ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 920 ตำนาน (2)
ณ ธารสวรรค์
มหาเทพกับตี้ซวินยืนเคียงคู่กัน ทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีทอง สวมกวนจักรพรรดิสวรรค์ บนร่างมีลวดลายอีกาทองสามขา สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือ บนร่างทั้งคู่มีแสงสีขาวเรืองรองออกมาเบาบาง
แสงนี้เหมือนกับแผ่กระจายออกมาจากเบื้องหลังพวกเขา แต่ถ้าหากมีคนเดินไปด้านหลังพวกเขา ก็ไม่เจอแหล่งกำเนิดแสงนั้นเช่นกัน
นี่คือแสงแห่งจิตปฐมที่อวิ๋นเหมิงพูดถึง
มหาเทพยืนอยู่ด้านบน ก้มมองกองทัพเผ่าปีศาจในธารสวรรค์สีเงินเบื้องล่างที่ระดมมาจากทั่วทุกสารทิศ
แม่ทัพเทพปีศาจหลายตนนำทัพมาถึงที่นี่ กองทัพขนาดยิบย่อยได้กลายเป็นทัพมหึมาไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด
“เสาสวรรค์หักโค่นถล่มลงแล้ว การกระทำของบรรพชนเวททำให้สิ่งมีชีวิตบนผืนดินพินาศ วันนี้พวกเราจะทำลายบรรพชนเวท เพื่อช่วยเหลือชีวิตนับหมื่นนับพันออกจากขุมนรก” มหาเทพกล่าวเชื่องช้า
“เหลยกง รัวกลอง!” เขาส่งสายตามองเหลยกงและเตี้ยนหมู่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทั้งสองเข้าใจรัวตีกลองสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
ครืน!
ท้องฟ้าส่งเสียงฟ้าร้องต่อเนื่อง สายฟ้าฟาดไม่หยุดหย่อนรอบธารสวรรค์แน่นขนัดราวกับใยแมงมุม
“ออกเดินทาง!” เทพปีศาจตนหนึ่งด้านล่างชูตรีศูลขึ้นส่งเสียงคำราม
ฉับพลันกองทัพอุทยานปีศาจขนาดมหึมา ต่างหลั่งไหลเดินหน้าไปยังอาณาเขตบนผืนดินที่บรรพชนเวทอยู่อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ดุจสายน้ำสีเงินลาดเทจากธารสวรรค์
ในอุทยานปีศาจ เผ่าเวทเองก็เตรียมกองทัพจำนวนเหลือคณานับไว้แล้วเช่นกัน สัตว์เทพขุยตีรัวกลองศึกหนังวัว เสียงฟ้าร้องพร้อมกับเสียงอัสนีบาต
ทหารในเผ่าเวทราวกระแสน้ำสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาทัพปีศาจธารสวรรค์ สองฝ่ายต่างใช้อาคมอิทธิฤทธิ์สุดแรง
ทัพปีศาจอาวุธเต็มอัตรา ถนัดอิทธิฤทธิ์ พรสวรรค์แข็งแกร่งมากมาย
ทางเผ่าเวทมีกายเนื้อเหี้ยมหาญ ไม่กลัวการโจมตีด้วยแกนเวท ต่างก็กระหายเลือดไม่กลัวตายทั้งสิ้น
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันดุเดือดยิ่ง
แต่ผู้ที่ลงมือมีเพียงระดับทั่วไปเท่านั้น เทพปีศาจขั้นสูงและสุดยอดจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุด ต่างไม่ขยับตัวเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
