ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 998 ขีดจำกัด (2)
แต่นอกจากอันซี แม้คนส่วนใหญ่ที่เหลือจะสนใจในตัวหัวหน้าสมาคมที่ผู้คนเล่าขานอยู่บ้าง ทว่าความสนใจ จไม่อาจบีบบังคับให้พวกเขาตามไปดูได้
มีแต่อันซีที่ติดตามบันไซไปถึงลานจัดพิธีอัญเชิญด้านในสุด
ลานจัดพิธีอัญเชิญ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ดึงตราประทับสมาคมวิจัยแกนกลางออกมาจากภาวะอันตรายได้ใน นพริบตา เหล่าระดับสูงร่วมมือกันลงแรงและลงทรัพยากรสร้างมันขึ้นมา
ทุกคนต่างก็เกลียดสงคราม ย่อมโหยหาความปลอดภัยและความมั่นคง ตอนนี้อุตส่าห์มีที่ให้อยู่อาศัย จึงลงแรง งปรับปรุงและเสริมความมั่นคงให้แก่ที่นี่
พูดถึงที่สุด หากบอกว่าตอนแรกแกนกลางของสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับคือลู่เซิ่ง อย่างนั้นตอนนี้ก็ได ด้กลายเป็นอินเอ้อสือเจียที่บันไซสร้างขึ้นแล้ว
ภายใต้การสนับสนุนของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ อินเอ้อสือเจียค่อยๆ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความสามารถยอดเ เยี่ยมกว่าตอนแรกสุดไม่รู้กี่เท่า
พรสวรรค์ในการประดิษฐ์กับความสามารถด้านค่ายกลของบันไซฉายชัดออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ขอแค่เป็นปัญหาด้านภาษาพลังงานหรืออักขระค่ายกล เมื่ออยู่ในมือของเขา ใช้เวลาไม่นานก็จัดการได้อย ย่างง่ายดาย
ตอนนี้เขากำลังจะรวบรวมระเบียบอักขระและค่ายกลมากมายเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างภาษาพลังงานที่มีความ พิเศษภาษาหนึ่ง
หากภาษานี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่ ความสามารถของอินเอ้อสือเจียจะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง นี่ถึงขั้นเท ทียบได้กับสร้างสำนักก่อตั้งพรรค บุกเบิกศาสตร์แขนงหนึ่งขึ้นมาใหม่!
ในขุมกำลังไม่น้อยนอกจากสมาคมวิจัย มีคนยกย่องบันไซเป็นปรมาจารย์พลังงานอักขระแหล่งกำเนิดแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาแบ่งระบบพลังงานหลากหลายชนิดที่วุ่นวายไม่มีระเบียบมาโดยตลอดออกเป็นสอง ชนิด
ชนิดแรกคือพลังงานที่ระดับอริยะเจ้าขึ้นไปใช้ อีกชนิดหนึ่งต่ำกว่าอริยะเจ้า บันไซใช้ระดับอริยะเจ้าเป ป็นขอบเขต รวมส่วนที่อยู่เหนือกว่าอริยะเจ้าไว้ด้วยกัน แล้วเรียกมันว่าพลังดวงดาว
และภาษาพลังงานที่เขากำลังสร้างมีชื่อว่าอักขระดาว
พอบันไซเดินเข้าลานจัดพิธีอัญเชิญ ก็เห็นทัวหลันปาเฮ่อที่มารออยู่ด้านในก่อนแล้ว รวมถึงอริยะเจ้ าทงเซิงกับหลี่ซุ่นซี
ปัจจุบันพวกเขาที่อยู่ในสมาคมวิจัยยังนับว่าพอไหว โดยเฉพาะหลี่ซุ่นซี พลังหยั่งรู้ของหยกปีศาจที่เ เขาครอบครองแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มอบการช่วยเหลือให้แก่คนมากมาย
แม้จะไม่ได้เก่งรอบด้านเหมือนอินเอ้อสือเจีย แต่กลับพลิกแพลงได้ดี
“ในเมื่อพี่ใหญ่จะกลับมา พวกเราจะไม่มาต้อนรับได้อย่างไร” หลี่ซุ่นซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ตอนแรกข้าพักร้อนกับเสี่ยวอิงอยู่ริมทะเล พอได้รับข่าวก็บินกลับมารอทันที” ทัวหลันปาเฮ่อเอ่ยยิ้ มๆ เทียบกับสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้นางเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ดูเหมือนกับพี่สาวที่อ่อนโยน
