ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 917 จุด (1)
“เอ่อ…หรือว่าอุทยานสวรรค์จะใช้กฏนี้กันหมด” ลู่เซิ่งถามอย่างระมัดระวัง
อย่างไรเขาก็มาจากสังคมที่มีอารย พอจะรู้สึกทะแม่งๆ กับคำพูดของเสี่ยวหนิงอยู่บ้าง
“ถูกต้อง ขอกล่าวแบบไม่เคารพสักหน่อย ท่านดูองค์ตี้ซวินกับนายหญิงซีเหอสิ อีกาทองสามขามีความสามารถให้กำเนิดต่ำมาก แต่พวกเขาก็ยังให้กำเนิดสิบโอรสออกมามิใช่หรือ ถ้าไม่ขยันทุกวัน อย่าว่าแต่สิบเลย แค่หนึ่งคนก็เหนื่อยแย่แล้ว”
เสี่ยวหนิงป้องปากหัวเราะคิกๆ
“งั้นหรือ…ยังมีเบื้องหลังแบบนี้ด้วย” ลู่เซิ่งหมดคำพูด
แต่เขาไม่ได้มาอุทยานปีศาจเพื่อทำเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เขาปู้โจวซานถล่ม สงครามระหว่างเผ่าเวทกับปีศาจกำลังจะอุบัติ การจับปลาในน้ำขุ่นจึงเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด
มิหนำซ้ำสงครามกำลังจะมาถึง เขาต้องรีบหาที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทรามกับต้นไม้ยักษ์สีดำต้นนั้นให้เจอโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหากจอมอิทธิฤทธิ์เหล่านี้เอาจริง ไม่แน่ว่าเบาะแสอาจถูกทำลายไปด้วย
“ดีหรือไม่ ท่านแตะตัวข้าได้นะ ข้าชอบให้คนจับข้าที่สุดเลย” เสี่ยวหนิงยืดอกขึ้นกล่าวอย่างเย้ายวน
นางสวมเกาะอกสีขาวบริสุทธิ์คลุมภูเขาสองลูกตั้งตระหง่าน อยู่ในระยะที่ลู่เซิ่งเอื้อมถึง
ลู่เซิ่งหมดคำพูด ขณะกำลังจะเอ่ยปาก
“เสี่ยวหนิง เจ้ากำลังทำอะไร!?” หญิงสาวงดงามหลายคนสวมกระโปรงยาวเนื้อบางสีขาว ผลุนผลันเดินเข้ามาในตำหนักข้าง เมื่อเห็นเสี่ยวหนิงกำลังแอบอิงกับลู่เซิ่ง ก็พลันตะโกน
“พี่ฝูฝู พี่เสี่ยวเซียว พวกท่านได้รับคำเชิญไปแสดงการร่ายรำไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาเร็วขนาดนี้” เสี่ยวหนิงหันไปมองทางประตูอย่างจนใจ
“หึ! เจ้าชู้จริงๆ ถ้าไม่ใช่หัวหน้าเผ่าบอกพวกเราไว้ก่อน เจ้าคงทำลายร่างกายของหนุ่มน้อยนี่แล้ว!”
