เติ้งวานวานช่วยแนะนำ ทำให้ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนสนิทสนมกับบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวงได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ตนคอยดูแลพวกนางอีก หากเวลานี้ตนเข้าไป กลับกลายเป็นว่าไปขัดจังหวะพวกนางสนทนากันเสียอีก
นางคิดสักพักจึงไปหานางหลิว นางหลิวเห็นนางเดินมาก็พยักหน้ารับน้อยๆ แล้วทักทายว่า ข้ากำลังคิดอยู่ทีเดียวว่าเจ้าคงจะมาแล้ว รีบมานั่งเถิด ข้าให้พวกเขาเก็บที่นั่งเอาไว้ให้เจ้า”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปนั่งในที่ว่างข้างๆ นาง นางหลิวบอกกล่าวกับคนที่นางคุยด้วยอยู่ก่อนหน้า แล้วหันหน้ามาเอ่ยถามนางเบาๆ ว่า “เรื่องก่อนหน้านี้?”
“พระชายาท่านอ๋องรุ่นให้ข้าทายาให้องค์หญิงชิงซินสักหน่อย ภายหลังองค์หญิงจึงบอกว่าจะไม่ถือสาข้าแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหนหนึ่ง กล่าวว่า “ภายหลังข้าไปพบกับลูกผู้น้องบ้านท่านอาหญิงใหญ่สองคนที่ศาลา เมื่อครู่นี้จึงไปดูพวกนางนั่งอยู่ที่นั่น”
นางไม่อยากพูดสิ่งใดมากบนโต๊ะอาหาร จึงจงใจตัดเรื่องระหว่างกลางช่วงใหญ่ทิ้งไปเสีย แต่กลับไม่คิดว่าข่าวคราวจะส่งมาเร็วนัก นางหลิวได้ฟังแล้วกลับถามขึ้นมาทันใดว่า “มิใช่ว่าระหว่างนั้นเจ้าก็เชิญเว่ยฉางเจวียนออกไป แล้วภายหลังเว่ยฉางเจวียนก็กลับมาเพียงลำพัง แล้วทิ้งให้เจ้าอยู่กับองค์หญิงอันจี๋หรอกหรือ? องค์หญิงพระองค์นี้…”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง แล้วจึงเพิ่งสังเกตว่านางหลิวจับจ้องมาที่นางด้วยสายตาเป็นประกาย สังเกตจับจ้องมาที่คอเสื้อ ผมเผ้าและเครื่องประดับของตน คล้ายต้องการหาร่องรอยที่ถูกองค์หญิงอันจี๋จัดการมา นางเผลอหัวเราะออกมา กล่าวว่า “มีเรื่องเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ ทว่าก็เพียงพูดคุยกันไม่ถึงสองประโยค แล้วก็นึกถึงงานเลี้ยงทางนี้ จึงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางหลิวฟังออกว่านางตอบเลี่ยงเรื่องหนักให้เป็นเบา จึงยิ้มแล้วว่า “ข้าก็หาได้หมายความเป็นอย่างอื่น เพียงแต่วันนี้ องค์หญิงอันจี๋ตีองค์หญิงชิงซินเพื่อเจ้า เรื่องนี้… เกรงว่าเมื่อกลับแล้วก็ต้องพิจารณากันให้ถ้วนถี่สักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ไปได้ยินข่าวลือนี้มาแต่ที่ใดเจ้าคะ?”
“มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?” นางหลิวสะดุ้ง
ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าข่าวสารนี่ช่างมาได้รวดเร็วนัก ทางหนึ่งก็บอกว่า “รวมครานี้แล้ว ข้าก็เพิ่งได้พบกับองค์หญิงอันจี๋สามครั้ง สองครั้งก่อนนอกจากกล่าวทักทายไปคำหนึ่ง ก็ไม่ได้สนทนากัน พี่สะใภ้ท่านว่าอยู่ดีๆ องค์หญิงอันจี๋จะไปตีองค์หญิงชิงซินเพื่อข้าได้อย่างไร?”
