ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 113 จางผิงซวี
เมื่อฝากฝั่งเรื่องตรวจสอบบ้านอวี๋แก่จางผิงซวีแล้ว ราวอีกสองวันต่อมาก็พอดีว่าเป็นวันหยุด จางผิงซวีจึงมาหาที่เรือนด้วยตนเองเพื่อเล่าความให้ฟัง
เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจวางใจได้ จึงเสนอความคิดต่อสามีว่าตนจะขอนั่งฟังด้วยที่หลังฉากกั้น เสิ่นจั้งเฟิงจึงเสนอให้นางออกไปต้อนรับจางผิงซวีด้วยกันกับเขาเสียเลย …บุตรชายในสายหลักของตระกูลจางในแถบชานเมืองหลวงผู้นี้ มีนามว่าลั่วหนิง นามรองว่าผิงซวี ว่ากันว่าเขาที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงว่าเป็นคนเจ้าชู้และมีความสามารถหาตัวจับยาก จึงเป็นที่รู้จักพอสมควรในหอนางโลมต่างๆ ทว่า เว่ยฉางอิ๋งก็มิได้เกิดและเติบโตในเมืองหลวง จึงเพียงแต่เคยได้ยินมาและไม่แน่ใจนักว่าข่าวคราวนี้จริงเท็จเพียงใด
คิดเพียงว่า คล้ายว่าองค์หญิงหลินชวนก็เคยหมายตาให้เขาเป็นตัวเลือกของพระสวามีมาก่อน จึงคิดว่าตัวเขาก็คงจะดูดีเสียยิ่งนัก หาไม่แล้วต่อให้เก่งกาจด้านกวีเพียงใด ก็คงจะไม่ไปเข้าตาองค์หญิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพอฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้เข้าก็ยังพิจารณาตัวเขาด้วย
วันนี้ได้มาเห็นกับตา ปรากฏว่าหน้าตาของจางผิงซวีผู้นี้หล่อเหล่าดูสุขุมมีสง่า เหมือนกับที่ในตำรา ‘ยอดผู้มีความสามารถ’ บรรยายถึงผู้มีความสามารถส่วนใหญ่เอาไว้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ที่แม้เป็นชายแต่ก็เหมือนหญิง มีถุงใต้ตา ยามชะเง้อชะแง้แลตา เหมือนกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ทั้งคล้ายตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจเช่นนั้น
แม้จะมีหน้าตาเรียกผึ้งเรียกภมร ทว่ากริยามารยาทของจางผิงซวีกลับสุขุมสำรวมนัก ยามเข้ามาทักทายปราศรัยกับเว่ยฉางอิ๋งที่ออกมาต้อนรับเขาพร้อมกับสามี เขาก็เพียงมองแต่แขนเสื้อของนางและเอ่ยทักทายไปคำหนึ่งเท่านั้น จากนั้นไม่ว่าจะกำลังตอบหรือไม่ตอบคำของเว่ยฉางอิ๋ง หางตาของเขาล้วนไม่ได้กวาดไปใกล้นางเลย ดูสุขุมสำรวม จนดูเหมือนกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองระวังตัวกับสตรีเป็นพิเศษนัก
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มในความงามของตนเอง จนถึงขั้นที่เมื่อเห็นว่าบุรุษสักคนไม่ได้ตื่นตะลึงเพราะความงามของตนแล้วก็จะไม่พอใจ แต่เมื่อเห็น จางผิงซวีมีท่าทีเคร่งขรึมเพียงนี้ ก็อดรู้สึกประหลาดใจอยู่ในใจเล็กน้อยไม่ได้ว่า คงไม่ใช่ว่าเรื่องที่จางผิงซวีมักไปเยี่ยมเยือนหอคณิกาล้วนเพียงข่าวลือเลื่อนลอยหรอกนะ? จึงคิดว่ารูปร่างหน้าตาของจางผิงซวีนั้นทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ จริงๆ ว่าเขาเป็นคนที่ชื่นชอบเชยชมหญิงงามไปทั่ว เกรงว่าคงถูกคนครหานินทาด้วยเหตุนี้มานักต่อนักแล้ว ตัวจางผิงซวีเองอยากจะลบเสียงร่ำลือเช่นนี้ไปเสีย จึงได้วางท่าทีสำรวมเป็นพิเศษ และเป็นการบอกกล่าวกับผู้อื่นเป็นนัยว่าอย่าเอาเขามาล้อเล่นด้วยคำพูดเช่นนี้