จอมเวทเป็นคำเรียกผู้นำเผ่า แต่ว่าจอมเวทผู้นำเผ่าใหญ่มีพลังเหนือกว่าจอมเวทเผ่าทั่วไป
เทพปีศาจก็เช่นกัน พวกเขามีระดับแตกต่างกันมหาศาล ตั้งแต่เซียนทองคำขั้นล่างถึงเซียนทองคำขั้นบน คนละระดับโดยสิ้นเชิง
บนที่ราบกว้างแถบเขาปู้โจวซาน ธารสวรรค์ถล่มลงมา กองทัพจำนวนหลายร้อยล้านของเผ่าเวทและปีศาจฆ่าฟันกันอย่างบ้าคลั่ง
ดินแดนสุดบูรพาร้อนแรงอีกแห่งหนึ่ง สิบโอรสอีกาทองแอบนำทัพปีศาจเข้าด้านหลังเผ่าเวท คิดลอบโจมตี แต่กลับถูกจอมเวทคัวฝูที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ค้นพบ
ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกเป็นตาย
ไกลออกไป ในความว่างเปล่านอกสามสิบสามชั้นฟ้า วงแสงอ่อนโยนสามสายลอยนิ่ง วงแสงมีสีสันต่างกัน ด้านในมีผู้วิเศษต่างสถานะยืนอยู่
ในวงแสงสีเขียว ทงเทียนเจียวจู่แห่งเหนือพิสุทธิ์สะพายกระบี่ชิงผิงไว้เบื้องหลัง มองศึกใหญ่เบื้องล่างด้วยสีหน้าเย็นชา
ในวงแสงสีทองขาว หยวนฉื่อเทียนจุนแห่งหยกพิสุทธิ์คลุมแถบผ้า เคราขาวปลิวไสว สองตาเปล่งแสงสีขาวแวววาว มุมปากยกยิ้ม
ในวงแสงสีฟ้า เต้าเต๋อเทียนจุนแห่งเอกพิสุทธิ์นั่งขัดสมาธิ ผมขาวพลิ้วสยาย สองตาปิดสนิทเหมือนงีบหลับ
ในที่สุดสงครามของอุทยานปีศาจกับเผ่าเวทก็อุบัติขึ้น แต่ว่าในสายตาของผู้วิเศษทั้งสาม เป็นเพียงรูปเดิมที่กำเนิดขึ้นตามธรรมชาติของการเกิดและการดับของสรรพสิ่ง เป็นปกติธรรมดา
สาเหตุที่พวกเขามาด้วยกัน ก็เพื่อเผชิญหน้ากับสามผู้วิเศษที่ลอยอยู่กลางความว่างเปล่าเช่นกัน
ในวงแสงสีแดง ผู้วิเศษหนี่ว์วาหน้างามเย็นชา มือประคองดินเหลือง มองสมรภูมิของสงครามใหญ่ด้านล่าง
ในวงแสงสีทองด้านข้าง จุ่นถีเต้าหยินยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับหนี่ว์วา สีหน้าเผยรอยยิ้ม
“พวกเราต่างเคยเป็นศิษย์ของอาจารย์ในตำหนักพิมานเมฆา เหตุใดทุกท่านต้องทำเช่นนี้เพื่อบั่นทอนน้ำใจกันด้วยเล่า” จุ่นถีเต้าหยินเป็นคนอ่อนโยนเสมอมาเอ่ยถาม
“เผ่าปีศาจ เผ่าเวท กับเผ่ามนุษย์ที่ข้าสร้าง เข้าร่วมสงคราม ตอนนี้ผืนดินสั่นสะเทือน เขาปู้โจวซานถล่ม ชีวิตมอดม้วย ไร้สุขาวดี ข้าในฐานะผู้วิเศษเผ่าปีศาจ ตอนนี้หากไม่ลงมือ คงเสียทีที่เป็นผู้วิเศษ” หนี่ว์วาเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
