ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 918 จุด (2)
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้คร่าวๆ แล้ว หงส์เพลิงที่อยู่บนสวรรค์นั้นโดดเดี่ยวเกินไป ทั้งยังไม่อาจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นได้ ได้แต่หาความสำราญกับพวกตัวเองเท่านั้น แต่บุรุษเพศในเผ่ากลับมีความเป็นสตรียิ่งกว่าอิสตรีเสียอีก
ตอนนี้เขาปรากฏตัวกะทันหัน พลันดึงดูดความสนใจของหงส์เพลิงทั้งหมด
แม้ลู่เซิ่งจะไม่ยอมรับหน้าตาของตนในตอนนี้ แต่เขาทราบว่ารูปลักษณ์แบบนี้อยู่ในระดับไหนเมื่ออยู่ด้านนอก
กล่าวได้ว่าบันทึกทักษิณอายุวัฒนะเน้นความงามเป็นหลัก จึงปั้นร่างหลักที่ประสานพลังดั้งเดิมกับความงาม จนกลายเป็นหน้าตาดั่งเช่นในตอนนี้ที่เป็นมาตรฐานความงามของทุกคน
แม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า รูปลักษณ์นี้ก็มอบภาพประทับใจแรกที่ดีให้แก่สตรีเพศได้
หลังจากนีเอ๋อร์มาส่งเขาแล้ว ก็หันหลังจากไป
ในคฤหาสน์ว่างเปล่า นอกจากลู่เซิ่งแล้ว ก็ยังมีสตรีอาภรณ์ม่วงอีกสองคนที่คุยซุบซิบกันแผ่วเบาอยู่ตรงมุมลาน
ในฐานะทายาทหงส์เพลิง หญิงสาวหนึ่งเย็นหนึ่งร้อน บุคลิกแตกต่างกัน แต่สืบทอดความงามแทบสมบูรณ์แบบมาเช่นเดียวกัน
พวกนางเพียงแค่เหลือบมองลู่เซิ่ง แล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก หันไปพูดคุยกันต่อ
ลู่เซิ่งเดินตัดผ่านทะลุลาน เจอห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องที่ยังว่างภายในคฤหาสน์ เลือกเข้าห้องนี้ไป
หลังจากภูเขาปู้โจวซานถล่ม ตำหนักหงส์เพลิงบนอุทยานสวรรค์เคลื่อนไหวในช่วงแรกไม่กี่วัน จากนั้นก็สงบลง
ทุกๆ วันนอกจากจะไปหาบริวารในลัทธิแสงสว่างของตัวเอง และเผ่าปีศาจจากป่าต้นไม้ยักษ์อย่างพวกหลันซีและเอินรั่วที่อีกตำหนักแล้ว ลู่เซิ่งก็เดินเล่นอยู่ในตำหนักหงส์เพลิง
อวี่ซวนไม่ได้วางกฎว่าเขาต้องทำอะไร เพียงห้ามไม่ให้เขาออกจากตำหนักหงส์เพลิงเท่านั้น ที่เหลือเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
นี่ทำให้ลู่เซิ่งที่เกิดความสนใจต่ออุทยานสวรรค์มาโดยตลอด เที่ยวเล่นรอบตำหนักหงส์เพลิงอย่างจริงจัง
มื้ออาหารสามมื้อในแต่ละวัน จะมีหญิงสาวเผ่าปีศาจสายเลือดหงส์เพลิงเจือจางยกมา หญิงสาวพวกนี้สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น เครื่องนุ่มห่มยั่วยวนเต็มเปี่ยม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวัน แสดงออกถึงเจตนายั่วยวนชัดเจนเหลือเกิน