แม้นางจะออกมาต้อนรับแขกกับสามี แต่เสิ่นจั้งเฟิงและจางผิงซวีต่างก็ทักทายกันสองสามคำแล้วตรงเข้าประเด็นในทันใด ไม่ได้มีช่องว่างให้ได้พูดแทรกด้วยซ้ำ นางจึงทำได้เพียงนั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบ …พอจางผิงซวีนั่งลงก็บอกว่า “อวี๋ฝูผู้นั้นเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันกับท่านอาร่วมตระกูลข้าผู้หนึ่ง และอยู่ในหมู่บ้านนั้นมาหลายชั่วคน เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ติดกับถนนหลวง บรรพบุรุษบ้านเขาจึงมีมรดกเป็นกิจการเล็กๆ ให้เขาเปิดเป็นร้านน้ำชาเล็กๆ อยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อให้คนสัญจรไปมาได้มาพักผ่อน เจ้าว่าเจียงเจิงพ่อลูกซึ่งเคยอยู่สำนักคุ้มภัยรู้จักกับอวี๋ฝู ก็อาจจะรู้จักกันด้วยเหตุนี้ คนทั้งบ้านนี้เพิ่งย้ายจากที่นั้นมาที่เมืองหลวงเมื่อสองปีก่อน ได้ยินว่าเพราะได้เงินก้อนโตก้อนหนึ่งอย่างไม่คาดคิด จึงไม่อยากจะอยู่ในที่เล็กๆ เช่นนั้นต่อไป”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้าพลางถาม “เป็นเงินที่ไม่คาดคิดอันใด?”
“เขามีบุตรสาวสองคนล้วนมีหน้าตางดงาม ได้ยินว่าบุตรสาวคนโตนามว่าเยี่ยนเหนียง สองปีก่อนก็พอดีอายุได้สิบหกปี เดิมทีตกลงว่าจะยกให้คนบ้านหนึ่งในตำบลนั้น ทว่าภายหลัง เรื่องแต่งงานนี้กลับไม่ได้ลงเอย” จางผิงซวียิ้มน้อยๆ พลางว่า “ว่ากันว่าแม้แต่ของหมั้นก็มิได้ให้คืน ครอบครัวในตำบลนั้นก็กลับไม่ได้ไล่เรียงเอาความ เพียงแต่ไปหมั้นหมายภรรยาคนอื่นให้บุตรชายของตนเท่านั้น …นับแต่นั้นมาอวี๋เยี่ยนเหนียงผู้นั้นก็ไมได้ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย เบาะแสของนางนั้น แม้แต่ญาติไม่กี่คนของอวี๋ฝูตั้งแต่ครั้งเขายังอยู่ในหมู่บ้านก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจน ทว่าวานนี้ข้าไปตรวจสอบที่ละแวกโรงเตี๊ยมอันซุ่นด้วยตนเองแล้ว ใกล้ๆ ร้านขายขนมหูปิ่งของบ้านอวี๋นั้น มีคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งอยู่ในนามของข้าหลวงคนหนึ่งของตำหนักตะวันออก เมื่อสองปีก่อนซึ่งแทบจะเป็นเวลาเดียวกับช่วงที่อวี๋เยี่ยนเหนียงหายตัวไป ในคฤหาสน์หลังนี้ก็มีสตรีชั้นสูงผู้หนึ่งเข้าไปอยู่ นางอยู่แต่ภายในคฤหาสน์แทบไม่ออกมา คนข้างนอกจึงคิดว่าเป็นเรือนพักนอกวังของข้าหลวง ทว่าสองปีก่อนมีช่วงเวลาครึ่งปีที่มักเห็นคนเข้าออก คนที่เข้าออกนั้นแม้จะสวมเสื้อผ้าปกติทั่วไป ทว่ามีสง่าราศีไม่ธรรมดา”
เรื่องราวมาถึงตรงนี้ก็มีความชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า “ปรากฏว่าบ้านอวี๋นี่มีปัญหาจริงๆ และเรือนพักที่ว่าเอาไว้ดูแลรับรองข้าหลวงนั้นคิดว่าคงจะเป็นอวี๋เยี่ยนเหนียงแล้ว แต่ไรมาองค์รัชทายาทเป็นคนได้ใหม่ลืมเก่า พอรู้สึกสนใจก็ไปรับนางมา เมื่อไม่สดใหม่แล้วก็วางเอาไว้ไม่ไยดี” แล้วหันมาบอกกับภรรยาว่า “คิดว่าอวี๋เยี่ยนเหนียงผู้นี้ไม่ยินยอมที่ตนจะไม่เป็นที่โปรดปรานแต่เพียงเท่านี้ หลังจากพบกับท่านลุงเจียง และสอบถามได้ความว่าเขาเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเจ้า และไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องหญิงเก็บบัวมาจากที่ใดเข้า จึงรายงานเรื่องของท่านลุงเจียงขึ้นไป เรื่องราวก็คงจะมีความเป็นมาดังนี้”
