ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 959 สื่อวิญญาณ (1)
บนแผ่นหินสีเหลืองเข้มมีลวดลายเก่าแก่เรียบง่ายถูกสลักอยู่เต็มไปหมด
ในลวดลายคือคนโบราณที่สวมกระโปรงใบไม้ ชูสองมือ กลางฝ่ามือแยกออกเป็นดวงตาหลายดวง จ้องมองวังวนยักษ์ที่กำลังหมุนอยู่เหนือท้องฟ้า
ลู่เซิ่งตั้งแผ่นหินขึ้นบนโต๊ะหนังสืออย่างระมัดระวัง ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ เช็ดถูเบาๆ
เนื้อหาบนแผ่นหินพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
แมลงสีดำตัวเล็กๆ บางส่วนปรากฏในภาพวาด พวกมันวนรอบวังวนขนาดยักษ์ คล้ายกับกำลังบินลงด้านล่าง
ดวงตาสีดำที่มีลักษณะเหมือนดวงตาแห่งความเลวทรามค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางวังวน
สำนักเคลื่อนภูผาส่งแผ่นหินนี้มาเมื่อก่อนหน้านี้ สำหรับดวงตาแห่งความเลวทรามที่เขาต้องการตามหา สำนักเคลื่อนภูผาได้ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว หลังจากรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก พวกเขาก็ส่งแผ่นหินเก่าแก่นี้มาให้
ว่ากันว่ามันเป็นวัตถุโบราณลึกลับที่นักโบราณคดีขุดค้นได้จากซากโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งไม่สนใจว่ามันมาจากไหน เขาเพียงสนใจว่าดวงตาบนแผ่นหินเป็นดวงตาแห่งความเลวทรามหรือไม่
“เธอกำลังดูอะไรอยู่” หวังจิ้งที่สวมเดรสสีขาวเดินมาจากด้านข้าง
เสื้อผ้าของเธอประหลาดมาก สะอาดสะอ้านตลอดเวลา ไม่มีกลิ่นผิดแผก ถึงขั้นไม่ปรากฏเหงื่อให้เห็น
ส่วนพวกแมลงที่อยู่รอบๆ ก็ไม่อยากหยุดอยู่รอบตัวเธอ เหมือนแม้แต่แมลงก็ยังหวาดกลัวเธอ
“ของน่าเบื่อน่ะ” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้า “ช่วงนี้ผมสนใจไอ้ของสิ่งนี้ ก็แค่ดูไปงั้นๆ เอง” เขาชี้ดวงตาสีดำกลางวังวน
“อ้อ” หวังจิ้งเดินจากทางซ้ายมือของลู่เซิ่งไปทางขามือ จากนั้นก็กอดแขนเขาเบาๆ
“อยากนอนกับฉันไหม” เสียงเย็นชาของเธอกลับกล่าวคำพูดที่ชวนให้คิดลึกโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งมองเธออย่างหมดคำพูด “พูดให้มันปกติทีได้ไหม”
“อยาก นอนกลางวันไหม” หวังจิ้งเปลี่ยนวิธี ซุกหน้ากับแขนของลู่เซิ่ง
หลังจากอยู่ในความมืดคนเดียวมานานแสนนาน อยู่มาวันหนึ่งก็ได้รับแสงสว่างที่แตกต่างจากเดิม ก็ไม่อาจทำใจแยกจาก อยากอยู่ในแสงนั้นทุกวินาที
ตอนนี้หวังจิ้งเป็นอยางนี้
“พี่ไปนอนก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งชักมือหนี ก้มหน้าพิจารณาตัวหนังสือเล็กๆ บนแผ่นหิน เขาคิดจะตรวจสอบว่าภาพบนแผ่นหินมาจากยุคไหนและสถานที่ใด โดยดูจากพจนานุกรมอักษรโบราณ
แม้ความรู้สึกอ่อนนุ่มตอนแขนปัดผ่านหน้าอกของหวังจิ้งจะไม่เลว แต่ตอนนี้เรื่องหลักสำคัญกว่า
หวังจิ้งพิจารณาแผ่นหิน ก่อนจะหมุนตัวอย่างแผ่วเบา เดินไปรินน้ำที่ห้องครัว
เธอยกขวดแก้วขึ้น