“นี่คือสภาวะฟ้าดิน อย่างไรเผ่าเวทและปีศาจก็ต้องสู้กัน เหตุใดผู้วิเศษหนี่ว์วาต้องยึดติดกับความรุ่งเรืองของเผ่าปีศาจปานนั้น” หยวนฉื่อเทียนจุนพ่นลมหายใจทอดยาว น้ำเสียงราบเรียบ เหมือนไม่ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ใช่ผู้ที่สังหารสามอสุภะแล้วบรรลุธรรมอย่างพวกท่าน ข้ายังมีอารมณ์รักโลภโกรธหลง และเผ่าปีศาจก็ยกย่องนับถือข้า เผ่ามนุษย์เองก็เป็นลูกๆ ของข้า เลือดเนื้อเชื้อไขห้ำหั่นกันเองแบบนี้ ข้าต้องลงมือ” หนี่ว์วาแค่นเสียงคำหนึ่ง ดินเหลืองในมือจับตัวเป็นก้อนดินสีเหลืองก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นดินเหลืองที่หลงเหลือจากการที่นางสร้างมนุษย์คราวนั้น ปัจจุบันได้เติมอานิสงส์เข้าไป จึงกลายเป็นสมบัติของผู้วิเศษหลังกำเนิด หากโปรยลงไป จะทำให้ทุกสรรพชีวิตกลายเป็นดินเหลืองได้
“วัฏจักรฟ้าดินย่อมมีกฎ เหตุใดศิษย์น้องต้องแข็งข้อเช่นนี้ด้วย” เต้าเต๋อเทียนจุนแห่งเอกพิสุทธิ์เอ่ยแช่มช้า
“ข้าเพียงแค่…อยากจะเหลือเชื้อไฟไว้บางส่วน แค่นี้พวกท่านก็จะขวางข้าหรือ” ใบหน้าของหนี่ว์วาฉายความเด็ดเดี่ยว
นางแตกต่างจากสามพิสุทธิ์ พวกเขาคือผู้วิเศษก่อนกำเนิด หรือวิญญาณเทพโดยกำเนิด ส่วนนางสั่งสมบุญกุศลจนบรรลุธรรม ภายใต้วัฏจักรฟ้าดิน สิ่งที่ถูกทำลายคือชาวประชาของนาง ลูกๆ ของนาง
“ผู้วิเศษหนี่ว์วามีจิตเมตตากรุณาเผ่าเวทและปีศาจ ยินดีร่วมมือกับชมพูทวีปของเราตถาคต เราย่อมต้องลงมือช่วยเหลือ” จุ่นถียิ้มอย่างเมตตา มือสาดแสงเจ็ดสี ไม้เท้าหยาบใหญ่ท่อนหนึ่งปรากฏในมือเขา
ไม้เท้าท่อนนั้นเหมือนต้นไม้ ตรงปลายห้อยของล้ำค่าเจ็ดชนิด ได้แก่ ทอง เงิน แก้ว ผลึก ปะการัง มุกสีแดง และโมรา
ของล้ำค่าในนี้สาดแสงสีรุ้ง แบ่งดาวสีรุ้งออกมาเป็นกลุ่มๆ ลอยวนเวียนรอบตัวจุ่นถี
เขากับหนี่ว์วาบรรลุธรรมหลังกำเนิดเหมือนกัน เขาตั้งปณิธานใหญ่จนบรรลุธรรม ทุกสิ่งที่ทำต่างก็เพื่อโปรดสัตว์ให้แก่ชมพูทวีป ครั้งนี้ที่มา ก็เพราะสามพิสุทธิ์ได้เปรียบ เขากับหนี่ว์วาจึงร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน ต่อต้านอีกฝ่าย
“เช่นนั้น ก็มาสู้กันสักตั้ง” ทงเทียนเจียวจู่แห่งเหนือพิสุทธิ์ชักกระบี่ชิงผิงออกมาจากด้านหลัง สีหน้าเย็นเยียบ
…
ตำหนักหงส์เพลิง
ลู่เซิ่งนำแผ่นหยกกลับมาถึงห้องนอนตัวเอง ข้อมูลที่ได้จากอวิ๋นเหมิงทำให้เขาใคร่ครวญอีกครั้ง
ถ้าหากเทพปีศาจคือระดับมายาพิศวง อย่างนั้นตี้ซวิน มหาเทพ ซีเหอ คุรุปีศาจคุนเผิง ซึ่งเป็นสี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในอุทยานปีศาจ ถ้าไม่ใช่สุดยอดเทพปีศาจ ก็เป็นจอมอริยะ
เมื่อได้เห็นระดับเทพปีศาจ ลู่เซิ่งกลับคิดจะทดลองความร้ายกาจของจอมอริยะดู
ขณะนั่งขัดสมาธิในห้องนอน เขาหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไร ใช้จิตวิญญาณกวาดมองอย่างไร ก็มองไม่เห็นเนื้อหาใดๆ ทั้งสิ้น
