ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 127 นางอวี๋
หลังจากกลับจากบ้านซู ย่อมต้องไปรายงานเรื่องอาการป่วยของเว่ยเจิ้งอินกับฮูหยินซู ฮูหยินซูฟังเว่ยฉางอิ๋งเล่าอย่างมีเหตุมีผลว่าอย่างมากอีกวันสองวัน เว่ยเจิ้งอินก็น่าจะอาการดีขึ้นแล้ว “ปรากฏว่ามิได้กระทบกับกำหนดแต่งงานของลูกผู้พี่หญิงเจ้าค่ะ” ฮูหยินซูจึงมีสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้มิใช่บอกว่าท่านแพทย์หลวงจี้ยังวินิจฉัยไม่ออกว่าเป็นโรคใด? กลับทำเอาข้าตกอกตกใจหมด …ที่แท้ก็ไม่หนักหนาหรอกรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ก่อนหน้านี้สะใภ้ก็ตกใจไม่เบาเช่นกันเจ้าค่ะ ปรากฏว่าเมื่อไปพบท่านอาแล้วจึงทราบ เพราะท่านอารู้สึกว่าเป็นเพียงอาการป่วยเล็กน้อย ไม่อยากทานยา จึงไม่ยอมให้ท่านแพทย์หลวงจี้ตรวจอาการ และทำให้พูดกันไปว่าท่านแพทย์หลวงจี้วินิจฉันโรคไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างมีความคิดบางอย่างในใจว่า “แล้วภายหลังเล่า?”
“ภายหลังสะใภ้ให้ท่านอาหวงตรวจอาการท่านอาเจ้าค่ะ ท่านอาหวงจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยเรียนวิธีรักษาพื้นบ้านที่ไม่ต้องใช้ยามาจากท่านหมอเทวดาจี้เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “ท่านอาจึงยอมรักษา ท่านอาหวงบอกว่าร่างกายของท่านอาแข็งแรงดี ความจริงแล้วไม่ทานยาก็ไม่เป็นไร ยามนี้จึงใช้การรักษาแบบพื้นบ้าน วันพรุ่งก็จะต้องหายดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ก็ดีจริงๆ” แม้ฮูหยินซูจะเอ่ยมาดังนี้ ทว่าสีหน้ากลับสงบนัก นางพยักหน้ากล่าวว่า “กำหนดแต่งงานของอวี๋ลี่และอวี๋หลีเร่งรัดเข้ามาเช่นนี้ อีกทั้งยังติดต่อกันสองงานด้วย ท่านอาของเจ้าอย่าป่วยเป็นเด็ดขาด”
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นท่าทีเช่นนี้ของแม่สามี ก็รู้ว่าแม่สามีรู้ดีอยู่แก่ใจเรื่องการต่อสู้ทั้งในทางลับและทางแจ้งระหว่างสะใภ้สองบ้านในบ้านฝั่งมารดาของตน โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าเว่ยเจิ้งอิน ‘ล้มป่วย’ ครานี้ แม้ฮูหยินซูซึ่งไม่ได้กลับไปบ้านมารดาแต่ก็ยังรู้ว่าเว่ยเจิ้งอินจงใจแกล้งป่วยด้วยหวังจะถ่วงเวลางานแต่งของบุตรสาวและจะได้แก้แค้นนางเฉียนแม่ลูก เช่นนั้นแล้วคนบ้านซู โดยเฉพาะซูผิงจ่านจะไม่รู้ชัดแจ้งได้อย่างไร?
เว่ยฉางอิ๋งจึงแอบยินดีอยู่ในใจว่า ดีที่ซูอวี๋ลี่เป็นคนเห็นแก่ส่วนรวม และเตือนเว่ยเจิ้งอินให้วางท่าทีใจกว้างกับเรื่องนี้เสีย หาไม่แล้วก็จะเป็นดังเช่นที่ซูอวี๋ลี่บอก ว่าต่อให้ซูผิงจ่านจะไม่มาตำหนิบ้านสามเพราะเหตุนี้ และจะรู้สึกว่าทั้งสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามก็เป็นเพียงของไร้ราคาตามข้างทาง …แล้วจากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่บ้านใหญ่ล่วงเกินบ้านสามอยู่หลายครั้งหลายหน เวลานี้บ้านสามยังไม่ทันมีอำนาจก็มาเอาคืนเช่นนี้แล้ว หากบ้านสามมีอำนาจขึ้นมาวันใด แล้ววันหน้าจะยังมีทางรอดหรือ?