น้ำใสในขวดน้ำที่ทำจากแก้ว ไหลลงตามแรงโน้มถ่วง ออกจากปากขวดลงสู่แก้วใสสะอาด
ถ้ามีใครเห็นระดับอนูในน้ำได้ จะเห็นไวรัสและแบคทีเรียอันเป็นจุลินทรีย์เล็กๆ ในน้ำนับไม่ถ้วน พากันตายลงเหมือนกับพืชที่แห้งเหี่ยว ในทันทีที่เทน้ำใส่แก้ว
“สมกับเป็นเกียรติยศแห่งนายข้า” บนกระจกด้านข้างห้องครัวปรากฏชายชราผมขาวที่มีหน้าซีดขาว และสวมสูทสีดำคนหนึ่ง
ชายชราโค้งตัวให้แก่หวังจิ้งเบาๆ เหมือนกับตระกูลขุนนางและสุภาพบุรุษจากยุคเก่าแก่
“ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในสี่แขนของนายข้า ทั้งยังได้เห็นอานุภาพเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกๆ ครั้งก็ยังอดถอนใจชมเชยไม่ได้” ชายชรากล่าวกับหวังจิ้งอย่างนอบน้อม
“ที่เรียกเธอมา เพราะมีเรื่องจะมอบหมาย” หวังจิ้งหันไปมองชายชรา ทั้งสองสบตากัน ม่านตาสี่ข้างกลายเป็นสีดำสนิทพร้อมๆ กัน
“ตามหาสิ่งนี้” ในดวงตาของหวังจิ้งปรากฏรูปภาพดวงตาวังวนบนแผ่นหินโดยอัตโนมัติ
ดวงตาของชายชรานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปรากฏภาพเดียวกัน
“รับคำสั่ง”
ในฐานะหนึ่งในเงาของมหาเทพแห่งการทำลายล้างหรือเหตุแห่งภัยพิบัติ เขาตื่นขึ้นมาจากในความมืดอันไร้สิ้นสุด ตามการตื่นของหวังจิ้ง
เหตุแห่งภัยพิบัติไม่ได้มีเพียงใครคนใดคนหนึ่งและปัจเจกบุคคลหนึ่ง ยังมีขุมกำลังน่ากลัวที่มีพลังร้ายกาจถึงขีดสุดด้วย
นั่นคือกองทัพใหญ่แห่งยุคโบราณของเทพแห่งการทำลายล้าง
ชายชราเป็นเพียงหนึ่งในนี้
“นอกจากนี้ นายข้า แม้หวังตงนั่นจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ในฐานะร่างเดิมของการทำลายล้าง การที่ท่านอยู่ข้างตัวเขาเป็นเวลานานจะดีจริงๆ หรือ” ชายชราพลันเตือนเสียงแผ่ว
“ท่าน ไม่ควรจะมีจุดอ่อน”
“เขาคือแสงสว่าง…ไม่ใช่จุดอ่อน” ดวงตาหวังจิ้งกลับเป็นปกติ “ฉันไม่ชอบให้ใครขัดขืนฉัน นี่เป็นครั้งที่หนึ่ง”
ชายชราก้มหน้าถอยไปอย่างนอบน้อมด้วยสีหน้าคงเดิม รอบๆ ตัวกลายเป็นเงาดำและสลายหายไป
หวังจิ้งก้มหัวลง ยกแก้วน้ำเดินไปยังโถงรับแขกด้วยสีหน้าราบเรียบ
ประตูห้องครัวค่อยๆ งับปิดลง
“แม้นายท่านจะเป็นอมตะ แต่ข้าไม่อยากจะหลับอีกหลายปี” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไร้อารมณ์ในมิติอันว่างเปล่า
“ไม่เป็นไร แค่คนธรรมดาคนเดียว อยู่ได้ไม่กี่สิบกี่ร้อยปีหรอก ถือเป็นงานอดิเรกของนายท่านก็แล้วกัน
อย่างไรสิ่งที่พวกเราไม่ขาดแคลน ก็คือเวลา…”
…
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคือสี่สุดยอดราชาวิญญาณ หรือมีอีกชื่อว่าเทพแห่งการทำลายล้างยุคโบราณ”
“พวกเขาเกิดจากการที่เหตุอันยิ่งใหญ่และกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อนมาบรรจบกันกับจังหวะเวลาตั้งแต่ยุคโบราณกาล”
ณ สำนักเคลื่อนภูผา
หวงย่าติดตามหวงอวิ๋นซื่อผู้เป็นตา เดินอยู่ในอุโมงค์ในภูเขาที่ทอดยาวและมืดสลัว
