ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 135-1 เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียเถิด
นางกู้เชิญทุกคนกลับที่นั่งของตน แล้วสั่งสาวใช้ให้เปลี่ยนอาหารร้อนๆ มาใหม่ทั้งหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงลากเสิ่นจั้งหนิงมา แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หูของเจ้านี้ ไวเหลือหลาย ข้ายังนึกว่าวันนี้ในงานเสียงอึกทึกนัก ทั้งยังมีเสียงเครื่องดนตรีอีก เห็นเจ้านั่งฟุบท่าทางซังกะตายอยู่ตรงนั้น ไม่นึกว่าจะได้ยินสิ่งที่เว่ยฉางเจวียนพูด!”
เสิ่นจั้งหนิงเบ้ปาก กล่าวว่า “พี่สะใภ้สามท่านไม่เห็น เว่ยฉางเจวียนนั่นมองมาที่ข้าก่อนคราหนึ่ง แล้วเห็นว่าข้าไม่ได้สนใจคำที่ท่านเอ่ยถามเท่าใดนัก นางจึงได้เดินมา ข้าเดาว่านางต้องนึกว่าข้าไม่ได้ใส่ใจตอบคำท่าน ย่อมต้องเป็นเพราะข้าไม่ดีต่อท่าน ว่าแล้วเชียว ว่าต้องจงใจมาพูดจายุแยงพวกเรา เพื่อให้ข้าได้ยินแล้วก็จะได้ขุ่นเคืองท่าน!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “มีเรื่องนี้ด้วยหรือ? ข้ากลับไม่ได้สังเกตเห็นจริงๆ!” แม้จะบอกว่าเสิ่นจั้งหนิงช่วยตนไว้ แต่จะอย่างไรเว่ยฉางเจวียนก็เป็นลูกผู้น้อง เมื่อน้องสาวบ้านตนเองมาแทงข้างหลัง กลับเป็นน้องสามีเสียอีกที่เป็นฝ่ายยึดหลักคุณธรรม … เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเสียหน้านัก จึงถอนหายใจพลางว่า “วันนี้ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
เสิ่นจั้งหนิงหึออกมาคำหนึ่ง “ข้าชังคนเช่นนี้เป็นที่สุด ใช้ข้ามาเล่นงานพี่สะใภ้เชียว? การยืมดาบฆ่าคนที่มองออกได้ชัดเจนเพียงนี้ ข้าหรือจะตกหลุมพราง คงมีแต่พวกโง่เช่นเว่ยฉางเจวียนเท่านั้นที่คิดเรื่องเช่นนี้ออก หากมิใช่เพราะเห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันดีที่ลูกผู้พี่หญิงใหญ่ออกเรือน นางกล้ามาดูแคลนข้าดังนี้ ข้าหรือจะไปช่วยนางไกล่เกลี่ยให้เรื่องสงบลง ข้าไม่ข่วนหน้านางจนยับเยินก็แปลกแล้ว!”
“น้องสี่หลักแหลมเพียงนี้ หากผู้ใดเห็นว่าเจ้าเป็นคนโง่ คนผู้นั้นต่างหากที่โง่จริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ พลางชี้นิ้วไปแตะที่หว่างคิ้วของนาง “เจ้าดูสิขาหมูตุ๋นน้ำแดงของโปรดของเจ้ามาแล้ว พี่สะใภ้ไม่รบกวนเวลาเจ้าทานแล้ว กลับไปที่โต๊ะก่อนเถิด พวกเรากลับเรือนแล้วค่อยคุยกัน”
เสิ่นจั้งหนิงหันหัวไปดูปรากฏว่าเป็นขาหมูตุ๋นน้ำแดงที่กำลังกรุ่นพร้อมกลิ่นน้ำตุ๋นหอมหวนปะทะเข้ามาที่จมูกกำลังยกเข้ามา นางก็ดีใจยกใหญ่ รีบเอ่ยไปผ่านๆ คำหนึ่งว่า “ตกลงๆ” แล้วกลับไปทานที่โต๊ะอย่างมีความสุข
ส่วนทางนี้ นางกู้กลับเดินมาหาด้วยตนเองและสั่งให้คนยกนกพิราบย่างซึ่งเป็นอาหารที่เว่ยฉางอิ๋งโปรดปรานมาให้นาง อาศัยจังหวะที่สาวใช้ยกอาหารมาให้ นางกู้จึงแอบกระซิบบอกว่า “เมื่อครู่นี้ข้าไปเลาเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านสะใภ้สามฟังแล้ว ท่านอาสะใภ้สามบอกว่า ในเมื่อน้องเว่ยเจ็ดคิดถึงญาติที่เฟิ่งโจวเพียงนี้ หากไม่ทำให้นางสมหวังก็คงแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว ถือโอกาสที่นางยังไม่ออกเรือน ส่งนางกลับไปทำหน้าที่เด็กกตัญญูกับญาติผู้ใหญ่ที่เฟิ่งโจวสักสองวันเสียเลย จักได้ไม่เสียแรงที่วันนี้นางคิดถึงญาติๆ จนถึงขั้นต้องมาหลั่งน้ำตาต่อหน้าธารกำนัล!”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึง จากนั้นมุมปากของนางก็ค่อยๆ โค้งขึ้นมา หากเว่ยฉางเจวียนกลับไปที่เฟิ่งโจว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอนาคตของนางเลย ลำพังแค่ชีวิตน้อยๆ ของนางก็ต้องสุดแล้วแต่ว่าท่านย่าจะให้เป็นเช่นใดก็ต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว แม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางทุ่มเทกำลังวางแผนต่างๆ ไว้สำหรับหลานสาวบ้านใหญ่เช่นตนมาเป็นอย่างดี แม้แต่บ่าวติดตามหลังแต่งงานก็ยังตระเตรียมเอาไว้ให้ตั้งแต่ตนยังไม่ทันลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับสายเลือดของบุตรธิดาของเหล่าอนุนั่นหรือ… แต่ไรมา แม่เฒ่าซ่งก็ไม่เคยเห็นว่าลูกหลานเหล่านี้เป็นคนอยู่แล้ว
โดยเฉพาะคนบ้านสอง!