ความจริงแล้วครั้งนางหลิวได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้ก็ไม่ใคร่เชื่อนัก หากเป็นนางตวนมู่ นางหลิวก็จะยังรู้สึกว่าน้องสะใภ้จงใจปิดบังตน แต่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะมาจากเฟิ่งโจวและแต่งเข้าบ้านมาเมื่อต้นเดือนสี่ปีนี้อย่างจริงแท้แน่นอน องค์หญิงอันจี๋ก็อ่อนกว่าเว่ยฉางอิ๋งเล็กน้อยและเป็นองค์หญิงร้ายกาจที่สตรีชั้นสูงทั่วเมืองหลวงล้วนเห็นว่าเติบโตอยู่ภายในวัง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งสองคนนี้เพิ่งได้พบกันสองสามหน ทั้งยังไม่เคยสนทนากันตามลำพังเลย แล้วจะกลายมาเป็นพวกเดียวกัน?
เวลานี้นางจึงพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่คนในงานเลี้ยงล้วนพากันแอบซุบซิบกันเรื่องนี้ ข้ากลับมิได้หมายความเป็นอื่น องค์หญิงชิงซินเป็นที่รักของ ฮ่องเต้และฮองเฮายิ่งนัก กลัวว่าน้องสะใภ้สามเจ้าจะถูกคนลากลงน้ำไปด้วยอย่างไม่มีสาเหตุ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงอธิบายกับนางว่า “ตอนนั้น องค์หญิงชิงซินเอ่ยถึงท่านหญิงเจินอี้ คำพูดก็ค่อนข้างจะ… องค์หญิงอันจี๋กริ้วหนัก องค์หญิงทั้งสองจึงโต้เถียงกันสองสามคำ องค์หญิงอันจี๋บอกว่าจะลากตัวองค์หญิงชิงซินกลับวังไปสอบถามเอาความเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่านางออกแรงมากเกินไป จึงลากองค์หญิงชิงซินไปกับพื้นจนหกล้ม หลังจากนั้น พระชายาท่านอ๋องรุ่นรีบมาถึง จึงให้ข้าตามไปใส่ยาให้องค์หญิงชิงซิน จากนั้นองค์หญิงก็บอกกับข้าว่าจะไม่ทรงถือสาเรื่องนี้แล้ว”
นางหลิวส่งเสียงซีออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านหญิงเจินอี้? ข้ารู้แล้ว มิน่าเล่า! แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงอันจี๋ทรงกตัญญูกับท่านหญิงเจินอี้เป็นอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนรู้ว่าไม่อาจทำการใดๆ ที่ไม่เคารพต่อท่านหญิงเจินอี้ต่อหน้านาง” แล้วบอกว่า “องค์หญิงชิงซินอายุยังน้อย ความจริงแล้วมีความคิดอ่านไม่ซับซ้อน ที่จู่ๆ ครานี้มาจัดการกับน้องสะใภ้สามเจ้าโดยตรง ข้าเกรงว่าเบื้องหลังอาจมีเงื่อนงำ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เงื่อนงำในเรื่องนี้ เพราะพี่สะใภ้ใหญ่ไว้หน้าข้าจึงไม่เอ่ยออกมา ขอเพียงมีตา ผู้ใดจะมองไม่ออก? จะว่าไปแล้ว นับแต่ข้ามาถึงเมืองหลวง นอกจากกลับบ้านไปวันนั้น ข้าก็ไม่ได้ไปขอคำชี้แนะจากท่านอาสะใภ้รองอีกเลย ก็มินาเล่าที่ลูกผู้น้องทั้งสองซึ่งเป็นบุตรของท่านอาสะใภ้รองจึงมีความคิดเห็นบางประการกับข้า”
“น้องสะใภ้สามกล่าวถูกต้องแล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกัน ควรไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จึงสามารถกำจัดคนนอกไม่ให้เข้ามายุแยง จนทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขต้องหมางใจกัน” นางหลิวเอ่ยพลางพยักหน้า
เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้อง ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่ตักเตือนเจ้าค่ะ”