ต้องใช้จิตปฐมตรวจสอบดู ถ้าเราใช้เส้นทางผู้บำเพ็ญปราณ กลับตรวจสอบแผ่นหยกในขอบเขตเทพจำแลงได้ แต่ตอนนี้เราเป็นปีศาจ มีกายอริยะสายเลือดหงส์เพลิง และไม่มีจิตปฐม ไม่มีวิธีจัดการได้จริงๆ
ต่อให้เป็นร่างหลัก เขาก็ลองใช้จิตวิญญาณกวาดมองดูแล้ว ก็ยังคงไร้ผล ของสิ่งนี้เหมือนกับศิลาหยกธรรมดาทั่วไป ด้านในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
จิตปฐมเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าสารกาย ปราณ จิต ในการสืบทอดหงส์เพลิงน่าจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ลู่เซิ่งกลับไปตรวจดูความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขารับมาในคราวเดียว ไม่ทันได้จัดระเบียบ เพียงเลือกส่วนของวิชาออกมาดูเท่านั้น
ตอนนี้พอกลับมาหาจิตปฐม เขาก็เจอเบาะแสเข้า
“จิตปฐม คือ จิตก่อนกำเนิด จิตวิญญาณในสารกาย ปราณ จิตคือจิตหลังกำเนิด หากคิดจะกลับสู่ต้นกำเนิด เพื่อสร้างแกนจิตขึ้นอีกครั้ง จะต้องหลอมรวมสารกาย และปราณ เข้ากับจิตวิญญาณ สามสิ่งผสมผสาน ก่อเกิดการเผาไหม้ กลายเป็นอัคคีปฐม อัคคีปฐมเผาไหม้คราบสกปรกสิ่งเจือปน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือจิตปฐม”
บันทึกในการถ่ายทอดของหงส์เพลิงชัดเจนมาก ลู่เซิ่งสรุปมันออกมาเป็นย่อหน้าสั้นๆ
เมื่ออ่านดู เขาก็เข้าใจความแตกต่างของผู้บำเพ็ญปราณและเผ่าปีศาจ
เผ่าปีศาจพยายามรวบรวมวัตถุดิบ เมื่อรวบรวมได้มากพอ ทุกอย่างก็จะลุกไหม้และระเบิด อานุภาพที่เพิ่มขึ้นจะมหาศาล จิตปฐมเองก็จะแข็งแกร่งและเยอะขึ้นเช่นกัน
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรจะเริ่มจุดไฟกลุ่มเล็กๆ ค่อยๆ เผาไหม้สั่งสม
แต่อุณหภูมิย่อมไม่สูงเท่าการระเบิดในทีเดียว สิ่งที่เผาออกมาจึงสู้เผ่าปีศาจไม่ได้ แต่มีข้อดีตรงเป็นลำดับขั้นตอนและปลอดภัย
“อย่างนั้นบันทึกทักษิณอายุวัฒนะวัฏจักรที่เจ็ดสิบเอ็ดในปัจจุบันของเราก็สั่งสมวัตถุดิบที่มากพอแล้วไม่ใช่หรือ ขอแค่จุดไฟเผา ก็จะสร้างจิตเทพออกมาได้อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งนึกถึงสภาพของตนในปัจจุบัน
“แต่ก่อนหน้านั้น จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พลังของเราในตอนนี้อยู่ในระดับอะไร” ลู่เซิ่งคิดใคร่ครวญ
เป็นไปได้มากว่าจอมอริยะของอุทยานปีศาจจะเป็นสี่คนนั้น ส่วนจอมอริยะของโลกเบื้องล่างก็อาจจะเป็นบรรพชนเวทสิบคน
ดังนั้นถ้าจะลองดู คงได้แต่หา…ไม่ใช่สิ!
ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็นึกถึงคนคนหนึ่ง หงอวิ๋น!
แต่ว่า ตอนนี้เผ่าเวทกับปีศาจทำศึกใหญ่ บางทีหากรอสักหน่อย ก็จะมีผู้เข้มแข้งระดับจอมอริยะลงมือ…ถึงเวลานั้นค่อย…
ตูม!
ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนืออุทยานปีศาจมืดครึ้มลง
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าเหมือนมีบางอย่างถูกเจาะ ส่งคลื่นเสียงแข็งแกร่งไร้รูปร่างออกมา
คนธรรมดาไม่ได้ยินคลื่นเสียงนั้น มีเพียงเผ่าหงส์เพลิงที่อยู่ในขอบเขตสูงเช่นลู่เซิ่งที่ควบคุมท่วงทำนองเท่านั้น ถึงจะสัมผัสได้
เขาเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากห้อง เงยหน้ามอง คลื่นเสียงนั้นส่งมาจากดวงอาทิตย์เหนือศีรษะ
โอรสอีกาทองมีหน้าที่ดูแลการโคจรของดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ขึ้นจนตก
ทว่าดวงอาทิตย์ในตอนนี้กลับกะพริบแสงทองน่าตระหนก ลำเพลิงสีทองหลายสายพุ่งออกมาจากด้านใน และร่วงตกไป
แม้จะอยู่ในอุทยานสวรรค์ที่มีค่ายกลดวงดาวครอบนภาคอยคุ้มครอง ลู่เซิ่งก็ยังรู้สึกร้อนลวกไปทั่วร่างอยู่ดี
สติไม่ทันได้กลับมา ดวงอาทิตย์ก็แบ่งก้อนแสงร้อนระอุหลายดวงอย่างต่อเนื่องสิบกว่าดวงออกมา
ด้วยแสงเจิดจ้าและรวามร้อนระอุ ทำให้อากาศเดือดพล่านบิดเบี้ยวเลือนราง
“นี่มัน…!” ลู่เซิ่งนึกถึงตำนานที่เกี่ยวข้องทันที
ดวงอาทิตย์สิบดวงสาดส่องผืนดิน สรรพสัตว์ทนทรมาน ปฐพีแตกแยก โฮ่วอี้ใช้ไม้เจี้ยนทำเป็นคันธนู ยิงดวงอาทิตย์ตกลงมาเก้าดวง
“นี่มันเทพนิยายโบราณ ได้เห็นกับตา ก็ไม่เสียเที่ยวแล้ว!” ลู่เซิ่งสงบจิตใจ หมุนตัวกลายเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานสายหนึ่ง บินออกจากตำหนักหงส์เพลิง พุ่งลงไปยังผืนดินด้านล่าง
…
ดินแดนสุดบูรพา
ผืนดินแห้งผากแตกระแหง
ในหลุมลึกขนาดมหึมา ลำเพลิงของดวงอาทิตย์หลายสายตกลงมาจากฟ้า พุ่งใส่กลางหลุมลึก
ตรงนั้นมีศพขนาดมหึมาที่ยาวมากกว่าร้อยหมี่นอนอยู่ ศพดำเกรียม ถูกลำเพลิงดวงอาทิตย์แสนน่ากลัวโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เสียงหัวเราะแหลมดังมาจากท้องฟ้า อีกาทองสามขาสิบตัวกลายเป็นรังสีแดงสีทองสิบกลุ่ม ลอยวนเวียนรอบหลุมลึก
แม้ว่าอีกาทองสิบตัวจะบาดเจ็บมากกว่าครึ่ง ทุลักทุเลอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายชัยชนะก็ตกเป็นของพวกเขา
ตอนที่ลู่เซิ่งบินมาถึง สิ่งที่เห็นคือสภาพอเนถอนาถเช่นนี้
อุณหภูมิบนผืนดินเพิ่มสูงขึ้นหลายร้อยองศา อากาศไม่หลงเหลือไอน้ำอีก ป่าไม้ถูกเผาราบเป็นตอตะโก
……………………………………….