“ใช่แล้วๆ! ดีที่พวกเรากลับมาทันเวลา! ขอเตือนเจ้าเลยนะเสี่ยวหนิง! หยางบริสุทธิ์ของหนุ่มน้อยเป็นของทุกคน! พี่น้องทุกคนต้องได้ส่วนแบ่ง! เจ้าคิดจะฮุบไว้คนเดียว ถือว่าใช้ไม่ได้!” หญิงสาวผมยาวสีดำ ห้อยเครื่องประดับผลึกแดงก่ำกลางหน้าผากกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“หา? ทุกคนต้องได้หรือ” ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินอะไรสักอย่างที่ดูร้ายแรงเข้าแล้ว
“พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามีเวลาว่างพอดี ก็เลยมารับแขกเท่านั้น…”
“ใครจะเชื่อเจ้ากัน”
“เจ้าไม่ได้ใส่ชุดชั้นในด้วยซ้ำ ยังบอกว่าไม่ได้จงใจอีก”
“ขออภัยด้วยท่านพี่ลู่เซิ่ง หัวหน้าเผ่าเรียนเชิญท่านแล้ว โปรดตามข้ามาเถิด” อาศัยจังหวะที่ทั้งสามคนทะเลาะกัน หญิงสาวร่างเล็กน่ารักอีกคนก็แอบฉุดดึงลู่เซิ่งให้ลุกขึ้น เร่งฝีเท้าหนีออกมาจากตำหนักข้าง
ลู่เซิ่งไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกดึงมาจากประตูตำหนักแล้ว
“บ่าวชื่อนีเอ๋อร์ พี่เซิ่งจะเรียกว่าเสี่ยวนีหรือนีเอ๋อร์ก็ได้” หญิงสาวยิ้มๆ แก้มทั้งสองเผยลักยิ้มน้อยๆ มองดูน่ารักเป็นพิเศษ
“ท่านอย่าไปโทษพวกนางเลย บนอุทยานสวรรค์มีเผ่าหงส์เพลิงอยู่น้อยมาก และแทบเป็นสตรีทั้งหมด พวกบุรุษที่มีไม่กี่คนไม่เพียงงามกว่าพวกเราเท่านั้น ยังมีนิสัยอ่อนโยน ไม่มีความกร้าวแกร่งแม้แต่น้อย ทำให้พวกเราไม่ค่อยชอบ ผ่านไปนานวันเข้า…พวกนางก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“เข้าใจได้…เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าอุทยานปีศาจจะมีลักษณะแบบนี้…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“เป็นเช่นนี้ เทพปีศาจมากมายของอุทยานปีศาจสะกดใต้หล้า หยุดต่อสู้กับเผ่าเวทมานานเหลือเกิน จึงไม่เหลือการคุกคามใดๆ อีก ดังนั้นทุกๆ วันนอกจากหาความสุขสำราญ ก็ไม่มีสิ่งใดอีก เผ่าหงส์เพลิงของพวกเรายังพอว่า เป็นเพราะมีคุณสมบัติพิเศษ ต่อให้ยินยอม เวลาร่วมรักกับเผ่าปีศาจเผ่าอื่นๆ ก็มักจะเผาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ต่อให้เป็นเทพปีศาจ ก็ถูกอัคคีเทพหงส์เพลิงเผาผลาญจนเจ็บปวดอยู่ดี จึงนับว่ารักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้อยู่”
“เทพปีศาจก็โดนเหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ
“แน่นอน อย่างไรแม้พวกเราจะต่อสู้ไม่เก่ง แต่พลังนั้นก็ยังคงเป็นสัตว์เทพโบราณ มีไฟเก่าแก่ตั้งแต่ยุคหงส์มังกร แม้เทพปีศาจจะไม่ถูกเผาบาดเจ็บ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงอยู่ มีแต่เทพปีศาจน้อยนิดเท่านั้นที่มองข้ามความเจ็บปวดได้ แต่เทพปีศาจเหล่านั้นขี้ริ้วเกินไป…พอมีจักรพรรดินีซีเหอคอยดูแล