ตอนกลางคืนจะมีคนแอบเคาะหน้าต่างห้องนอนลู่เซิ่งเบาๆ เสื้อชั้นในที่ซักตากในลานมักหายไปอย่างแปลกประหลาด
มีหลายครั้งที่ลู่เซิ่งถึงขั้นพบว่า จอกชาที่ตัวเองเพิ่งดื่มไปได้ไม่กี่อึกหายสาบสูญไปแม้จะลุกไปที่อื่นเพียงครู่เดียว…
เขาพูดเรื่องพวกนี้กับนีเอ๋อร์หลายรอบ แต่นีเอ๋อร์เพียงหัวเราะ ให้ความรู้สึกเหมือนผลักเรือตามน้ำอยู่บ้าง
ทางอวี่ซวนค่อยๆ เริ่มออกห่างจากลู่เซิ่ง เหมือนอนุญาตคนในเผ่าก้ไม่ปาน
เผ่าหงส์เพลิงมีตำแหน่งในอุทยานสวรรค์ไม่สูงนัก เป็นเพราะคุณสมบัติพรสวรรค์ของสัตว์เทพ จึงยากที่จะแต่งงานกับเผ่าพันธุ์อื่น กอปรกับมีแต่เผ่าปีศาจระดับกายอริยะหงส์เพลิงแต่งงานกันเท่านั้น ถึงจะให้กำเนิดทายาทสายเลือดบริสุทธิ์สูงเหมือนกันได้
ดังนั้นการแต่งงานภายในจึงเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เผ่าหงส์เพลิงที่อยู่ในตำหนักหงส์เพลิงยังพอว่า แม้จะมีบุรุษเพศไม่มาก ทั้งยังมีหน้าตาเฉกเช่นสาวงาม แต่จำนวนมากพอจะมีอะไรกันได้ ทว่าในอุทยานสวรรค์กลับไม่เพียงพอแล้ว
หงส์เพลิงทั้งหมดหลายสิบตน มีบุรุษเพศไม่กี่คน และบุรุษเพศเหล่านี้ก็ไม่สนใจสตรีเพศ…บวกกับไม่อาจออกไปด้านนอกได้ ดังนั้นเผ่าหงส์เพลิงต้องหักห้ามความปรารถนาที่พลุ่งพล่านไว้ตลอดเวลา
การมาของลู่เซิ่ง เหมือนกับเทน้ำมันถังหนึ่งในกองฟืนมีสะเก็ดไฟ เปลวเพลิงพลันโชติช่วง
ลู่เซิ่งอยู่ที่ตำหนักหงส์เพลิงกว่าหนึ่งเดือน ลู่เซิ่งเริ่มคุ้นเคยกับเผ่าหงส์เพลิงทั้งหมด และเข้าใจความจนปัญญาของพวกนางไม่มากก็น้อย
แต่เขามาที่นี่ไม่ใช่เพราะมาพักผ่อนเนื่องจากไม่มีอะไรทำ หากเพราะอีกเป้าหมายหนึ่งต่างหาก
…
“เจ้าจะบอกว่า เจ้าคิดอาศัยเครือข่ายข้อมูลของตำหนักหงส์เพลิงเพื่อตามหาสิ่งนี้หรือ” นีเอ๋อร์มองภาพที่ถืออยู่ในมืออย่างฉงน ด้านบนวาดต้นไม้ยักษ์สีดำต้นหนึ่ง กับดวงตาโลหะสีเงินที่มีรูปทรงแปลกประหลาดอยู่บ้างข้างหนึ่งไว้อย่างชัดเจน
“ใช่ สายข้อมูลของเผ่าหงส์เพลิงเรานั้นค่อนข้างร้ายกาจ ของสองสิ่งนี้ ถ้าหากหาเจอ ข้าย่อมตอบแทนแน่นอน!” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มเคร่งขรึม
“ถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จะลองช่วยเจ้าดู” นีเอ๋อร์ยิ้มพลางพยักหน้า นางเป็นผู้รับผิดชอบที่ดูแลการใช้ชีวิตของเผ่าปีศาจในโลกเบื้องล่างอย่างลู่เซิ่งที่อวี่ซวนส่งมา
ปกติแล้วนีเอ๋อร์มีท่าทีหนักแน่น ไม่ใช่พูดกันไม่กี่คำก็จะแตะเหนือต้องตัวเหมือนกับสตรีหงส์เพลิงเหล่านั้น
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเอาภาพที่ตัวเองวาดมาเสนอกับนีเอ๋อร์