เพียงแค่ประโยคเดียวว่าให้เว่ยฉางเจวียนกลับไปเฟิ่งโจว ชั่วชีวิตนี้นางก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของแม่เฒ่าซ่งไปได้เลย!
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเพราะเว่ยฉางเจวียนเลอะเลือนไม่รู้จักคิด การที่นางมาเป็นปรปักษ์กับเว่ยฉางอิ๋งด้วยสาเหตุจากบิดาของนาง เรื่องนี้ก็นับว่ามีเหตุผล ทว่าวันใดไม่รู้จักเลือก แต่กลับมาเลือกลงมือวันนี้ซึ่งเป็นวันที่ซูอวี๋ลี่ออกเรือน เพราะบุตรสาวต้องแต่งออกจากเรือน ทำให้เดิมทีเว่ยเจิ้งอินก็อารมณ์สับสนวุ่นวายยิ่งนักอยู่แล้ว หลานสาวบ้านมารดายังต้องมาถูกหักหน้าอีก … มารดาที่รักบุตรสาวทุกคน เมื่อได้มารู้ดังนี้แล้วจะไม่รู้สึกโมโหได้อย่างไร?
เว่ยเจิ้งอินได้รับอิทธิพลมาจากแม่เฒ่าซ่งมารดาของตน แต่ไรมานางก็มองเห็นแต่เพียงบุตรธิดาของเว่ยเจิ้งหงพี่ชายแท้ๆ ของตนเท่านั้นที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ความสัมพันธ์ของนางกับเว่ยเซิ่งอี๋พี่ชายคนรองซึ่งเป็นบุตรของอนุจึงบางเบานัก และนางก็ไม่ได้ให้ความสนิทชิดเชื้อกับบุตรธิดาของเว่ยเซิ่งอี๋ด้วย แล้วยามนี้ทั้งที่ไม่มีเรื่องใด แต่เว่ยฉางเจวียนก็ยังมาหาเรื่องหาราว ว่าแล้ว ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอกของเว่ยเจิ้งอินจะไม่ประเดประดังใส่นางได้หรือ? เว่ยเจิ้งอินจึงหมายความว่า ให้ยกเอาเรื่องที่เว่ยฉางเจวียนเอ่ยต่อธารกำนัลว่านางคิดถึงท่านปู่ท่านย่ามาอ้าง แล้วบีบนางให้กลับไปเฟิ่งโจวเสีย
แม่เฒ่าซ่งเป็นคนเช่นใด เว่ยเจิ้งอินยังจะไม่รู้ดีหรือ? ลำพังแค่บอกว่า ‘ในวันที่ซูอวี๋ลี่ออกเรือน ฉางอิ๋งพูดไปประโยคหนึ่งว่าคิดถึงท่านแม่ท่าน ฉางเจวียนก็มาบอกต่อหน้าน้องสามีของฉางอิ๋งว่านางให้ความสำคัญกับบ้านฝั่งมารดามากกว่าบ้านสามี’ ประโยคเดียว แม่เฒ่าซ่งก็สามารถถลกหนักของเว่ยฉางเจวียหนีเวยอีอกมาแล้ว! แม่เฒ่าซ่งต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจตั้งกี่ปี เพื่อเตรียมป้องกันบ้านสองเหมือนกับเตรียมป้องกันโจรร้าย ก็เพื่อสิ่งใดเล่า? ก็มิใช่เพื่อให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนสามารถมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขหรอกหรือ?
แรกเริ่มนั้น แม่เฒ่าซ่งต้องทุ่มจิตใจอย่างสุดกำลัง เพื่อเรื่องแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง และสิ่งที่นางวอนขอก็ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากให้เว่ยฉางอิ๋งได้อยู่อย่างสงบสุขไรกังวลไปตลอดชีวิต เว่ยฉางเจวียนทำสิ่งใดไม่ทำ ลำพังเรื่องที่นางเป็นบุตรสาวของเว่ยเซิ่งอี๋ แม่เฒ่าซ่งก็ชังนางไว้ก่อนหน้าแล้วหลายส่วน ยามนี้กลับยังกล้ามาสร้างความลำบากใจให้เว่ยฉางอิ๋ง …สำหรับแม่เฒ่าซ่งแล้ว เรื่องนี้จะต้องเป็นความอกตัญญูไร้คุณธรรม และมีเจตนาร้ายอยู่ในใจเป็นแน่แท้ …สรุปก็คือหลานสาวผู้นี้ไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้อีกแล้ว!