พวกเราก็ยังมีสิทธิ์เลือกเองอยู่” นีเอ๋อร์อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดจักรพรรดินีซีเหอจึงดูแลเผ่าเราเล่า” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“เป็นเพราะเสียงดนตรี หัวหน้าเผ่าอวี่ซวนของพวกเราคือขุนนางคีตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอุทยานสวรรค์ มีแต่เสียงดนตรีของนางเท่านั้นถึงจะทำให้จักรพรรดินีผ่อนคลายได้” นีเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองพูดคุยพลางเดินไปตามทางที่ปูด้วยหยกขาว ไม่นานก็ไปถึงศาลาแดงมีเมฆลอยล้อมรอบแห่งหนึ่ง
ด้านในศาลา อวี่ซวนกับเงาร่างเล็กๆ นั่งคุยกันคล้ายกำลังกำชับอะไรกันอยู่
เมื่อเห็นลู่เซิ่งมาถึงแล้ว อวี่ซวนก็พูดสองสามประโยคเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะให้อีกฝ่ายลุกขึ้นจากไป
เพียงแต่ตอนที่เงาร่างเล็กนั้นจะจากไป สวนทางกับลู่เซิ่งพอดี
ลู่เซิ่งพิจารณาอีกฝ่ายในชั่วขณะหนึ่งที่สวนกัน
โครงหน้างดงามไร้ที่ติเรียบนิ่งเย็นชา ร่างเล็กคอดกิ่ว สวมกระโปรงชั้นระบายสีดำ ขับเน้นเอวเล็กคอดที่ลำแขนโอบกอดพอดิบพอดี ช่วงคอระหง แขนและต้นขาเรียบเนียนดุจเครื่องกระเบื้องไร้ซึ่งตำหนิใดๆ
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งหมดคำพูดที่สุดคือ คนผู้นี้ยามก้าวเดินเยื้องย่างทิ้งสะโพก กระโปรงสั้นเขินไม่อาจอำพรางส่วนสะโพก เผยให้เห็นสีม่วงใต้กระโปรงจนหมดสิ้น
“หึ!” อีกฝ่ายแค่นเสียงเย็นชา จงใจชนลู่เซิ่ง แต่เพราะตัวเองอ่อนแอเกินไป ผลสุดท้ายจึงถูกดีดกลับจนซวนเซ
“อย่าคิดว่าเจ้าชนะแล้วเล่า!แม่น้ำหนันฉือลั่วของเราไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ หรอก! ”
นางหน้าแดงก่ำ อับอายจนกลายเป็นโทสะ แค่นเสียงอีกคำก่อนจะเดินเบี่ยงออกไป
ลู่เซิ่งเอือมระอา ไม่รู้ว่าเขาไปมีเรื่องกับอีกฝ่ายได้อย่างไร เงยหน้ามองหัวหน้าเผ่าอวี่ซวนที่กำลังลุกขึ้น
“อย่าโทษเขาเลย ในฐานะหนึ่งในสามบุรุษเพศที่เหลืออยู่ของเผ่าหงส์เพลิง เขาก็มีความทระนงตนของตัวเองเช่นกัน อย่างไรหงส์เพลิงเพศผู้ที่มีกายอริยะเลือดบริสุทธิ์ก็มีน้อยเหลือเกิน พอเห็นเจ้าดึงดูดความสนใจของคนในเผ่าไปหมด จะขุ่นข้องหมองใจก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว” อวี่ซวนเอ่ยอย่างจนปัญญา
“บุรุษเพศหรือ?!” ลู่เซิ่งพลันงงงัน
“ถูกต้อง เจ้าเห็นเขาใส่กระโปรง ก็เลยนึกว่าเป็นสตรีเพศกระมัง” อวี่ซวนป้องปากหัวเราะ “ไม่ใช่หรอก ในเผ่าหงส์เพลิงของพวกเรา ขอแค่แสดงความงามของตนออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไร ต่างก็ได้รับการอนุญาตทั้งสิ้น อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกล่อลวง กระโปรงก็ดี เครื่องนุ่มห่มอย่างอื่นก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้แสดงความงามเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือ…” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนได้รับการกระทบกระเทือนแล้ว