“แต่โลกเบื้องล่างกว้างขวางเกินไป ของสิ่งนี้ไม่น่าจะหาเจอในเวลาอันสั้น เจ้าต้องมีความอดทนที่จะรอด้วย” นีเอ๋อร์เอ่ยเสียงแผ่ว
“แน่นอน เพื่อตอบแทน ถ้ามีอะไรต้องการให้ข้าช่วย เจ้าบอกกับข้าได้เต็มที่” ลู่เซิ่งเอ่ยจริงจัง “นี่เป็นคำมั่นของข้า”
“ถ้าเรื่องช่วย ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งจริงๆ…” นีเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย มองภาพวาดด้านหน้าพลางใช้นิ้วแตะริมฝีปาก
“เทพปีศาจอวิ๋นเหมิงต้องการให้ตำหนักหงส์เพลิงของพวกเราส่งจิตรกรและนักดนตรีไปอย่างละคน ถ้าทำได้ ข้าอยากให้เจ้าช่วยปกป้องนักดนตรีเหล่านั้น อวิ๋นเหมิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในอุทยานปีศาจที่ไม่กลัวความเจ็บปวดจากอัคคีเทพหงส์เพลิง ดังนั้นเขาจึงมีเจตนาร้ายต่อเผ่าเรามาโดยตลอด แต่ด้วยกฎของอุทยานสวรรค์ เขาที่เป็นแม่ทัพเทพปีศาจ ก็มีสิทธิ์เรียกนักดนตรีของตำหนักหงส์เพลิงไปบรรเลง ก่อนหน้านี้พวกเราส่งบุรุษเพศหนึ่งในสามที่มีอยู่ไป แต่เพราะแบบนี้ บุรุษเพศผู้นั้นถูกกระทำย่ำยีจนสติแตก หลังกลับมาต้องรักษาอยู่นานถึงจะฟื้นตัวกลับมาได้”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเอง” ลู่เซิ่งอยู่ตำหนักหงส์เพลิงมานาน เบื่อหน่ายแต่แรกแล้ว ภารกิจเล็กๆ ในครั้งนี้ทำให้มีโอกาสยืดเส้นยืดสายพอดี ถ้าสำเร็จ อาจจะตั้งหลักปักฐานในอุทยานปีศาจได้ด้วย
“เช่นนั้นขอขอบคุณท่าน” นีเอ๋อร์เองก็จนปัญญาเช่นกัน พวกนางถ่วงเวลาทางอวิ๋นเหมิงมานานแล้ว เดิมทีเพราะจักรพรรดินีซีเหอช่วยพูดให้ ทำให้ถ่วงเวลาไปได้เรื่อยๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้น จักรพรรดินีซีเหอก็ไม่อาจช่วยพูดในเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ได้อีก
ครั้งนี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อก
ดีที่การปรากฏตัวของลู่เซิ่งได้มีหนทางให้นางพอดี คนที่ไม่ใช่บุรุษงามงดภายในเผ่าหงส์เพลิง มีเพยงลู่เซิ่งคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นให้เขาออกหน้ายามนี้นั้นจึงเหมาะสมที่สุด
หลังจากลู่เซิ่งกลับคฤหาสน์ไปได้ไม่นานเท่าไร ก็มีหญิงรับใช้มาแจ้งให้เขาไปยังประตูประจิมของตำหนักหงส์เพลิง เพื่อรวมตัวกับนักดนตรี
เขาเก็บข้าวของ นำกระดาษและพู่กัน เดินมาถึงประตูประจิม
“พ่อหนุ่มเซิ่ง ครั้งนี้ขอฝากเจ้าด้วย” นักดนตรีคือคนคุ้นเคยของลู่เซิ่ง นางคือเซียวหนิงที่มานำทางเขาในวันแรกนั่นเอง