อย่าได้เกิดเรื่องน่าขัน ที่เป็นเพราะบ้านใหญ่และบ้านสามทะเลาะเบาะแว้งกันดุเดือด แล้วสุดท้ายบ้านสองก็ได้ผลประโยชน์ไปเงียบๆ!
เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกโล่งใจแทนเว่ยเจิ้งอิน และกล่าวว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เมื่อได้พบท่านอาวันนี้ ท่านอาก็ร้อนใจยิ่งนัก ยังกำชับทั้งสะใภ้และลูกผู้พี่หญิงใหญ่ ลูกผู้พี่หญิงรองว่าในช่วงเวลานี้อย่าห่วงแต่ให้ในห้องเย็นๆ เพื่อมิให้เป็นเหมือนกับท่านอาที่ครานี้ใช้น้ำแข็งมากเกินไป พอนอนไปคืนหนึ่งก็ปวดหัวขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูร้องเอ๋ไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “วันนี้อวี๋หลีก็ไปเยี่ยมท่านอาเจ้าด้วย?”
“ก็มิใช่หรือเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางเล่าเรื่องทั้งหมดโดยคร่าวๆ ให้ฟัง “จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีเจ้าค่ะ เมื่อลูกผู้พี่หญิงรองมาก็บอกว่าจะมาขอขมา กลับทำให้ทั้งท่านอาและลูกผู้พี่หญิงใหญ่งงไปหมด ปรากฏว่าภายหลังจึงทราบเรื่อง ว่าเดิมทีผู้พี่หญิงรองเข้าใจผิดว่าที่ท่านอาล้มป่วยครานี้ เพราะโกรธท่านป้าใหญ่ที่ไปเปลี่ยนกำหนดวันแต่งงานของลูกผู้พี่หญิงใหญ่เองโดยพลการ …ท่านอาและพี่หญิงใหญ่ฟังแล้วล้วนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี และเอ่ยถามไปตรงๆ ว่าลูกผู้พี่หญิงรองไปได้ยินข่าวลือนี้มาแต่ที่ใด? มีคนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกันแท้ๆ บ้านใด จะมาโกรธเคืองกันใหญ่โตด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้กัน?”
ฮูหยินซูมองนางอย่างลึกซึ้งไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านอาของเจ้าเป็นคนเพียบพร้อมดีงามมาแต่ไร มิใช่คนเช่นนั้นแน่นอน คงเพราะมีพวกบ่าวปากเปราะ ทั้งอวี๋หลีก็ซื่อนักจึงถูกหลอกเอา”
“ท่านแม่กล่าวถูกต้องนักเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว
ฮูหยินซูพูดอีกว่า “ครานี้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของลูกผู้พี่หญิงของเจ้ากล้าไปเปลี่ยนแปลงกำหนดแต่งงานของอวี๋ลี่ นับว่าทำไม่ถูกนัก เพียงแต่เมื่อครั้งการประลองหน้าพระพักตร์ปีก่อน อวี๋เหลียงบาดเจ็บจนไม่อาจเข้าร่วมได้ เรื่องนี้ทำให้นางเสียใจนัก ยามนี้เฉียนเลี่ยนเป็นหลานชายแท้ๆ และเป็นว่าที่ลูกเขย ท่านป้าสะใภ้ของเจ้าย่อมไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดต่อความก้าวหน้าของเขา”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดลูกผู้น้องชายสี่จึงบาดเจ็บเจ้าคะ?”