เสียงที่อึมครึมและเคร่งขรึมของผู้เป็นตาดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์เป็นระยะ
“ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกันคะคุณตา” หวงย่าถามอย่างสงสัย
“เป็นเพราะสถานที่ที่พวกเรากำลังเดินอยู่ คือที่ซ่อนแรกสุดของชิวตี๋อันแห่งเมอร์คิวรี หนึ่งในเทพทำลายล้างในตำนาน” หวงอวิ๋นซื่อกล่าวอย่างราบเรียบ
“ในหมู่มารมายา เทพแห่งการทำลายล้างเป็นตัวตนระดับราชาที่มีตำแหน่งสูงสุด ถัดจากนั้นจึงเป็นระดับที่เข้มงวดอย่างมารยักษา ผู้นำอนัตตา และปีศาจมารมายา”
“ร่างกายบางส่วนของมารยักษาที่สำนักเราผนึกไว้เมื่อคราวก่อนอยู่ที่นี่” หวงอวิ๋นซื่อชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมากล่าว
“ยาย่า สำนักเคลื่อนภูผาของเราดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่หลานต้องจำไว้ให้ดีว่า เหนือพวกเรายังมีมารยักษาของเทพแห่งการทำลายล้างที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด มีกำลังที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าในตำนานดำรงอยู่ด้วย”
“ชีวิต ควรจะระมัดระวัง ยำเกรง และถ่อมตน”
หวงย่าพยักหน้าอย่างจริงจัง
“หนูจะจำไว้ค่ะ”
หวงอวิ๋นซื่อเดินไปด้านหน้าอีกระยะหนึ่งก็หักเลี้ยว มาถึงหน้าบึงน้ำสีน้ำเงินที่เย็นเยียบเงียบเหงา
“อยู่ที่นี่ กระโดดลงไปเถอะ”
หวงย่าผงกศีรษะ เดินไปด้านหน้า แล้วกระโดดลงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ซู่ม
ละอองน้ำในบึงน้ำสาดกระจาย
หวงอวิ๋นซื่อมองภาพนี้อยู่ด้านข้างเงียบๆ
นี่เป็นรางวัลของหวงย่าที่พาหวังตงเข้าสำนักได้
คุณสมบัติของหวังตงหายากเป็นอย่างยิ่ง เป็นคุณสมบัติอันน่ากลัวที่เกิดมามีวิญญาณแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปสิบกว่าเท่า
ขอแค่เมล็ดพันธุ์แบบนี้เริ่มฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณ ไม่นานก็จะกลายเป็นผู้เข้มแข็งที่โดดเด่นที่สุดได้
ใช้เวลาแค่สิบปี ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่สำนักเคลื่อนภูผาจะให้กำเนิดผู้เข้มแข็งระดับผู้นำอนัตตาออกมาคนหนึ่ง
“พอแช่น้ำเสร็จ ให้หลานพาหวังตงมาสำนัก แล้วเริ่มฝึกฝนอย่างเป็นทางการนะ” หวงอวิ๋นซื่อกำชับเสียงทุ้มต่ำ
“ค่ะ!” เสียงของหวงย่าดังมาจากในบึงน้ำ ในความเจ็บปวดปรากฏความแน่วแน่ที่อธิบายไม่ได้
…
สามสิบแปดเท่าแล้ว…
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือใบหน้างามพริ้งเฉยชาของหวังจิ้ง
เวลานี้พี่สาวคนนี้นอนคว่ำอยู่บนตัวเขา หลับตางาม คล้ายกำลังฝันหวาน
กลิ่นหอมประหลาดจางๆ ลอยมาจากตัวหวังจิ้ง มุดเข้าจมูกลู่เซิ่ง
“เราแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว…” ลู่เซิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่เล็กที่สุดในตัว แม้ว่าวิชาลับจะรักษาร่างกายร่างนี้ไว้ในสภาพขีดจำกัดของคนธรรมดา ด้วยการช่วยเหลือของปราณปฐพี
หรือระดับความแข็งแกร่งขีดจำกัดที่สิบสามเท่า
แต่เขายังคงสัมผัสได้ถึงพลังอันเหี้ยมหาญที่ยิ่งใหญ่และเกรี้ยวกราดถึงขีดสุดในเซลล์และยีน ผ่านพันธนาการที่เหมือนกับกรงขังของวิชาลับ
“ลุกได้แล้ว” ลู่เซิงใช้สองมือตบก้นหวังจิ้งเบาๆ สัมผัสอันอ่อนนุ่มของถุงน่องกับความสู้มืออันอบอุ่นจากผิว ทำให้เขาอดตื่นเต้นเล็กน้อยไม่ได้
“ไม่เป็นไร…” หวังจิ้งหลับตาเอ่ยเสียงแผ่ว “จะทำอะไรกับฉันก็ได้”
“พอแล้ว ลุกเถอะ” ลู่เซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็นึกถึงเฉินอวิ๋นซี เพลิงราคะในใจก็มอดลง
เขาวางหวังจิ้งลงด้านข้างอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“เธอชอบไม่ใช่เหรอ” หวังจิ้งเบียดขาเข้าหากันเบาๆ สองขากลมกลึงเรียวยาวพาดลงบนขาของลู่เซิ่งช้าๆ
ขายาวที่สวมถุงน่องสีดำเขี่ยไปมาบนขาของเขา หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น เกรงว่าคงเผด็จศึกเธอไปนานแล้ว
ขณะลู่เซิ่งกำลังจะพูด
ตู้ดๆๆ
โทรศัพท์มือถือก็สั่น
เขาพ่นลมหายใจ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู เป็นหวงย่านั่นเอง
เขาจึงกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
“มาสำนักได้แล้วนะ คู่มือวิชาสื่อวิญญาณของนายเตรียมไว้แล้ว สามารถเริ่มได้เลย” เสียงของหวงย่าดังมาจากโทรศัพท์
“อื้อ เมื่อไรล่ะ” ลู่เซิ่งเคารพระดับพลังของโลกท้องถิ่นมาโดยตลอด อย่างไรก็ประหยัดแรงได้เท่าตัวหนึ่ง
“พรุ่งนี้ได้ไหม ฉันจะส่งคนไปรับ”
“ได้” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย ช่วงปิดเทอมใกล้หมดแล้ว ถึงเวลานั้นเขาต้องไปเรียนหนังสือเหมือนหวังตงคนเดิมหรือไม่ ยังบอกไม่ได้
จัดการเรื่องทางสำนักเคลื่อนภูผาก่อนค่อยว่ากันดีกว่า
“เจอกันพรุ่งนี้ ฉันจะติดต่อนายอีกครั้ง”
“ได้”
โทรศัพท์ตัดสาย ไม่ว่าจะเป็นหวงย่าหรือลู่เซิ่ง ความจริงไม่มีอะไรคุยกัน
บวกกับหวังจิ้งใช้ปลายเท้าเขี่ยหน้าอกเขาเบาๆ
จึงคุยโทรศัพท์ต่อไม่ได้
“จะกินข้าวเช้าไหม” ลู่เซิ่งอุ้มหวังจิงขึ้นมาไว้ด้านข้าง แล้วลงจากเตียง
“ตามใจ” หวังจิ้งลงจากเตียงตาม ผมยาวสีดำมัดริบบิ้นสีขาวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
เธอไม่ได้สวมรองเท้า เดินอยู่ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า เหมือนกับลูกสมุน ลู่เซิ่งไปไหน เธอก็ไปด้วย
“พรุ่งนี้ผมจะออกไปด้านนอก” ลู่เซิงหยิบนมกับขนมปังออกมาจากในตู้เย็นพร้อมกับอธิบายไปด้วย
“ไปด้วย” หวังจิ้งมองลู่เซิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกินข้าว เบี่ยงตัวคิดจะนั่งลงในอ้อมอกเขา แต่ลู่เซิ่งใช้มือดันไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง
“อย่างนั้นอย่าเพิ่มปัญหาให้ผม โอเคไหม” ลู่เซิ่งกำชับ
“โอเค”
……………………………………….