เว่ยฉางอิ๋งอดเอ่ยอย่างสงสัยไม่ได้ “เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไม่พานางเข้าตำหนักตะวันออกเล่า? แม้ว่านางจะหมั้นหมายแล้ว ทว่าแม้แต่คน องค์รัชทายาทก็ยังไปชิงมาแล้ว คาดว่าครอบครัวฝั่งสามีของสตรีผู้นี้ก็คงเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปกระมัง? องค์รัชทายาทจะสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
“สองปีก่อนพอดีกับเป็นช่วงเวลาที่ท่านหญิงหวากั๋วสิ้นพระชนม์ ครานั้น ฮ่องเต้ยังทรงสั่งให้คนสนิทไปร่วมงานถวายอาลัยที่จวนกู้ด้วย” เสิ่นจั้งเฟิงอธิบาย “ช่วงเวลานั้นฮองเฮากู้ทรงเสียพระทัยอย่างมาก แล้วจะยอมให้ องค์รัชทายาทรับคนเข้ามาในเวลานั้นได้อย่างไร? และเพื่อพระนามอันดีงามขององค์รัชทายาทจึงทำไม่ได้”
ท่านหญิงหวากั๋วเป็นพระมารดาของฮองเฮากู้ ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลกู้แห่งหงโจว เป็นท่านยายแท้ๆ ขององค์รัชทายาทเซินสวิน แน่นอนว่าด้วยฐานะขององค์รัชทายาท จึงไม่ต้องไปไว้ทุกข์ให้ท่านหญิงหวากั๋วมากมายนัก ทว่าฮ่องเต้ซึ่งมีพระชนมายุอ่อนกว่าท่านหญิงหวากั๋วเพียงไม่กี่ปีก็ยังให้คนสนิทไปร่วมไว้อาลัยเลย องค์รัชทายาทกลับจะมารับสตรีชาวบ้านซึ่งหมั้นหมายแล้วเข้าตำหนักตะวันออกในเวลาเช่นนี้ …แม้เซินสวินจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ทว่าฮองเฮากู้ก็จะต้องขัดขวางเขา
ด้วยเหตุที่ท่านหญิงหวากั๋วสิ้นประชนม์ อวี๋เยี่ยนเหนียงซึ่งถูกองค์รัชทายาทหมายตาเอาไว้ในเวลานั้นเข้าตำหนักตะวันออกไม่ได้ ไม่อาจเป็นสนมขององค์รัชทายาทได้อย่างเต็มศักดิ์เต็มสิทธิ์ …เดิมทีเมื่อพ้นช่วงไว้ทุกข์ของท่านหญิงหวากั๋วไปแล้วก็ค่อยเข้าตำหนักก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้ว ทว่า องค์รัชทายาทได้เก่าลืมใหม่รวดเร็วเกินไป คาดว่ายังไม่ทันถึงกำหนดที่จะรับอวี๋เยี่ยนเหนียงเข้าวังเลยเสียด้วยซ้ำ องค์รัชทายาทก็สิ้นความสนใจต่อนางไปแล้ว จึงทิ้งนางเอาไว้ในคฤหาสน์ซึ่งอยู่ในนามของข้าหลวงผู้หนึ่ง และปล่อยนางไว้ตามยถากรรม
ส่วนครอบครัวของอวี๋ฝูทั้งบ้านนั้น ด้วยเหตุที่บุตรสาวคนโตถูกองค์รัชทายาทหมายตา คงเพราะคิดว่าจะสามารถใช้บุตรสาวคนโตเป็นสะพานสู่ฟ้า จึงออกจากหมู่บ้านมาเสียเลย ให้คนทั้งบ้านย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง แต่กลับไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะสนใจนางเพียงเวลาสั้นๆ เท่านี้ ไม่เพียงแค่ในยามนี้บุตรสาวจะมีฐานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก …การใช้ชีวิตในเมืองหลวงก็ไม่ง่าย ค่าใช้จ่ายล้วนไม่อาจเทียบกับหมู่บ้านห่างไกลที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับเงินทองจาก องค์รัชทายาทเมื่อครั้งที่รับตัวอวี๋เยี่ยนเหนียงไป แต่คาดว่าเมื่อมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ปีครึ่งปีก็คงรู้สึกวาไม่พอกินพอใช้ …และหากกลับไปที่หมู่บ้านทั้งเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีหน้าไปสู้คนอื่น จึงไม่อาจไม่เปิดร้านขายขนมหูปิ่งเพื่อประทังชีวิต