ทางทงเซิงมีเด็กชายผมเงินคนหนึ่งคอยติดตาม เด็กชายมีใบหน้าเย็นชาหล่อเหลา เป็นศิษย์ที่เขาเพิ่งรับ ไว้ไม่นาน
ตอนนี้เขาอาศัยการคำนวณของอินเอ้อสือเจีย กอปรกับการชี้แนะจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็เลื่อนสู ระดับจ้าวแห่งอาวุธสำเร็จ
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” ตอนนี้เขาเป็นผู้รับผิดชอบดูแลลานจัดพิธีอัญเชิญ
เมื่อเขาออกคำสั่งเสร็จ เจ้าหน้าที่ด้านนอกก็พากันทำงาน ลานจัดพิธีเริ่มสั่นไหวช้าๆ
เหมือนกับใต้ดินมีการสั่นสะเทือนที่ทรงพลังและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ทางเข้าออกรอบๆ ลานจัดพิธีร่วงปิดลง กระแสไฟฟ้าสีแดงนับไม่ถ้วนรวมตัวกันตรงกลาง กลายเป็นก้อนกลมทรงต ตาข่ายขนาดใหญ่
“เริ่มเลย” บันไซกดมือลง
อักขระโปร่งใสตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางอากาศแล้วตกลงบนพื้น พริบตาเดียวก็กระจายตัวเหมือนน้ำหมึกหยดลง งผิวน้ำ แบ่งอักขระที่คล้ายๆ กันออกมาเป็นจำนวนเหลือคณานับ
‘พิธีเชื่อมต่อกำลังเริ่มต้น’
‘การเชื่อมต่อข้ามโลกระยะไกลกำลังเริ่มต้น…’
‘กำหนดพิกัด’
‘สร้างเส้นทางสื่อสารระยะสั้น’
‘การส่งข้อมูลฝั่งเดียวต้องการเวลาสามสิบหกชั่วโมง ยี่สิบเอ็ดนาที หกวินาที โปรดอดทนรอ’
เสียงสตรีอ่อนหวานหลายเสียงดังขึ้นเหนือลานจัดพิธี
“สร้างสภาวะค่ายกลยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียว จำเป็นด้วยหรือ” อันซียืนบ่นอยู่ด้านหลัง
“ท่านไม่เข้าใจ หัวหน้าสมาคมต่างจากคนอื่น” บันไซว่าพลางส่ายหน้า
“อย่างนั้นหรือ” อันซีไม่เห็นด้วย ในช่วงสงคราม ไม่พูดถึงอย่างอื่น ต่อให้เป็นมายาพิศวงที่เข้าร่วมสม มาคมวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีถึงสองคนแล้ว
ต่อให้หัวหน้าสมาคมผู้นี้จะเป็นผู้ปกครองอนธการ แต่ไม่น่าให้ระดับสูงมากมายขนาดนี้มารวมตัวกันดำเนิน พิธีอัญเชิญ
อันซีจำได้ว่าแค่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวงในสมาคมวิจัยก็มีอยู่หลายคนแล้ว อนธการมีอย่างน้อยสองค คน เขาเห็นจนชินเสียแล้ว
“ต่างขอรับ…” บันไซส่ายหน้า
“จะว่าไป สงครามใกล้จะยุติแล้วนะ พวกเจ้ารู้เรื่องไหม” อันซีโพล่งถาม
“สงครามจะยุติหรือขอรับ” หลี่ซุ่นซีเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ภายใต้การกระตุ้นจากขุนนางควบคุม หัวหน้าพันธมิตรดาวจุดระเบิดเก้าดวงใจสีเงิน อาศัยการดับสูญของสา ายธารสีเงินเก้าแห่งระเบิดพลัง ทำร้ายลาตี้เอ่อร์ เทพสัตว์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเผ่าพันธ์สัตว ว์โบราณมากมายคัดเลือกออกมาจนบาดเจ็บสาหัส” อันซีหัวเราะ
“จะว่าไป ความจริงสนามรบอยู่ไกลจากพวกเรามาก อยู่ตรงนี้เห็นเพียงรังสีกับแสงมากมายที่ข้ามมิติมาเท่ านั้น”
“สงครามใกล้จะยุติแล้วหรือนี่ ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่…” บันไซก้มหน้ากล่าวอย่างสงสัย
“สงครามยุติก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” อันซีกล่าวยิ้มๆ “ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไร อย่างไรสงครามก็จะยุติ แล้ว”
“แต่ว่า…” จู่ๆ บันไซก็ชะงัก มองไปยังก้อนกลมทรงตาข่ายสีแดงกลางอากาศ
“มาแล้ว! การเชื่อมต่อใกล้จะสำเร็จแล้ว! เตรียมเริ่มลานข้ามมิติ!”