เสี่ยวหนิงจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาจิ้งจอกแวววาว นางสวมกระโปรงประณีตยาวสีขาวบริสุทธิ์ เผยบ่าระหง ประดับด้วยเส้นขนสีแดงหลากหลายเส้น
“ไม่ต้องห่วง ท่านนำทางเถิด ข้าไม่เคยออกจากตำหนักหงส์เพลิงมาก่อน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
งานหลักสำคัญกว่า เสี่ยวหนิงไม่ออกอาการบ้าบุรุษอีก หันไปเดินนำทางด้านหน้า
ด้านนอกตำหนักหงส์เพลิงคือระเบียงหยกขาวพาดขวางสลับกัน ระเบียงเหมือนกับสะพาน ยื่นเหยียดไปในหมอกเมฆสีขาวขมุกขมัว คล้ายมีคล้ายไม่มี
มีกระเรียนเซียนบินผ่านตลอดเวลา สองฟากเห็นตำหนักใหญ่เลือนรางเป็นระยะ ด้านในมีร่างเทพปีศาจขนาดมหึมาปรากฏให้เห็นเลือนราง
ทั้งสองเดินไปราวครึ่งชั่วยาม ไม่นานเยื้องไปทางขวามือก็ปรากฏตำหนักขนาดกลางสีทองอร่ามแห่งหนึ่ง
บนประตูตำหนักมีป้ายสัญลักษณ์ลูกกบสีเงินติดอยู่
คนเฝ้าประตูคือปีศาจน้อยหน้าเขียวเขี้ยวงอสองตน พลังปีศาจไม่อ่อนแอ อย่างน้อยอยู่ในระดับแก่นทองคำ
เสี่ยวหนิงเข้าไปคุยกับปีศาจน้อยสองตนสักพัก ไม่นานในตำหนักก็มียักษ์ผิวสีเทาร่างสูงใหญ่สองตนเดินออกมา นำทางปีศาจน้อยกับลู่เซิ่งเข้าไปพร้อมกัน
“องค์ราชารอแม่นางหนิงเอ๋อร์มานานแล้ว” ยักษ์นำทางเอ่ยเสียงขรึม
“ขอบคุณเทพปีศาจที่เอ็นดู หนิงเอ๋อร์จะทำการแสดงอย่างเต็มที่” เสี่ยวหนิงมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ก็ยังคงตอบอย่างระมัดระวัง
“เช่นนั้นก็ดี” ยักษ์พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
ลู่เซิ่งติดตามอยู่ด้านหลังสุด ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่เดียว
โครม!
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงปิดประตูหนักอึ้งดังขึ้น คลื่นมิติขยายออกมาอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าตำหนักแห่งนี้กลายเป็นมิติตัดขาดโดยสมบูรณ์
เสี่ยวหนิงเคร่งเครียด นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคนในเผ่ามาก่อน หัวใจเต้นระรัวทันที
ทั้งสามมุ่งหน้าต่อไป ไม่นานก็เข้าไปในตำหนักใหญ่สีดำสนิท
ยักษ์สีดำหยุดนิ่งงัน ส่งสัญญาณให้เสี่ยวหนิงเข้าไป
เสี่ยวหนิงตัวสั่น ค่อยๆ เดินเข้าไปในตำหนัก ลู่เซิ่งคิดจะติดตามไป กลับถูกยักษ์ตนนั้นยื่นมือมาขวางไว้
“องค์ราชาต้องการเพียงแค่แม่นางหนิงเอ๋อร์เท่านั้น เจ้ารออยู่ด้านนอก เสร็จแล้วจะปล่อยเจ้ากลับไป”
ลู่เซิ่งยื่นมือไปแตกเบาๆ เจ้ายักษ์พลันส่งเสียงร้องโอย ข้อมือที่ถูกแตะปรากฏรอยดำเกรียม
“เจ้า!