ในงานเลี้ยง พวกนางไม่ได้สนทนากันอีก จนถึงเวลาเลิกงาน… เดิมที พระชายาท่านอ๋องรุ่นอยากให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่ต่อเพื่อขอบคุณกันตามลำพัง ทว่าเมื่อมาเกิดเรื่ององค์หญิงอันจี๋ลงไม้ลงมือกับองค์หญิงชิงซินเสียก่อน และองค์หญิงชิงซินก็ยังได้รับบาดเจ็บด้วยในครานี้ ทุกคนในจวนท่านอ๋องรุ่นก็คล้ายต้องฝืนทำใบหน้ายิ้มแย้มส่งพระธิดาเฉิงเสียนออกเรือน เวลานี้คนทั้งจวนต่างพากันใคร่ครวญว่าจะชี้แจงกับ ฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างไรก็ยังไม่ทันแล้ว พระชายาท่านอ๋องรุ่นเองจึงไม่มีแก่ใจจะรั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้แล้ว ได้แต่กุมมือนางแล้วเอ่ยคำตามมารยาทไปสองสามคำ จากนั้นก็อธิบายไปโดยอ้อมๆ ว่าตนเองเชื้อเชิญเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยเจตนาดี แต่กลับทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องมาถูกองค์หญิงชิงซินหาเรื่องหาราว
แต่นี่ก็เป็นเพราะพระชายาท่านอ๋องรุ่นละเอียดรอบคอบ ทางฝั่งของฮ่องเต้และ ฮองเฮานั้น ต่อให้ครานี้องค์หญิงชิงซินหลงลืมตัวจนทำให้เสื่อมเสียเพียงใด นางก็ถูกปลอบโยนจนรื่นเริงขึ้นมาแล้ว แต่บาดแผลที่หัวเข่ากลับปิดบังไม่ได้ ดูจากความรักใคร่เอาใจที่ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงมีต่อพระราชธิดาองค์เล็กพระองค์นี้แล้ว จะต้องมาสอบถามเอาความจากจวนท่านอ๋องรุ่นแน่นอน แต่ทางฝั่งของเว่ยฉางอิ๋ง …เดิมทีนางต้องติดตามฮูหยินซูแม่สามีมาดื่มสุรามงคลที่บ้านตระกูลกู้ หากเป็นดังนั้นแล้วก็จะไม่ได้พบกับองค์หญิงชิงซิน และวันนี้ก็จะไม่มีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้แล้ว
ฉะนั้นหากจะเอาแต่กล่าวโทษว่าเป็นเพราะเชิญเว่ยฉางอิ๋งมาจึงทำจวนท่านอ๋องรุ่นต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ก็ไม่แน่ว่าทางฝั่งของเว่ยฉางอิ๋งอาจเคลือบแคลงใจว่า ทั้งจวนท่านอ๋องรุ่นและองค์หญิงชิงซิน รวมทั้งเว่ยฉางเจวียนร่วมมือกันไว้ล่วงหน้าเพื่อจัดการนาง!
ในเมื่อล่วงเกินฮ่องเต้และฮองเฮาไปแล้ว พระชายาท่านอ๋องรุ่นจึงไม่ต้องการไปล่วงเกินหลานสาวแท้ๆ ของประมุขในตระกูลฝั่งบ้านมารดาของตนอีก หากแต่อธิบายกับนางให้ชัดเจนแล้วจึงค่อยให้นางไป
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่กล่าวโทษพระชายาท่านอ๋องรุ่น จะว่าไปแล้ววันนี้ พระชายาท่านอ๋องรุ่นก็ได้รับเคราะห์หนักหนาจริงๆ แต่งบุตรสาวออกเรือนดีๆ อยู่แท้ๆ แต่กลับเพราะต้องการเชิญเว่ยฉางอิ๋งมา จึงไม่อาจไม่เชิญญาติๆ คนอื่นๆ ในตระกูลเว่ยมาด้วย เป็นต้นว่าเว่ยเซิ่งเซียนแม่ลูก และบ้านของเว่ยเซิ่งอี๋ ปรากฏว่าเชิญไปเชิญมาก็ไปเชิญคนเช่นเว่ยฉางเจวียนมาด้วย คราวก่อนเพิ่งมีเรื่องกันที่จวนตระกูลซูมาหนหนึ่ง มาที่จวนอ๋องก็ยังไม่วายเว้น
ยามอำลาออกมา เห็นเพียงรอยยิ้มแสนแข็งขืนเป็นที่สุดของพระมารดาท่านอ๋องรุ่นยามส่งแขกกลับ พระชายาท่านอ๋องรุ่นต้องถูกแม่สามีตำหนิเป็นแน่แท้
เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจยามเดินออกจากประตู แล้วสั่งเสิ่นจวี้ว่า “เจ้าไปซื้อป้ายเทียบจากในเมืองก่อน แล้วนำไปให้ที่บ้านท่านอารอง”
—————————————–