…
ในแถบดาวเคราะห์น้อยซึ่งอยู่ห่างจากอาณาเขตดาวที่สมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับอยู่หลายสิบปีแสง
เต่ายักษ์สีดำที่ขนาดร่างกายพาดขวางครึ่งหนึ่งของแถบดาวเคราะห์น้อย เหมือนสัมผัสอะไรได้ มันค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปยังที่ไกล
“ในที่สุดก็มาแล้ว” เต่ายักษ์ซีตีขยับตัวช้าๆ ขามากกว่าพันคู่ขยับอย่างรวดเร็วอยู่รอบนอกกระดอง
“ข้ามาตามสัญญาแล้ว”
ก้อนโลหะสีเงินที่เต็มไปด้วยลวดลายบิดเบี้ยวก้อนหนึ่งค่อยๆ กางออกด้านหน้าเต่ายักษ์พันขา โลหะนับไม ม่ถ้วนเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างสูงใหญ่ที่ทั้งตัวประกอบขึ้นจากโครงกระดูกโลห หะ
“ครั้งนี้ฝากเจ้าด้วย ข้าไม่สะดวกลงมือเอง” เต่ายักษ์พันขามองร่างนั้น “ในฐานะผู้ครอบครองหลักฐานแห ห่งราชันเหมือนกัน ระหว่างพวกเจ้ามีสิทธิ์เข่นฆ่ากันโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการคนผู้นั้นเอง” นักรบโลหะโบกเส้นโลหะทรงกระบี่เส้นหนึ่งซึ่งยื่นออกมาจากแ แขน
“นอกจากนี้ แม้ข้าจะสู้กับผู้ครอบครองหลักฐานแห่งราชันตรงๆ ไม่ได้ แต่ถ้าข้าสะกดอีกฝ่ายจนตายโดยไม่ได ด้ตั้งใจ อย่างนั้นก็โทษว่าข้าไม่ได้แล้ว” เต่ายักษ์พันขาซีตีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านจ้องเล่นงานสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับหรือ” นักรบโลหะถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ ที่นั่นกล้ารับตัวสมาชิกวิญญาณดาวกับสัตว์โบราณที่หนีจากสนามรบเอาไว้ นี่ทำให้สาขาของสองฝ่า ายที่อยู่ที่นี่ไม่พอใจมาก หาที่ตายแท้ๆ เอาล่ะ ไปเถอะ” ซีตีกล่าวยิ้มๆ
นักรบโลหะค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัววูบไหวร่างสองสามทีแล้วหายไปในจักรวาล
พอเห็นนักรบโลหะหายไป ซีตีค่อยอ้าปากพ่นแสงสีทองออกมาสายหนึ่ง
แสงสีทองระเบิดขึ้นด้านหน้าเขา กลายเป็นสะเก็ดไฟสีแดงหย่อมหนึ่ง ไม่นานก็สลายหายไป
“มาแล้ว! ข้ามาแล้ว!” เสียงของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรโปมี่ลาดังมาจากสะเก็ดไฟ
“คนที่เผ่าอสรพิษอาทิตย์เขียวไล่ล่ามาโดยตลอดซ่อนตัวอยู่ในสมาคมวิจัยอะไรนั่นพอดี พวกเราจะส่งยอดฝี มือไปตรวจสอบเช่นกัน! ฮ่าๆๆ! ครั้งนี้ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าชั่วนั่นจะตายอย่างไร!”
จนถึงตอนนี้เขายังคงจดจำความอัปยศในครั้งนั้นได้
ดังนั้นเขาไม่เพียงต้องการให้มันผู้นั้นตาย! ยังต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมันทิ้ง งด้วย!
“พวกเขาจะมาถึงเมื่อไหร่” เต่ายักษ์พันขางุนงงเล็กน้อย
“วิหคอาทิตย์เขียวว่องไวถึงขีดสุด น่าจะไปถึงก่อนพวกเรา” โปมี่ลากล่าวอย่างรวบรัด “หวังว่าพวกมันจะทน นได้นานสักหน่อย ฮ่าๆ ไม่อย่างนั้นรอพวกเราไปถึง ไม่แน่จะเหลือแค่ซากแล้ว ไม่ใช่สิ ยังมีวิญญาณดาวไปอีก ก! พวกมันหาที่ตายกันเอง! บังอาจรับตัวผู้ร้ายประกาศจับของพันธมิตรดาวเอาไว้ ฮ่าๆๆ!”