ปรากฏว่าก็บังเอิญเหลือเกินที่เจียงเจิงซึ่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมอันซุ่นได้มาพบกับพวกเขาเข้า …เจียงเจิงก็ไม่ได้รู้เรื่องหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ก่อนหน้าเขาต้องพลอยรับเคราะห์เพราะบิดาล้มละลาย จึงไม่อาจไม่มาฝากตัวกับตระกูลเว่ย หลายสิบปีไม่ได้เจอคนรู้จักเก่าๆ เมื่อบังเอิญได้มาพบเข้า จึงอดจะมารำลึกความหลังซึ่งกันและกันไม่ได้
ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า การได้มาเป็นครูฝึกวรยุทธให้แก่บุตรสาวในสายหลักของตระกูลเว่ย ทั้งยังได้ติดตามมาถึงเมืองหลวงล้วนทำให้เห็นว่าเขาได้รับความสำคัญมากมายเพียงใด …ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนหาใช่เรื่องที่น่าอับอายต่อผู้คนไม่ คาดว่าแม้เจียงเจิงจะมีประสบการณ์ล้นเหลือในยุทธภพ แต่ก็คงคิดไม่ถึงว่าสหายเก่าแสนยากไร้ที่เคยพบกันครั้งทำงานคุ้มภัยเมื่อสมัยหนุ่มจะมีความเกี่ยวพันกับองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อให้อวี๋เยี่ยนเหนียงได้กลับมาเป็นที่รักใคร่อีกครั้ง จึงยิ่งไม่อาทรที่จะวางแผนทำร้ายเขาเพื่อเอาใจองค์รัชทายาท …ดังนั้นแล้ว เจียงเจิงจึงเล่าฐานะของตนในเวลานี้ให้เขาฟังโดยมิได้ระวังตัวใดๆ เมื่ออวี๋ฝูไปรายงานต่ออวี๋เยี่ยนเหนียง นางจึงนำไปยุยุงให้องค์รัชทายาทมาแก้แค้นเสีย
เมื่อเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดโดยคร่าวๆ แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็หมดคำพูดยิ่งนัก ในใจยังคงคิดว่า เรื่องนี้จะนับว่าองค์รัชทายาทหลงเชื่อคำยุยงของคนชั่ว หรือว่าองค์รัชทายาทเองที่เป็นคนอันตราย?
ทางนี้นางกำลังครุ่นคิด ส่วนทางเสิ่นจั้งเฟิงก็ถามรายละเอียดกับจางผิงซวีไปอีกคำสองคำ จางผิงซวีพูดไปทุกเรื่องแล้ว เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่มีเรื่องอื่นอีก จึงขอตัวกลับ
เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้รั้งตัวเขาไว้ เพียงแต่เอ่ยว่า “ร่างกายเจ้าเพิ่งจะดีขึ้น ก็ควรรีบกลับไปพักผ่อนเสีย วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว”
“ไยต้องเกรงใจ? ข้าเองก็เพียงตอบแทนน้ำใจของเจ้าเมื่อคราก่อนเท่านั้น” จางผิงซวียิ้มจางๆ กล่าวว่า “บ่าวคนหนึ่งของข้ามองจากนอกร้านขนมหูปิ่งของคนบ้านอวี๋ เห็นว่าบุตรสาวคนรองของเขาหน้าตาไม่เลว จึงคิดจะรับมาเป็นอนุ แต่ก็หาคนที่รู้จักกับพวกเขาไม่ได้ จึงพอดีได้ไปสอบถามในหมู่บ้านที่พวกเขาจากมาว่าจะสามารถหาคนไปทาบทามให้ได้หรือไม่ โอ้ ที่ข้ามาวันนี้ กลับเพราะได้ยินว่าพี่สะใภ้มีสัมพันธ์ต่อคุณหนูตวนมู่แปดไม่เลวเลย วานนี้ คุณหนูตวนมู่แปดยังมาเยี่ยมเยือนพี่สะใภ้ที่บ้านด้วยตนเอง …ดังนั้นจึงตั้งใจมาขอความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ ให้เชิญคุณหนูตวนมู่แปดมาตรวจรักษาข้าด้วย นั่นเพราะข้าก็เจ็บป่วยมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก่อนนี้เคยเชิญหมอมาตรวจก็ล้วนบอกถึงสาเหตุไมได้ จึงค่อนข้างรู้สึกกังวล”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าที่เขาพูดเช่นนี้เพราะต้องการบอกปัดความเกี่ยวพันต่างๆ ในเรื่องนี้ทั้งหมด …เสิ่นจั้งเฟิงสงบนิ่ง แต่ก็หาได้ประหลาดใจไม่ กลับตอบไปอย่างสมเหตุสมผลว่า “ด้วยคุณหนูตวนมู่แปดเป็นหญิง เกรงว่าจะไม่สะดวกตรวจรักษาให้ผิงซวีเจ้า หรือจะลองไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้ แต่ระยะนี้ในบ้านมีเรื่องวุ่นวาย เกรงว่าจะไม่ว่างดูแลเรื่องนี้ให้ อย่างไร อีกสักสองวันจึงค่อยว่ากันเถิด”
จางผิงซวีอืมไปคำหนึ่ง แล้วประสานมือ กล่าวว่า “ตกลงตามนั้น ขอตัว!”
เสิ่นจั้งเฟิงจึงเรียกให้เสิ่นเตี๋ยไปส่งแขกแทนตน
ดูไปแล้ว ความสัมพันธ์ของเสิ่นจั้งเฟิงและจางผิงซวีก็เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น …แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอาเรื่องที่ว่าคนบ้านอวี๋เกี่ยวพันกับองค์รัชทายาทหรือไม่เช่นนี้ฝากให้เขาทำ แม้จะบอกว่าเพราะเดิมทีบ้านอวี๋เป็นคนในแถบชานเมือง หากให้คนตระกูลจางไปสอบถามดูก็จะสะดวกที่สุด แต่นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ตระกูลเสิ่นตัดสินใจว่าจะลงมือทำการใหญ่หรือไม่เชียวนะ…
เว่ยฉางอิ๋งอดฉงนงงงวยไม่ได้ คิดจะไปถามกับสามีให้ละเอียด เสิ่นจั้งเฟิงกลับลุกขึ้น แล้วสั่งความว่า “ข้าจะไปพบท่านพ่อ คงไม่กลับมาทานอาหารกลางวันแล้ว”
“….ตกลง” เมื่อรู้ว่านี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องไปบอกกับเสิ่นเซวียน เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้าทำให้เขาเสียเวลา จึงทำได้เพียงถอนหายใจและส่งเขาจากไปด้วยสายตา ส่วนตนเองก็ยืนอยู่ในโถงอยู่เป็นนาน จึงออกไปเรียกพวกบ่าวที่ยืนรออยู่ข้างนอก แล้วกลับไปที่เรือนหลังพร้อมกับความในใจมากมาย
พวกของนางหวงล้วนไม่รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงกำลังคิดจะทำการใหญ่ เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงเดินออกไปเพียงลำพัง แล้วจากนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะออกมา ทั้งยังเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดีนัก จึงคิดว่านางขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องของเจียงเจิง จึงเกิดมีปากเสียงกับ เสิ่นจั้งเฟิงเข้าจนทำให้ได้ต่างคนต่างไป พวกนางจึงพากันขบคิดว่าจะทำให้นางสบายใจได้อย่างไรดี
เมื่อมาถึงเรือนชั้นใน เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงคำที่ เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ จึงว่า “อีกสักพัก จัดอาหารเที่ยงให้ข้าผู้เดียวเป็นพอ ท่านพี่ไปหาท่านพ่อ ไม่กลับมาทานอาหารเที่ยงแล้ว”
นางหวงจึงถือโอกาสนี้สอบถาม “มิใช่วันนี้เป็นวันหยุดของคุณชายหรือเจ้าคะ?”