“ก็เป็นอุบัติเหตุ” ฮูหยินซูถอนหายใจ กล่าวว่า “ก่อนวันชูอิกสองสามวัน เขาฝึกวรยุทธเหน็ดเหนื่อยเกินไป วันหนึ่งเมื่อฟ้ามืดหมดแล้ว ก็กลับจากสนามฝึกมาที่เรือนตน เมื่อผ่านสวนดอกไม้เล็ก มีโคมบนถนนส่วนหนึ่งถูกลมพัดจนดับไปสองโคม เขาไม่ทันรอให้บ่าวจุดไฟนำทางให้ ก็เดินตามทางที่มืดมิดไปตามความทรงจำ ปรากฏว่าไม่ทันระวังเหยียบเข้าไปในบ่อน้ำเล็กๆ ในสวน พอปีนขึ้นมาก็ไปชนเขากับภูเขาหิน ทำให้ทั้งเข่าและข้อเท้าบาดเจ็บไปหมด กระทั่งจนวันชูอิกก็ยังยืนได้อย่างลำบากยากเย็น ฉะนั้น…”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจขึ้นมาทันใดว่า การที่นางเฉียนวางแผนให้ร้ายซูอวี๋ลี่ในครานี้ก็ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย …ว่าไปแล้วบ้านใหญ่ตระกูลซูก็โชคร้ายเสียจริงๆ อยู่ดีๆ แท้ๆ ก็มาสูญเสียซูอวี๋เซี่ยนบุตรชายคนโตซึ่งมีฐานะในตระกูลมั่นคงดังขุนเขาและไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ส่วนซูอวี๋เหลียงบุตรชายแท้ๆ เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ต้องมาเจอกับอุปสรรคนานาหนแล้วหนเล่า
เริ่มด้วย ลูกผู้น้องซูอวี๋อู่เป็นคนที่เหนือกว่าเขาเป็นเท่าตัว จากนั้นเมื่อแต่ละตระกูลร่วมมือกันหาโอกาสให้บุตรหลานของตนได้ไปสร้างผลงานที่ชายแดน แต่เขากลับต้องมาเกิดอุบัติเหตุจนพลาดโอกาสทองนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เดิมทีนางเฉียนก็ไม่ได้เป็นคนใจคอกว้างขวางอยู่แล้ว กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นคนใจแคบก็ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด ครานี้บุตรชายของนางต้องล้าหลังซูอวี๋อู่ไปก้าวหนึ่ง แล้วนางจะไม่คิดเคืองแค้นบ้านสามได้อย่างไร?
ทว่า แม้นางเฉียนจะทำเช่นนี้เพราะต้องการระบายความแค้นสักหน แต่หากมองกันในระยะยาว นี่กลับเท่ากับเป็นการทำลายบุตรชายของตนเอง
“น่าเสียดายแทนลูกผู้น้องชายสี่จริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยความรู้สึกจากใจจริง
ความจริงแล้ว ด้วยฐานะบุตรชายจากภรรยาเอกในบ้านใหญ่ของซูอวี๋เหลียง ก็คงยังมีน้ำหนักอยู่บ้างในสายตาของซูผิงจ่าน หาไม่แล้ว ในเมื่อซูผิงจ่านรู้สึกว่าซูอวี๋เหลียงเป็นคนใจคอไม่หนักแน่นเด็ดขาด แล้วเหตุใดจึงยังลังเลและไม่กำหนดเสียที่ว่าจะให้คนบ้านใดรับช่วงต่อฝูเฟิงถังในภายภาคหน้า
แต่เมื่อเขามีมารดาเช่นนางเฉียนซึ่งนึกคิดไปว่านี่คือการช่วงชิงผลประโยชน์ให้บุตรสาวตน แต่อยู่ดีๆ ก็กลับทำให้ข้อดีของซูอวี๋เหลียงถูกลบเลือนไปทีละน้อย
ฮูหยินซูฟังความหมายในคำพูดของสะใภ้ออก พลันถอนหายใจ แล้วมองไปที่ถังทองแดงหยดน้ำ และกลับบอกว่า “สมควรแก่เวลาแล้ว เจ้ากลับไปที่เรือนของเจ้าเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งตอบรับไปคำหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมาเพื่อบอกอำลา ยังไม่ทันหันหลังไป ฮูหยินซูก็นึกบางสิ่งขึ้นได้และเรียกนางเอาไว้ บอกว่า “วันนี้คล้ายว่าจะมีคนจากทาง ท่านหมอเทวดาจี้มาหาเจ้า เพราะเจ้าไม่อยู่ นางเฮ่อบ่าวติดตามของเจ้าจึงตามคนผู้นั้นไปแล้ว อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์ที่บาดเจ็บของเจ้าที่อยู่กับท่านหมอเทวดาจี้”