ลู่เซิ่งเดินเอื่อยเข้าตำหนักใหญ่ไปแล้ว
ด้านในว่างเปล่า มีเพียงชายฉกรรจ์มีสองหัวที่ล้านเลี่ยนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะยาว ใช้สายตาหื่นกระหายจ้องมองเสี่ยวหนิงที่เดินเข้ามา
ลู่เซิ่งเดินรุดไปหน้าสองสามก้าว เข้าใกล้เสี่ยวหนิง
ฉัวะ!
ทันใดนั้นรอยดาบสายหนึ่งก็ผ่าพื้นด้านหน้าเขา เหมือนกับมีคมดาบยักษ์ไร้รูปร่างฟันออกมาดาบหนึ่ง
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า มองไปยังบุรุษสองหัว
“เจ้าไสหัวออกไปเสีย ข้าเห็นแก่หน้าหนิงเอ๋อร์ จะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง” บุรุษฉีกยิ้ม เผยเขี้ยวแหลมเต็มปาก
“นี่คือเทพปีศาจหรือ” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก ช่วงนี้เขาทำความเข้าใจในสถานการณ์เผ่าหงส์เพลิงไม่น้อย นับตั้งแต่เลื่อนระดับ เขาสงบเสงี่ยมมานานเกินไปแล้ว ครั้งนี้ได้ลองพอดีว่าเทพปีศาจที่ว่าเป็นยอดฝีมือระดับไหน
เผ่าหงส์เพลิงมีซีเหอคอยดูแล ความจริงถ้าไม่ใช่พวกนางมีความสามารถด้านการต่อสู้อ่อนแอเกินไป คงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้
หลายวันมานี้ ลู่เซิ่งได้คำนวณสถานการณ์นี้ไว้แล้ว
เขาเพ่งสายตามองอวิ๋นเหมิง พลันดีดนิ้วทีหนึ่ง
ฟ้าว!
แสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งใส่ท้ายทอยหนิงเอ๋อร์อย่างแม่นยำ นัยน์ตางามของหนิงเอ๋อร์ผุดความงุนง จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น สลบไสลไป
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่หนิงเอ๋อรที่ตอบสนองไม่ทันเท่านั้น แม้แต่เทพปีศาจอวิ๋นเหมิงก็ยังสับสนอยู่บ้างเช่นกัน
“เจ้า…!” เขาผุดลุกขึ้น
“ไม่ต้องห่วงน่า มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่อยากให้นางรู้ก็เท่านั้น” ลู่เซิ่งยิ้ม
อวิ๋นเหมิงหรี่ตาจ้องมองลู่เซิ่ง บรรยากาศผ่อนคลายก่อนหน้าอันตรธานไป ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่าคนตรงหน้านี้มีปัญหาอยู่ไม่น้อย…
“เจ้าไม่ใช่คีตะกรของเผ่าหงส์เพลิงหรือ!
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าคือกายอริยะหงส์เพลิง สายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงนะ” เขายื่นแขนขวาออกมา แขนที่ อำพรางมาโดยตลอดค่อยๆ ปรากฏลักษณะเดิม
ลวดลายลึกลับเล็กละเอียดกระจายบนแขนขาวผ่องอย่างแน่นขนัด เปลวเพลิงสีขาวซีดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ กลิ่นอายอันน่าแข็งแกร่งหวาดหวั่นแผ่กระเพื่อมในตำหนัก
“อัคคีเทพหงส์เพลิง!” ลู่เซิ่งตะโกน
อวิ๋นเหมิงสะดุ้งโหยง รีบสร้างก้อนวารีลี้ลับมากมาย ยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นหนวดสีดำอมม่วงนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากตา หู จมูก ปาก ของลู่เซิ่งก่อนจะระเบิดกลางอากาศ
ฟ้าว!
ลวดลายที่จับต้องได้จากร่างของลู่เซิ่งกระจายออกไปพริบตาเดียวก็ปกคลุมตำหนักเทพปีศาจทั้งตำหนักเอาไว้ และเพิ่มข่ายอาคมชั้นหนึ่งไปบนมิติตัดขาดในตอนแรกเพื่อดูว่าจะพลิกสถานการณ์อย่างไรได้บ้าง
……………………………………….