“แน่นอน ถ้าหากเจ้าชอบ จะใส่แบบนี้ก็ได้ ไม่มีใครบังคับเจ้า ในอุทยานสวรรค์ สิ่งนี้ถือว่าอิสระอย่างที่สุด” อวี่ซวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว มาเข้าเรื่องหลักกันเถอะ ท่านหัวหน้าเผ่า เรื่องที่เขาปู้โจวซานถล่มเป็นเรื่องจริงหรือขอรับ” ลู่เซิ่งเปลี่ยนเรื่อง สีหน้าคร่ำเคร่งขึ้น
“เจ้าตามข้ามา” อวี่ซวนพยักหน้า เอื้อมมือกดไหล่ลู่เซิ่ง ทัศนียภาพรอบข้างของทั้งสองพลันเปลี่ยนแปลง ภาพนับไม่ถ้วนเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กะพริบตาครั้งเดียว ลู่เซิ่งก็พบว่าตนมาอยู่บนที่ราบเหมือนกับหยกเขียวอันกว้างใหญ่ เทือกเขามหึมาสีขาวเชื่อมต่อระหว่างฟ้ากับดินไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ยามนี้สันเขาค่อยๆ ถล่มลงมา
ถล่มลงมาไม่เร็วมากนัก แต่ก็เร็วขึ้นทุกวินาที
“นั่นคือเขาปู้โจวซาน” อวี่ซวนเอ่ยอย่างราบเรียบ “บรรพชนเวทเทพธารากับจู้หรงต่อสู้กันที่นี่ จู้หลงเอาชนะได้ เทพธาราจึงอับอายบันดาลโทสะ เอาหัวโหม่งเขาปู้โจวซาน สุดท้ายก็มีสภาพอย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้ เวลาพวกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้คลั่ง ย่อมสร้างภัยพิบัติให้แก่ใต้หล้าจริงๆ”
ลมเย็นพัดโชยพร้อมกับหิมะ ความเย็นเยียบเสียดกระดูกทำให้ลู่เซิ่งอดตัวสั่นไม่ได้
“นี่คือไอเย็นหยินสุดขั้ว ต่อให้เป็นหงส์เพลิงเช่นพวกเราก็อยู่ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น สงครามใหญ่ของสองบรรพชนเวทได้ทำลายแถวนี้จนราพณาสูร ร่องแยกของมิติส่วนใหญ่เชื่อมไปยังเขตหยินสุดขั้ว” อวี่ซวนอธิบาย
นางโบกมืออีกครั้ง ฉับพลันนั้นด้านหน้าทั้งสองก็พร่ามัว กลับมายังศาลาเดิม
“สิ่งที่ข้าพาเจ้าไปดูเมื่อครู่ คือทัศนีภาพในความทรงจำที่ข้าได้เห็นด้วยตาตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ สิ่งที่เจ้าสัมผัสได้คือสถานการณ์ที่ข้าสัมผัสในตอนนั้น” อวี่ซวนเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เกรงว่าตอนนี้สถานการณ์จะย่ำแย่กว่าเดิม ทายาทระดับกายอริยะของเผ่าหงส์เพลิงเหลืออยู่ไม่มาก บวกเจ้าเข้ามาอีกคน ทายาทที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินใหญ่มีทั้งหมดแค่ห้าคนเท่านั้น การที่พาเจ้าขึ้นมาถือว่าเตรียมตัวไว้ก่อน”
“ขอบคุณหัวหน้าเผ่าที่ดูแลอย่างดีขอรับ” ลู่เซิ่งประสานมือกล่าว
“อย่าขอบคุณข้าเลย ความจริงครั้งนี้ที่จู้หรงกับเทพธาราเสียชีวิตไปพร้อมกัน เกิดขึ้นจากแผนการของสิบโอรสอีกาทองคำ ตอนนี้เผ่าเวทรู้ความจริงแล้ว เตรียมเปิดศึกกับอุทยานสวรรค์ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดี” อวี่ซวนกำชับ