“ท่านลุงเจียง?” เว่ยฉางอิ๋งโพล่งออกไปคำหนึ่ง ในใจพลันรู้สึกเป็นกังวล …แม้จี้ชวี่ปิ้งจะอารมณ์ร้าย ทว่าฝีมือแพทย์กลับเป็นที่เลื่องลือในเขตทะเล ยิ่งไปกว่านั้นในวันที่นางขืนส่งเจียงเจิงไปที่เรือนของเขาในวันนั้น จี้ชวี่ปิ้งก็บอกแล้วว่า เจียงเจิงพ้นขีดอันตรายแล้ว ต่อไปก็เหลือปัญหาเพียงจะรักษาให้หายได้ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ส่วนเรื่องค่ารักษา วันต่อมาเว่ยฉางอิ๋งก็ให้นางหวงนำเงินห้าร้อยเหลี่ยงมาส่งด้วยตนเองแล้ว ต่อให้ทุกๆ วันจี้ชวี่ปิ้งให้เจียงเจิงใช้ยาดีที่สุดนี่ก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน ตามหลักแล้วก็ไม่น่าถึงกับใช้หมดไวปานนี้ อีกประการหากมาเพราะต้องการเงินอีก แล้วไยต้องให้นางเฮ่อตามคนที่มาไปด้วยตนเอง?
เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดไปถึงว่า “คงมิใช่ว่าองค์รัชทายาทสืบหาร่องรอยของท่านลุงเจียงจนพบ แล้วรู้สึกไม่ยอมใจ ฉะนั้น…”
แม้คราก่อนที่เว่ยเจิ้งอินพานางเข้าไปขอพระราชทานอภัยในวัง ฮองเฮาจะมีท่าทีอ่อนโยนว่าง่าย ทั้งยังแสดงออกโดยอ้อมว่าจะต้องจัดการคนชั่วที่อยู่รอบกาย องค์รัชทายาทให้จงดี และรับประกันเป็นนัยๆ ว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก
แต่หลังจากเกิดเรื่องหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ และฮูหยินซูก็พาสะใภ้เข้าวังไปขอพระราชทานอภัยครั้งนั้น ฮองเฮากู้ก็มิใช่ว่าพูดในทำนองเดียวกัน? แต่หลังจากนั้นองค์รัชทายาทก็เกือบจะตีเจียงเจิงตายคาที่อยู่กลางถนน! เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่เชื่อสิ่งที่ฮองเฮารับประกันอีกแล้ว
คิดได้ดังนี้ เมื่อออกมาจากเรือนหลัก ฝีเท้าของนางก็ก้าวเร็วขึ้นมาทันใด
เมื่อมาถึงเรือนจินถง นางว่านเป็นคนออกมาต้อนรับ เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “มีคนจากทางท่านหมอเทวดาจี้มาหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางว่านรู้ว่าเรื่องการบาดเจ็บของเจียงเจิงเกี่ยวเนื่องถึงราชสำนัก เว่ยฉางอิ๋งได้ยินข่าวสารเพียงเล็กๆ น้อยๆ มาย่อมต้องเป็นกังวล จีบรีบเอ่ยไปว่า “เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ วันนี้จู่ๆ มีแม่นางอวี๋ผู้หนึ่งไปหาคฤหาสน์ท่านหมอเทวดาจี้จนพบ บอกว่ายินยอมจะเป็นบ่าวคอยดูแลรับใช้ท่านองครักษ์เจียง ยามนี้ท่านองครักษ์เจียงยังไม่ใคร่ได้สติ ท่านหมอเทวดาจี้รำคาญจะมาร่ำไรกับคนเช่นนี้ จึงสั่งให้พ่อจูร่างกำยำออกไปไล่แม่นางผู้ไปเสีย แต่พ่อจูร่างกำยำเป็นชาย และแม่นางผู้นั้นก็ตามตื๊อไม่เลิกรา จึงทำได้เพียงให้คนมาขอความช่วยเหลือจากทางเราเจ้าค่ะ น้องเฮ่อรู้ว่าท่านหมอเทวดาไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงไปดูก่อนเจ้าค่ะ”
“แม่นางอวี๋?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว พลันนึกถึงคนบ้านอวี๋ที่เสิ่นจั้งเฟิงไหว้วานจางผิงซวีไปตรวจสอบให้ก่อนหน้านี้… ได้ยินว่าอวี๋ฝูมีบุตรสาวหน้าตางดงามสองคน ก็ไม่รู้ว่าคนที่วิ่งมาตามตื๊ออยู่ที่คฤหาสน์จี้นี้จะเป็นแม่นางบ้างอวี๋คนโตหรือคนรอง? แม่นางคนโตอวี๋เยี่ยนเหนียงกลับเป็นถึงสนมองค์รัชทายาท แม้ยามนี้จะไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว แต่คาดว่าก็คงไม่ถึงขั้นออกมาปรากฏตัวเช่นนี้?