…
พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของลู่เซิ่งบีบอัดและหลอมรวมกับร่างหลักอย่างบ้าคลั่ง
ร่างกายอันแข็งแกร่งของหวังตงกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างหลักของเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างหลักด้วย ยความเร็วที่อลังการอย่างยิ่ง
ครั้งนี้ได้รับหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณที่เขาฝึกฝนได้จะยิ่งใหญ่เท่านั้น ยังมีพลังงาน ลึกลับที่ดูดซับได้จากการสนับสนุนเขาอย่างสุดกำลังของโลกหรือจักรวาลแห่งนี้ด้วย
พลังวิญญาณมากกว่าหมื่นล้านดูรา ทำให้ลู่เซิ่งคนเดียวเทียบเท่ากับผลรวมพลังวิญญาณของดาวเคราะห์ทั้งด ดวง
แม้ว่าสำหรับร่างหลัก ดาวดวงเดียวจะไม่นับเป็นอะไร แต่ก็เป็นพลังงานลึกลับที่มีคุณภาพสูงสุดขีด อยู ในระดับเดียวกับพลังเทพนอกรีต จึงต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
การหลอมรวมของพลังวิญญาณอันมหาศาล ทำให้ร่างหลักของเขากำลังยกระดับขึ้นด้วยความเร็วสูง
เดิมทีระดับอนธการของเขาได้ก้าวข้ามอธนการธรรมดาไปแล้ว จิตวิญญาณในร่างกายแข็งแกร่งถึงขั้นน่าเหลื อเชื่อ
ตอนนี้มีพลังวิญญาณระดับพลังงานสูงทะลักเข้ามามากขนาดนี้ พลันกระตุ้นให้จิตวิญญาณของเขาเกิดการเปลี่ ยนแปลงอีกครั้ง
เขาวางแผนไว้แล้วว่า หากกลับไป ในครั้งนี้จะตั้งใจกักตนฝึกฝน เพื่อย่อยสิ่งที่ได้มาในครั้งนี้ให้ หมด บางทีอาจทะลวงระดับอนธการ พัฒนาขึ้นไปได้อีกขั้น
ต่อจากอนธการเป็นระดับอะไร เขารู้จักชื่อ ส่วนจะไปถึงอย่างไร ยังไม่มีวิธี
หากบอกว่าอนธการกำหนดความเป็นความตายของระบบดาวฤกษ์ได้ อย่างนั้นระดับดาวมรณะก็สมควรเป็นการพัฒนาใน นระดับที่สูงกว่า เป็นพลังงานระดับที่สูงกว่าเดิมซึ่งรวมตัวและเปลี่ยนแปลงจากพลังงานระดับต่ำจำนวนมาก ก
อนธการ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งกีดขวางของมนุษย์ทุกคน
มันเป็นตัวแทนระดับชั้นสูงสุดของมนุษย์ในโลกมารสวรรค์
มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าไหน ขีดจำกัดวิญญาณก็คืออนธการ หากคิดจะขึ้นไปสูงกว่านี้ วิธีการเพียงหนึ งเดียวคือเปลี่ยนร่างและจิตวิญญาณ ทำให้ตัวเองไม่ใช่คนอีกต่อไป
ส่วนระดับดาวมรณะ ก็เป็นตัวแทนขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ไม่มีทางก้าวข้ามได้
คำพูดนี้ ลู่เซิ่งเคยอ่านเจอมาจากหลายๆ ที่
เหมือนกับคัมภีร์ทั้งหมดที่เคยอ่าน ต่างก็พูดถึงเพียงอนธการ ไม่มีอะไรต่อจากนั้นอีก
ลู่เซิ่งตระหนักดีว่า แม้รูปลักษณ์ของเขาจะดุร้าย แต่โดยธรรมชาติแล้วยังคงเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ สั ดส่วนในด้านวิญญาณคือมนุษย์
พูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่เขาจะเจอขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตหรือขีดจำกัดทางเผ่าพันธุ์ที่ ว่านี้
และตอนนี้จิตวิญญาณระดับอนธการของเขาก็เหนือกว่าคนระดับเดียวกันไปหลายพันเท่าตัวแล้ว แต่ยังไม่อาจ เลื่อนระดับและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
นี่อาจจะจะบ่งบอกถึงจุดนี้อย่างอ้อมๆ ว่า มนุษย์มีขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิต