ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 937 เผาไหม้ (1)
ท่ามกลางประกายแสง กระบี่ยักษ์เก่าแก่งามประณีตสีแดงเข้มเล่มหนึ่งโผล่พ้นบึงเลือด
แสงสีแดงขับเน้นรอยยิ้มเบาบางของลู่เซิ่งให้ดูชั่วร้ายคลุมเครือยิ่ง
“ดาบเล่มนี้ ดูเหมือนจะใช้ได้หลายปี”
“…เอ่อ นายท่าน นี่คือกระบี่อัคคีทักษิณ…ไม่ใช่ดาบนะขอรับ” ปีศาจที่อยู่ด้านข้างอดเตือนไม่ได้
“เจ้ามองผิดแล้ว มันคือดาบ เพียงแต่หน้าตาเหมือนกระบี่เท่านั้น”
“ความจริงกระบี่คือประเภทหนึ่งของดาบ เอามาใช้แทนกันได้” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น มันผ่านการเลียนแบบอย่างดีทีเดียว ข้ามองแวบเดียวก็เห็นถึงธรรมชาติของมัน”
“แต่ข้าไม่ใช่ดาบ...เป็นกระบี่จริงๆ…” กระบี่อัคคีทักษิณสั่นไหว ส่งเสียงหึ่งๆ
“วิญญาณดาบที่หลงทางหรือ” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย “เจ้าก็แค่ไม่รู้จักตัวเองดีพอเท่านั้น”
“แต่นับจากข้าเกิดมาจนถึงตอนนี้ ก็จำได้มาโดยตลอดว่าข้าเป็นกระบี่…” วิญญาณกระบี่คิดจะพูดอีก
“นั่นเป็นคำโกหก!” ลู่เซิ่งเอ่ยขัดอย่างมั่นใจ “ความจริงสถานะจริงของเจ้าคือดาบอันหนึ่ง กระบี่อะไรกัน ล้วนเป็นคำพูดที่ใช้หลอกเจ้าเท่านั้น”
“เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ” วิญญาณกระบี่ลังเลเล็กน้อย
“เป็นอย่างนี้ เจ้าควรรู้สึกโชคดีที่ได้เจอข้า ให้ข้าช่วยเจ้าเปิดเผยสถานะที่แท้จริง!” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างใจเย็น
“แต่ข้ายังรู้สึกว่า…”
“ความรู้สึกของเจ้ามันผิด เหมือนดาบ ไม่รู้ว่าตัวเองคืออาวุธ มักจะโทษทุกอย่างไว้ที่ตัวคนถือดาบ แต่ความจริงพวกมันเป็นอาวุธ ดาบถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฟาดฟัน พวกมันคืออาวุธ ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงดังขึ้น
“ที่แท้…ข้าเป็นดาบเล่มหนึ่งหรือ…” กระบี่อัคคีทักษิณเลอะเลือนอยู่บ้าง มันมีแค่สติปัญญาเรียบง่าย ตอนนี้ถูกลู่เซิ่งหลอกจนหัวหมุน
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้น ก็รีบเพิ่มผลของวิชาโน้มนำจิต
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่มีทางเหยียดหยามเจ้าแน่นอน นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะเป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าลู่เซิ่ง! เพื่อช่วยเจ้าให้กลับเป็นปกติ ต่อไปนี้ข้าเรียกเจ้า ข้าช่วยเจ้าเปลี่ยนชื่อก็แล้วกัน”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคืออาวุธเทพสะท้านโลกที่เผ่าหงส์เพลิงสืบทอดมา มีอานุภาพไพศาล หากไม่ใช่ราชาหงส์เพลิงไม่มีทางใช้ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นับตั้งแต่นี้ไป ขอเรียกเจ้าว่า ดาบราชาสีชาดก็แล้วกัน”
“ดาบราชาสีชาดหรือ…?”
เผ่าปีศาจที่อยู่รอบข้างไร้คำพูดโต้ตอบ
“เอาล่ะ ตกลงตามนี้ ดำเนินพิธีต่อไป ข้าต้องการเผ่าปีศาจมากกว่านี้ และจอมปีศาจที่มีพลังฝึกปรือแข็งแกร่งกว่านี้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
เขากำลังทดลองสร้างพลังอาวรณ์ สร้างสิ่งที่เขาพึ่งพามาโดยตลอดสิ่งนี้ เขารู้สึกสนใจในตัวสิ่งของหรือพลังงานประหลาดชนิดนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ไม่มีเวลาศึกษามันอย่างแท้จริง
ทว่าเวลานี้ ในโลกบรรพกาลใหม่ใบนี้ เขามีอำนาจและเวลามากพอในการทดลองดูว่า จะสร้างพลังงานระดับสูงชนิดพิเศษนี้ได้หรือไม่
ลู่เซิ่งเดินไปถึงบึง ก่อนจะจุ่มมือลงไปในบ่อเลือด
เลือดเหนียวเหนอะไหวกระเพื่อมท่วมนิ้วชี้ของเขา พลังอาวรณ์ที่เข้มข้นสายหนึ่งส่งเข้าร่างเขาอย่างรวดเร็ว
“สุดท้ายจะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็จะตั้งตารอคำตอบ” พอดูดซับพลังอาวรณ์ด้านในเสร็จ ลู่เซิ่งก็ชักมือกลับ ลุกขึ้นหมุนตัวผละไป
“น้อมส่งนายท่าน”
เผ่าปีศาจที่เฝ้าอยู่พากันโค้งตัว หนวดจำนวนมากทะลักออกมาด้านหลังพวกเขา กราบลู่เซิ่งเหมือนกับปลาหมึก
เมื่อเดินออกจากวังเทพปีศาจ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก
เขาไม่รู้ว่าพลังอาวรณ์หลายล้านหน่วยที่เพิ่งดูดซับไปเมื่อครู่ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นไม่นานหรือว่าอยู่บนตัวปีศาจที่ใช้เซ่นสรวงเหล่านี้อยู่แล้ว
แต่รอจนบึงโลหิตเป็นรูปเป็นร่าง และจำนวนของเซ่นเช่นเผ่าปีศาจนิ่งแล้ว เขาจะดูดพลังอาวรณ์ทั้งหมดในทีเดียว
ถ้าหลังจากนั้นยังมีพลังอาวรณ์เกิดขึ้น ก็หมายความว่า พลังอาวรณ์เทียมเป็นสิ่งที่ทำได้
แกร๊ก
ฉับพลันนั้นสีหน้าลู่เซิ่งก็เปลี่ยนไป
มีเสียงแกร๊กเบาๆ ดังเข้ามาในสมอง คล้ายมีอะไรแตกกะทันหัน
เขาหลับตาลง สัมผัสได้ว่าร่างกาฝากที่สามารถขยายตัวไปได้ตลอดเวลาเหมือนกับวัชพืชในจิตของลู่เซิ่ง หายไปหลายตัว
“ถูกคนพบแล้วหรือ หรือว่า…เกิดอุบัติเหตุ” ลู่เซิ่งไม่รู้ แต่ก็ไม่ร้อนใจ แผนการที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว
เขามองขึ้นไป ดวงอาทิตย์สีทองปล่อยแสงอาทิตย์เจิดจ้าระยิบระยับ แม้จะมืดสลัวกว่าดวงก่อนเล็กน้อย แต่ก็รักษาการสาดส่องอย่างปกติไว้ได้เช่นกัน
…
“เป็นอัคคีชนิดนี้นี่เอง!”
ด้านในวังไป๋เจ๋อ ตวนฟางหน้าซีดขาว เขาจับจ้องผงสีขาวหลายกลุ่มที่หยิบออกมาจากมือไป๋เจ๋อ
ผงชนิดนี้เหมือนกับเถ้าธุลีที่เหลืออยู่หลังการเผาไหม้ของไฟบางชนิด
ไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว มองคุรุปีศาจคุนเผิงที่อยู่ไม่ไกลออกไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ได้จากเขา
บอกความเป็นมาไม่ได้ แต่กลับทำให้ตวนฟางยืนยันคำตอบได้อย่างเหนือความคาดหมาย นั่นก็คือ เจ้าของเปลวอัคคีชนิดนี้มีกลิ่นอายเดียวกับเทพปีศาจที่ถูกควบคุมเหล่านั้น
ที่มุมหนึ่งของตำหนักใหญ่ในวังไป๋เจ๋อ มีศพเผ่าปีศาจรูปร่างพิลึกกึกกือหลายศพกองระเกะระกะ
ศพพวกนี้เป็นศพที่คุรุปีศาจคุนเผิงพามา เขาสังหารปีศาจประหลาดพวกนี้ แม้พวกเขาจะเป็นเทพปีศาจที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่พออยู่ต่อหน้าคุรุปีศาจ ก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว
“เจ้าพวกนี้กล้าวางกับดัก คิดลอบโจมตีข้า ข้าพบเข้าเสียก่อน จึงฆ่าพวกมัน ได้ยินมาว่าพวกเจ้าก็ถูกไล่ล่าเช่นกัน เลยนำมาเปรียบเทียบดูว่าเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ นึกไม่ถึง…”
คุรุปีศาจยิ้มเย็นชา
“ถึงกับมีคนไม่กลัวตายกล้าลงมือกับเทพปีศาจของอุทยานปีศาจ…รนหาที่ตายจริง!”
“ไม่…ไม่ใช่รนหาที่ตาย…” ไป๋เจ๋อส่ายหน้าน้อยๆ “คุรุปีศาจอาจจะไม่สนใจการรุมของเทพปีศาจไม่กี่ตน แต่ถ้ามีจำนวนเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าเล่า”
“แล้วมันอย่างไรเล่า เป็นแค่ไก่ดินสุนัขกระเบื้องเท่านั้น” คุนเผิงทำท่าทะนงตัวเหมือนยามปกติ
“ถ้ามีอีกสิบเท่าเล่า” ไป๋เจ๋อถามอีก
สีหน้าของคุนเผิงแปรเปลี่ยน
“เป็นไปไม่ได้หรอก! ขุมกำลังที่มีเซียนทองคำหลายสิบคนในฟ้าดินมีแต่อุทยานปีศาจกับเผ่าเวทเท่านั้น!”
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก” ไป๋เจ๋อได้คำตอบของตัวเองแล้ว เมื่อมีมดมากมายมหาศาลก็กัดช้างตายได้เช่นกัน ยิ่งอย่าว่าแต่พวกนี้ไม่ใช่มด หากเป็นเทพปีศาจตัวจริงเสียงจริง
หากมากันหลายสิบตน ต่อให้เป็นคุนเผิง ก็ไม่อาจรับมือได้ไหว
“นี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบสับเปลี่ยน ถ้ามีเทพปีศาจหลายสิบตนผนึกกำลังกันเป็นทัพใหญ่ รวมพลังเป็นหนึ่ง อย่างนั้นไม่ว่าพวกเราจะแข็งแกร่งขนาดไหน ต่อให้เป็นจอมอริยะ ก็ยากจะปะทะซึ่งหน้า” ไป๋เจ๋ออธิบายอย่างเรียบง่ายเหมือนบอกเล่าความจริง
“แล้วนั่นจะอย่างไร เจ้าอยากจะบอกอะไรกันแน่ คิดจะบอกว่าผู้ควบคุมทุกสิ่งเบื้องหลังเรียกใช้กองกำลังที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้หรือ” คุรุปีศาจคุนเผิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ความจริงก็เป็นอย่างที่ท่านเดานั่นเอง คนผู้นั้นเรียกใช้กองกำลังมากมายขนาดนี้ได้จริงๆ” ไป๋เจ๋อเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เหลวไหล!” คุนเผิงไม่เชื่อ “ไป๋เจ๋อ ช่วงนี้เจ้าตรวจสอบคดีจนหัวสมองพังไปแล้วหรือ ไอ้คำพูดโง่เง่าแบบนี้ พูดออกมา นอกจากจะทำให้คนหัวเราะ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“ความจริงไม่ต้องลำบากแบบนั้นก็ได้ขอรับ” ตวนฟางที่เงียบขรึมมาโดยตลอด พลันยื่นมือไปหยิบผงสีขาวเหล่านั้นขึ้นมา
“ข้าสามารถตามกลิ่นอายของไฟนี้ไปจนเจอเจ้าของมันได้”
ไป๋เจ๋อกับคุนเผิงได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงไป
“เจ้าแน่ใจนะ” ไป๋เจ๋อลืมตาโต
ตวนฟางพยักหน้า เอ่ยจริงจังว่า
“แน่ใจมากขอรับ!”
“อย่างนั้นก็ลงมือเลย!” คุนเผิงหัวเราะเสียงเย็น “ข้าอยากจะเห็นนักว่า มันเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกันแน่ ถึงควบคุมให้เทพปีศาจยอมถวายตัวรับใช้ได้”
“เคลื่อนไหวให้เร็วที่สุด พวกเราจะต้องตามหามันให้เจอก่อนที่มันจะรู้ตัว!” ไป๋เจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย
“ได้!” ตวนฟางพยักหน้าอย่างแรง “ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายสายนั้นอยู่ใกล้อย่างยิ่ง ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็…”
…
เคร้งๆๆๆ!
เสียงดนตรีเร่งระรัวดังมาจากตำหนักข้างของวังหงส์เพลิงเหมือนโลหะกระทบกันอย่างไม่ขาดสาย
เสี่ยวหนิงก้มหน้าดีดผีผาอย่างมีสมาธิ
อวี่ซวนนอนอยู่บนตั่งไม้ด้านข้าง มีหญิงสาวช่วยนวดศีรษะให้นางเบาๆ
คนในเผ่าที่เหลือนั่งกันอยู่สองฟากด้านล่าง ฟังเพลง กินอาหารโอชะและผลไม้เซียน บางครั้งจะมีคนทะเลาะเบาะแว้งกัน บรรยากาศมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
เผ่าหงส์เพลิงจัดงานเลี้ยงอย่างหาได้ยาก
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางทางซ้ายมือ ถือสุราเซียนกาหนึ่ง รินใส่จอกสุราจนเต็ม
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นลอยมาจากกลุ่มตำหนักที่อยู่ไกลออกไป
งานเลี้ยงหยุดลง เสี่ยวหนิงเงยหน้ามองอวี่ซวน ใช้สายตาถามไถ่ว่าให้เล่นต่อไปหรือไม่
“อาจจะเป็นค่ายกลของวังเทพปีศาจสักแห่งพังทลาย ไม่เป็นไร เล่นต่อไปเถอะ” สายตาอวี่ซวนฉายแววสงสัย จากนั้นก็เอ่ยปลอบ
เสียงดนตรีบรรเลงต่อไป
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น ประตูตำหนักถูกพละกำลังมหาศาลกระแทกเปิด เผ่าปีศาจที่มีพลังปีศาจเหี้ยมหาญลอยวนเวียนบนร่างสาวเท้าเดินเข้าตำหนัก
บนตัวของพวกเขามีจิตปฐมวนเวียนอยู่ไม่มากก็น้อย เป็นเทพปีศาจที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด
ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดคือตวนฟาง ไป๋เจ๋อ รวมถึงคุรุปีศาจคุนเผิง
ผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขา คือเทพปีศาจตนใหม่ที่อุทยานปีศาจรับสมัครมาจากโลกเบื้องล่างในช่วงเวลานี้ ก่อนหน้านี้ที่ไม่รับสมัครเพราะมีเงื่อนไขไม่พอ แต่ตอนนี้ต้องการกำลังรบอย่างเร่งด่วน จึงไม่ได้พิถีพิถันเหมือนเดิม
“อยู่ที่ใด” ไป๋เจ๋อมองตวนฟาง
ตวนฟางสูดจมูก สายตากวาดผ่านร่างเผ่าหงส์เพลิงที่นิ่งอึ้งไปทีละคนๆ ไม่นานก็หยุดอยู่บนร่างของลู่เซิ่ง
พอสังเกตเห็นสายตาของตวนฟาง ไป๋เจ๋อก็จ้องมองลู่เซิ่งที่ถือจอกสุราด้วยสีหน้างงงันเช่นกัน
“ขอเรียนถามพวกท่าน...” อวี๋ซวนลุกขึ้นจากตั่งไม้ เห็นกลิ่นอายจิตปฐมที่เกี่ยวกระหวัดบนร่างคนกลุ่มนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมถึงขีดสุด
“อวี่ซวนคำนับคุรุปีศาจ ผู้อาวุโสไป๋เจ๋อ และสหายเทพปีศาจทุกท่าน” นางรีบเดินลงจากแท่น แล้วคำนับพวกคุนเผิงอย่างเคารพ
“อิงเจา เจ้าเป็นคนฆ่าใช่ไหม” ไป๋เจ๋อไม่สนใจนาง หากแต่จ้องมองลู่เซิ่ง สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นชา
ปริมาณข้อมูลที่บรรจุอยู่ในคำถามนี้ทำให้สีหน้าของอวี่ซวนเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เผ่าหงส์เพลิงปิดปากส่งเสียงอุทาน
ความตายของอิงเจาไม่ได้ประกาศออกมา ปิดบังทุกคนมาโดยตลอด ตอนนี้ถูกไป๋เจ๋อประกาศต่อหน้าสาธารณชน
ฉับพลันนั้นทุกคนถึงเพิ่งนึกออกว่า ช่วงนี้ไม่ได้ยินคำสั่งของผู้จัดการใหญ่อิงเจาจริงๆ
ความสนใจของอวี่ซวนไล่ตามสายตาของไป๋เจ๋อไปตกบนร่างลู่เซิ่งที่นั่งอยู่
ผีผาในมือเสี่ยวหนิงตกลงบนพื้นดังโครม ตกใจจนใบหน้างามถอดสี ร่างสั่นเทา
ไม่เพียงแต่พวกนางเท่านั้น วินาทีนี้สายตาของคนในเผ่าที่เข้าร่วมงานเลี้ยงทั้งหมดต่างก็จับจ้องบนร่างลู่เซิ่ง พวกนางมีภาพความทรงจำที่ไม่เลวต่อสหายร่วมเผ่าจากโลกเบื้องล่าง ที่มีหน้าตาหล่อเหลา และบุคลิกเป็นมิตรผู้นี้มาโดยตลอด
เพียงแต่ไม่ทราบว่าทำไมเขาถึงถูกลากเข้ามาในเรื่องยุ่งยากเรื่องนี้ด้วย
“ผู้อาวุโสทุกท่าน มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือไม่…” อวี่ซวนอดเอ่ยไถ่ถามไม่ได้
กลับนึกไม่ถึงว่าเทพปีศาจเช่นพวกไป๋เจ๋อจะเมินเฉยนาง จ้องลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ตาเขม็ง
ซึ่งแตกต่างไปจากความงงงวย ตกใจ สั่นสะท้านที่อยู่รอบข้างโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งที่ถือจอกสุราได้ยินดังนั้น ความงงงันบนใบหน้าก็จางหายไป
“นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้” เขาดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมด
ระหว่างสุราเลิศรสบริสุทธิ์กับสุราความแรงสูง เขาชอบน้ำผลไม้ที่มีกลิ่นสุราแบบนี้มากกว่า
แม้เผ่าปีศาจจะเรียกมันว่าสุรา แต่เขาก็ยังเรียกมันว่าน้ำผลไม้อยู่ดี
……………………………………….