แต่ไม่ว่าจะเป็นแม่นางคนใด… เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมาในใจ จึงแอบคาดคะเนว่าที่วันนั้นฮองเฮากู้ย้ำนักย้ำหนาว่าคนข้างกายองค์รัชทายาทที่ไปทำร้ายท่านลุงเจียง ลุแก่อำนาจเกินไป ไม่เข้าใจความมีเมตตาขององค์รัชทายาท แล้วพาคนของตำหนักตะวันออกไปลงมือโดยพลการ …และสัญญาว่าจะจัดการคนที่อยู่ใกล้ชิดองค์รัชทายาทให้จงดี
หรือว่าฮองเฮาเตรียมจัดการคนบ้านอวี๋ ปรากฏว่าบ้านอวี๋เกิดลนลานเมื่อจวนตัวจึงรีบมาขอความเห็นใจจากเจียงเจิงที่คฤหาสน์จี้?
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก เพราะฐานะในเมืองหลวงของบ้านอวี๋ก็ไม่สูงอะไร ไม่มีปัญญาไปสอบถามถึงการเคลื่อนไหวของเว่ยฉางอิ๋ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปสอบถามหาที่อยู่ของคนที่ขึ้นชื่อว่ามีนิสัยประหลาดเอาการเช่นจี้ชวี่ปิ้ง
ไม่แน่ว่าที่อยู่ของคฤหาสน์จี้อาจเป็นองค์รัชทายาทหรือฮองเฮาบอกแก่บ้านอวี๋
“ในเมื่อท่านอาเฮ่อไปดูแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รอฟังข่าวเถิด เมื่อท่านอาเฮ่อกลับมาก็ให้รีบเชิญมาหาข้าที่นี่” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญอยู่สักพักจึงสั่งความไปดังนั้น
ยามนี้นางเองก็ไม่มีเวลาไปวุ่นวายกับเรื่องนี้ เพราะนางต้องดูแลหลายเรื่องในบ้านอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ได้ว่างเมื่อเหมือนก่อน วันนี้นางไปเยี่ยมเว่ยเจิ้งอินที่จวนซู จึงมีหลายเรื่องที่ต้องล่าช้าและรอนางมาจัดการ
นางค่อยๆ เรียกพ่อบ้านแม่บ้านที่ถูกแบ่งให้ตนเข้ามารายงานเรื่องต่างๆ และวุ่นวายเช่นนี้เรื่อยไปจนเย็นจึงสามารถให้คนออกไปจนหมด เว่ยฉางอิ๋งเรียกจูหลานเข้ามานวดไหล่ให้ตน แล้วเอ่ยถามบ่าวข้างกายอย่างสงสัยว่า “เหตุใดท่านอาเฮ่อจึงยังไม่กลับมาอีก?” ก็มิใช่แค่ไปไหล่หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง แม้จะเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเบื้องหลังของนางอวี๋ผู้นั้นอาจมีสายตาของฮองเฮาหรือองค์รัชทายาทอยู่ ทว่าจะยังไม่มาออกหน้าเพื่อนางในเวลานี้
ด้วยความร้ายกาจของนางเฮ่อก็น่าจะกำจัดเรื่องยุ่งยากนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่เท่าใดก็น่าจะสามารถไล่คนไปได้แล้วจึงจะถูก
แต่นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ต่อให้ตัดเวลาเดินทางออกไป นางเฮ่อก็ยังออกไปนานเกินไปแล้วจริงๆ
“จริงด้วยเจ้าค่ะ” นางหวงเกิดความกังวลขึ้นมาน้อยๆ “หรือว่าข้าน้อยจะลองไปดูสักหน่อย?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี…”
นางหวงได้รับคำสั่งกำลังจะออกไป กลับได้ยินคนข้างนอกร้องขึ้นมาว่า “ท่านอา ที่สุดท่านก็กลับมาเสียที เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยยังถามถึงท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
“เป็นท่านอาเฮ่อหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งรีบถาม
จูสือที่เฝ้าอยู่ข้างประตูโผล่หัวออกไปดู แล้วหดหัวกลับมาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นท่านป้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
จากนั้นไม่นานนางเฮ่อก็เข้าประตูมา เว่ยฉางอิ๋งสะบัดมือบอกให้นางไม่ต้องมากพิธี ทั้งไม่มีแก่ใจไปทักทายใดๆ กล่าวว่า “ท่านอาเฮ่อ นางอวี๋ผู้นั้นเป็นเรื่องใดกัน?”
“เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยคิดจะบอกท่านมาตลอดทางเลยเจ้าค่ะ” นางเองได้ยินคำก็พลันหัวเราะหยันไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “นางอวี๋ผู้นั้นก็คือ…บุตรสาวคนรองของอวี๋ฝู ซึ่งก็คือเถ้าแก่ร้านขนมหูปิ่งที่ก่อนหน้านี้องครักษ์เจียงมักไปอุดหนุนร้านนั้นเจ้าค่ะ ท่านว่านางวิ่งไปที่คฤหาสน์จี้ทำสิ่งใด? ที่แท้เหตุที่องครักษ์เจียงต้องไปที่ถนนซึ่งขบวนขององค์รัชทายาทจะผ่านมา ก็ล้วนเป็นเพราะหลังจากที่ซื้อขนมหูปิ่งแล้ว เขาก็ถูกพ่อของนางไหว้วานให้ช่วยไปซื้อแป้งสาลีให้ร้านของพวกเขาที่ถนนเส้นนั้นเจ้าค่ะ!”
เพราะเว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงคาดเดาและข่าวคราวจากทางจางผิงซวีมาก่อน จึงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ แต่นางหวงและคนอื่นๆ ล้วนประหลาดใจนัก กล่าวว่า “คราก่อนคุณชายสอบถามจูเหล่ยเรื่องของบ้านอวี๋ กลับเป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย? ต่างคบหากันมาตั้งแต่สมัยบิดาขององครักษ์เจียงแล้ว เหตุใด…เหตุใดจึงได้ชั่วช้าเพียงนี้!”
ทุกคนล้นพวกพากันโกรธแค้น “ไอ้พวกบ้านอวี๋แล้งน้ำใจ! ไม่ต้องเอ่ยถึงมิตรภาพที่บิดาของท่านองครักษ์เจียงมีต่ออวี๋ฝูเรื่อยมาเลย ว่ากันแต่เรื่องที่นับตั้งแต่ท่านองครักษ์เจียงมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมอันซุ่น เพราะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ จึงไปอุดหนุนกิจการของพวกเขาอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็น่าจะมีน้ำใจต่อกันบ้าง! แต่พวกเขากลับทำร้ายท่านองครักษ์เจียงเช่นนี้!”
“ทำร้ายคนยังไม่พอ หลายวันมานี้เป็นเพราะ ท่านองครักษ์เจียงนอนไม่ได้สติ ทางนั้นก็หาได้มาสอบถามว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรสักคำไม่!” นางเฮ่อแค่นเสียง กล่าวว่า “เวลานี้คาดว่าพวกเขาสืบมาได้ว่าท่านองครักษ์เจียงยังไม่ตาย ยิ่งไปกว่านั้นก็จวนจะได้สติแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่อาจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ได้ต่อไป นี่เห็นไหมเล่า จึงเสแสร้งว่ามาของเป็นคนรับใช้เพื่อไถ่โทษให้อวี๋ฝู!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “หากมีเพียงนางอวี๋คนเดียว แล้วเหตุใดท่านอาจึงต้องไล่นางนานเพียงนี้?”
______________________________________