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่านางยังมีแผนการอะไรอีก อาจขออะไรบางอย่างเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่ดูเหมือนว่านางจะเลือกทำแบบนี้เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ต่อไปจริงๆ
“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“เอาล่ะ ข้ายังมีแขกต้องพบ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ” อวี่ซวนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งออกจากศาลา เดินไปได้ครึ่งทาง พลันมีเสียงสัญญาณดังมาจากนอกกลุ่มตำหนักที่อยู่ไกลออกไป เสียงสัญญาณอันอ้างว้างตามมาด้วยเสียงรัวกลองศึกขนาดยักษ์ ทั้งยังมีเสียงคำรามของสัตว์ยักษ์ดังมาเลือนรางอีกด้วย
เขาไม่ชะงักฝีเท้า พอจะเดาได้ว่าอุทยานปีศาจน่าจะระดมแม่ทัพอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดศึกกับเผ่าเวทได้ตลอดเวลา
“ข้ามานำท่านไปที่พัก ความจริงตำหนักหงส์เพลิงใหญ่มาก มีพื้นที่มากพอให้พวกท่านอยู่อาศัย เพียงแต่ขอให้จำไว้ว่า อย่าออกจากตำหนักหงส์เพลิงเด็ดขาด เทพปีศาจกับบริวารจำนวนมากด้านนอกไม่ใช่พวกที่จะคบหาได้ หากไปยั่วโมโหเข้าสักตน ต่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าก็ปกป้องท่านไม่ได้”
นีเอ๋อร์กำชับอย่างจริงจัง
“ทราบแล้ว”
ทั้งสองคนเดินนำหนึ่งหลังหนึ่ง นีเอ๋อร์พาเขาเดินทะลุผ่านตำหนักขนาดใหญ่ สุดท้ายก็หยุดลงหน้าคฤหาสน์งดงามหรูหราแห่งหนึ่ง
“นี่คือที่ที่ท่านจะอยู่ชั่วคราว ไปเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน” นางผลักประตูคฤหาสน์สีหยกขาวนำเข้าไปก่อน
ด้านในมีหญิงงามสวมกระโปรงยาวสีเหลืองสองคน สีหน้าเปล่งปลั่งถือตะเกียงตำหนักเดินนวยนาดออกมา
เมื่อเห็นนีเอ๋อร์กับลู่เซิ่งเข้ามา หญิงสาวสองคนก็ก้มหน้าป้องปากอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าจากไป
นีเอ๋อร์เดินพลางอธิบาย
“ที่นี่ยังมีทายาทระดับกายอริยะหงส์เพลิงที่มาจากโลกเบื้องล่างอีกสองคน พวกเจ้าอยู่ร่วมกันได้ นอกจากนี้ ในลานด้านนอกคือบึงน้ำที่บุรุษสตรีใช้ร่วมกัน ถ้าอยู่ว่างๆ ท่านจะเข้าไปแช่ตัวก็ได้ มีผลดีต่อพลังฝึกปรือ ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ขอให้ลงกลอนตอนกลางคืนเอาไว้ด้วย” นางหันหน้ามาพลางเอ่ยจริงจังอย่างยิ่ง
“ทำไมหรือ” ลู่เซิ่งงุนงงเพราะสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นอย่างกะทันหันของนาง ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญตรงไหน
“ถ้าไม่ลงกลอน ข้าเกรงว่าท่านจะลุกจากเตียงในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เสี่ยวหนิงคงจะเล่าเรื่องท่านให้เด็กน้อยกลุ่มนั้นฟังแล้ว อุทยานสวรรค์แห่งนี้จืดชืดน่าเบื่อหน่าย วิธีหาความบันเทิงทั้งหมดก็มีดื่มสุรา ทำกัน ทำกัน แล้วก็ดื่มสุรา หยางบริสุทธิ์บนตัวท่านไม่ได้รั่วไหลออกมา ถ้าหากเก็บไว้ได้จะดีที่สุด มีส่วนช่วยต่อการฝึกฝนภายหลังไม่น้อย ดังนั้น…”
……………………………………….