เมื่อเห็นว่านางกู้พูดจบแล้วก็ยังไม่มีท่าทีจะไป เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ท่านอาหญิงรองเห็นอกเห็นใจน้องเจ็ดนะเจ้าคะ จะว่าไปก็จริงๆ เชียว น้องเจ็ดคิดถึงญาติๆ ที่เฟิ่งโจวเพียงนั้น หากไม่ให้นางได้ไปพบหน้าสักหนก็ไม่ดีจริงๆ ท่านปู่และท่านย่าก็มีอายุมากแล้ว ท่านปู่ไม่อาจไปจากเฟิ่งโจวได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ต้องคอยดูแลอยู่ต่อหน้าท่านปู่ท่านย่า ล้วนไม่สะดวกมาเมืองหลวงเพื่อให้น้องเจ็ดมาคารวะได้ หากน้องเจ็ดไม่ถือโอกาสในช่วงที่ยังไม่ออกเรือนซึ่งยังเป็นเวลาที่ยังอิสระเสรีอยู่ กลับไปปรนนิบัติญาติๆ ทุกคนสักระยะหนึ่ง วันหน้านอกจากได้แต่งกลับไปอยู่ที่เฟิ่งโจวแล้ว หาไม่ก็จะยิ่งไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันแล้ว”
นางกู้เอ่ยยิ้มๆ “น้องฉางอิ๋งพูดสิ่งใดกัน มีที่ใดที่เมื่อคนรุ่นหลานอยากพบญาติแล้วตนกลับไม่เป็นฝ่ายไปคารวะเอง แต่กลับจะให้ญาติผู้ใหญ่มาหา?”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วหัวเราะ
อีกทางหนึ่ง เว่ยฉางเจวียนไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดไร้แก่นสารที่ตนเอ่ยออกไปโดยไม่ทันคิดถูกท่านอาหญิงรองจับผิดได้แล้ว นางยังมาโทษหลิวรั่วเหยียอีกว่า “พี่หลิว ที่พี่สามเอ่ยเมื่อครู่นี้ เดิมทีก็ไม่สมควรอยู่แล้ว ข้าเอ่ยออกไปให้ทุกคนได้พิจารณาดูตามหลักเหตุผล นั่นก็เพราะตระกูลเว่ยให้ความสำคัญกับหลักปฏิบัติของสตรี! ข้าซึ่งเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนก็ยังรู้ข้อห้ามนี้ดี พี่สามซึ่งเป็นฮูหยินที่ออกเรือนแล้วกลับไม่รู้! เหตุใดท่านต้องไปทำตามคำของเสิ่นจั้งหนิง และทำให้เรื่องนี้สงบลงเล่า?”
หลิวรั่วเหยียถอนหายใจบอกว่า “โธ่ ข้าก็ว่าแล้ว เพียงชั่วเวลาที่ข้าหันหลังไป เหตุใดน้องเจ็ดเจ้าจึงวิ่งไปทางพี่เว่ยสามเสียแล้วเล่า? ที่แท้ก็เป็นเพราะข้าปากมาก เรื่องนี้ล้วนเป็นข้าไม่ดีเอง จึงกลายเป็นการทำร้ายเจ้าไปเสียแล้ว”
เว่ยฉางเจวียนรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้โทษพี่หลิว เมื่อครู่นี้ยามพี่หลิวมาระบายให้ข้าฟัง ว่าพี่สามนางพูดจาไม่เหมาะสม ทั้งยังเรียกขาท่านอาหญิงรองอย่างไม่สมควร พี่หลิวท่านก็บอกข้าแล้วว่ายามนี้ไม่เหมาะจะเข้าไปพูดกับนาง เพื่อมิให้พี่สามนางวางตัวไม่ถูกและไม่รู้จักหาทางลงอย่างไร แต่กลับเป็นข้าเองที่…”
“น้องเจ็ด เจ้ากลัวว่าพี่เว่ยสามพูดจาไม่ระวัง หากเสิ่นจั้งหนิงได้ยินเข้าแล้วอาจะเอาไปฟ้องยามกลับเรือน เจ้าจึงเข้าไปตักเตือนนาง ทั้งหมดก็เพราะเจ้าปรารถนาดี” หลิวรั่วเหยียมองไปรอบๆ หนหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “แต่เจ้าลองคิดดูสิว่าวันนี้เป็นวันใด? พี่หญิงใหญ่ตระกูลซูออกเรือน ไม่ว่าจะมีเรื่องใด หากทำให้เกิดเรื่องไม่เป็นมงคลก็จะไม่ดี มิใช่หรือ?”
____________________________