“วันหยุดก็ต้องเป็นลูกกตัญญูนะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยกลบเกลื่อนไปอย่างบางเบา แต่ในใจกลับหนักอึ้งจนยากจะปิดบังไว้ได้ เหล่านางหวงมองเห็นภาพนี้แล้ว จึงต้องกลับมาใคร่ครวญคำที่อยากจะเอ่ยปลอบนางอีกครั้ง
นางทานอาหารเที่ยงในบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ พวกนางหวงคิดไม่ออกว่าควรจะปลอบนางอย่างไร …หลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งนอนพักบนตั่งนั่งสักพัก แต่อย่างไรก็นอนไม่หลับ ในระหว่างที่กำลังพลิกตัวไปมา ข้างนอกกลับมีเสียงกระซิบเบาๆ ดังเข้ามา นางจึงลุกขึ้น แล้วให้จูสือซึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ภายในห้องออกไปดูสักหน่อย “เป็นท่านพี่กลับมาแล้วหรือไม่?”
พูดไปพลาง ลุกขึ้นมานั่งไปพลาง แล้วเอื้อมมือขึ้นไปจัดมวยผม
จูสือออกไปพักใหญ่จึงกลับเข้ามา แล้วพูดด้วยสีหน้าค่อนข้างตื่นตระหนกว่า “เป็นคุณชายจูที่เรือนชั้นหน้า บอกว่าท่านองครักษ์เจียงมีไข้สูง จึงมาขอให้ฮูหยินน้อยช่วยด้วยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำแล้วก็ตกอกตกใจ นิ่งคิดสักพัก จึงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นว่า “ให้คนไปเตรียมรถ! ไปคฤหาสน์จี้ที่เฉิงตง!”
“ไม่มีเวลาไปห่วงอันใดมากมายแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งร้องเรียกเสียงดัง ให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอเข้ามาช่วยดูแลอาบน้ำแต่งตัวให้ตนเอง แล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ช่วยยื้อชีวิตคนกลับมาได้แล้ว หรือครานี้กลับกลายเป็นว่าท่านลุงเจียงจะไม่รอดเสียแล้ว? พาคนไปด้วยอีกสักหน่อย หากจี้ชวี่ปิ้งกล้าไม่ช่วย …ข้ากลับอยากจะดูนักว่ากระดูกของเขาจะแข็งดังเช่นในเสียงเล่าลือหรือไม่!”
นางหวงที่เดินตามเข้ามาได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี จึงรีบเอ่ยว่า “ฮูหยินน้อยโปรดอย่าวู่วามเจ้าค่ะ คุณหนูตวนมู่แปดช่วยชีวิตท่านองครักษ์เจียงเอาไว้ได้แล้ว ท่านหมอเทวดาจี้น่าจะเห็นแก่หน้าของคุณหนูตวนมู่แปด คงไม่เอาแต่นิ่งดูดายหรอกเจ้าค่ะ”
ด้วยเป็นห่วงถึงการใหญ่ที่เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถึง เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งค่อนข้างร้อนรน พลันกล่าวไปอย่างว้าวุ่นร้อนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เขาไม่ช่วยก็ต้องช่วย …รีบให้คนไปช่วยข้างหน้าเร็ว ไปหามท่านลุงเจียงขึ้นรถ! เอาฟูกปูบนรถให้มากสักหน่อย อย่าให้กระดูกของท่านลุงเจียงอยู่ผิดตำแหน่งอีกเป็นเด็ดขาด!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบร้อนจะไปให้จี้ชวี่ปิ้งช่วยชีวิตคน แม้แต่เวลาจะไปอธิบายต่อหน้า ฮูหยินซูด้วยตนเองก็ยังไม่มี จึงสั่งนางว่านไปบอกให้ “รบกวนท่านอาไปขออภัยท่านแม่แทนข้าวด้วย ท่านลุงเจียงสอนวรยุทธให้ข้าตั้งแต่ข้าได้ห้าขวบ แม้จะเป็นเพียงองครักษ์ แต่ความจริงแล้วข้ามองเขาเป็นญาติผู้ใหญ่มาโดยตลอด เรื่องวันนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนัก เกรงว่าจะเสียเวลา …หลังข้ากลับมาแล้ว จะต้องไปขอบคุณและขอขมาท่านแม่ด้วยตนเอง!”
พูดจบ ไม่ทันรอให้นางว่านเอ่ยสิ่งใด นางก็พาพวกของนางหวงจากไปอย่างรีบร้อน
___________________________