ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 911 หงส์เพลิง (1)
ฟู่!
ผืนดินสั่นไหว เปลวเพลิงสีแดงฉานจากลู่เซิ่งแผ่ออกไปในรัศมีมากกว่าพันหมี่
สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ที่มีหัวเป็นนกตัวเป็นคน สวมชุดปีกสีแดง ยกร่างของจอมเวทเจิงมู่ลอยอยู่กลางกองเพลิง
มือเขาเป็นกรงเล็บสีทองเหมือนกับนก ยามนี้เล็บหนามแหลมเจาะปักเข้าไปในร่างจอมเวทเจิงมู่
อัคคีเทพทักษิณนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากปากแผลเจิงมู่ เปลวเพลิงความร้อนสูงหลอมละลายร่างจอมเวทอย่างช้าๆ
จอมเวทที่อยู่รอบๆ กลายเป็นเถ้าธุลีเพราะการโจมตีเมื่อครู่ ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้ทั้งสิ้น
“ในที่สุดก็จัดการได้แล้ว…” ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ “เป็นอย่างที่คิดไว้ “ระดับแก่นทองคำเพียงพอแค่ต่อสู้ได้เท่านั้น แต่ก็จนปัญญา การยกระดับร่างกายต้องการเวลาในการปรับตัว แต่เรารอไม่ไหวแล้ว”
เขายืนอยู่กลางทะเลเพลิงกวาดสายตามองรอบข้าง ก่อนจะพบอะไรบางอย่างดำๆ บนซากเจิงมู่
ของสีดำนั้นลอยขึ้น เขายื่นมือออกไปรับ ก่อนที่มันจะตกลงในมือเขาเบาๆ
เพิ่งจะแตะกับฝ่ามือเขา ลู่เซิ่งพลันรู้สึกพลังอาวรณ์หนาแน่นสายหนึ่งพรั่งพรูเข้าสู่ตัวเขา
พลังอาวรณ์หรือ!? ในใจเขาพลันยินดี
ถึงตอนนี้เขาจะครอบครองพลังอาวรณ์ถึงพันห้าร้อยล้านหน่วย แต่ไอ้ของอย่างนี้ใครๆ ก็ต้องการทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดคือ เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า พลังอาวรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ตั้งแต่อนธการถึงขั้นต่อไป คงเป็นจำนวนมหาศาลน่าหวาดสะพรึงสุดขีด
จำนวนพันห้าร้อยล้านหน่วยไม่แน่ว่าจะพอ
ต้องเตรียมพลังอาวรณ์เพิ่มสักหน่อย จะได้เผื่อเหลือเผื่อขาดเมื่อถึงเวลาใน ดินแดนแห่งยุคบรรพกาล มีของวิเศษมากมาย ซึ่งของวิเศษก็คือการตกผลึกที่เหมาะสมกับพลังอาวรณ์อย่างสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ
ลู่เซิ่งพิจารณาของดำๆ ในมือ ของสิ่งนี้ดูเหมือนกับโหลกระเบื้อง ผิวเต็มไปด้วยรอยแตกและอักขระเวทประหลาด
“เหมือนจะเป็นของขลังอย่างหนึ่ง คงจะได้รับการบูชาทั้งวันทั้งคืนจากเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างเผ่าเวท มิน่าถึงได้มีพลังอาวรณ์มากมายขนาดนี้ ไม่เลวเลยๆ!” ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอาวรณ์ที่พรั่งพรูเข้าร่างอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่กี่นาที พลังอาวรณ์ในของขลังก็หมดลง มีพลังอาวรณ์จำนวนมากถึงสามล้านกว่าหน่วย
เขาปลดปล่อยพลังจิตระดับแก่นทองคำออกมาพิเคราะห์รอบๆ เมื่อไม่พบผู้รอดชีวิต ก็เร่งรีบเร่งฝีเท้าจากไป
แกร๊ก
เสียงแตกดังขึ้น โหลกระเบื้องแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายเต็มพื้น
รอบข้างไม่เหลือผู้รอดชีวิต ถึงขั้นไม่มีนกหรือแมลงด้วยซ้ำ เหลือเพียงซากปรักหักพังของเผ่าเจิงมู่เท่านั้น
หลายชั่วโมงต่อมา
ควันกลุ่มหนึ่งลอยมาจากที่ไกล เมื่อทิ้งตัวถึงพื้นก็กลายเป็นบุรุษสตรีร่างสูงใหญ่ผิวดำหลายคน
บุรุษสตรีกลุ่มนี้ถือไม้เท้า สีหน้าอึมครึม สวมเสื้อคลุมสีดำอย่างเรียบง่าย
“เกิดอะไรขึ้นกัน เมื่อครู่สัมผัสได้ว่าของขลังเทพพฤกษาแตกเป็นเสี่ยงๆ ตรงนี้ ที่นี่คือเผ่าเจิงมู่ไม่ใช่หรือ” จอมเวทหญิงคนหนึ่งกวาดตามองรอบๆ อย่างคร่ำเคร่ง
“เหอะ ดูเหมือนเพราะเคลื่อนไหวมานาน ในที่สุดก็มีคนท้าทายความน่าเกรงขามของเผ่าเวทอย่างพวกเรา…” ชายชราผอมซูบอีกคนแค่นหัวเราะอย่างลึกลับ
ชายชราเดินไปถึงดินไหม้เกรียมที่ยังมีควันลอยอยู่ ก้มลงไปหยิบดินดำมาเล็กน้อย ก่อนจะบี้และชิม
“นี่คือธุลีเผาไหม้ของไฟระดับสูง อือ…กลิ่นไหม้เกรียมของขนนก...ไม่ใช่ไฟหงส์อมตะ เป็นไฟหงส์เพลิง หรือว่าจะเป็นกระเรียนเพลิงนะ…”
“ที่นี่มีสัตว์อื่นๆ ถูกเผาตาย น่าประหลาด ทั้งที่โดนเผาไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณหลงเหลืออยู่” พ่อมดอีกคนขมวดคิ้ว
“นั่นคือไฟหงส์เพลิง…ในไฟระดับสูงมีแต่ไฟหงส์เพลิงเท่านั้นถึงจะมีผลในการนำวิญญาณขึ้นสวรรค์” ชายชราร่างผอมเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เหตุใดจึงไม่ใช่ไฟอื่น ไฟกระเรียนเพลิงก็มีผลหลอมละลายวิญญาณเหมือนกันกระมัง” จอมเวทคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
“การหลอมละลายจะทำให้เหลือชิ้นส่วนกับกลิ่นกาย…แต่การนำทางจากไป จึงเป็นการทำความสะอาดอย่างหมดจด…” จอมเวทชราผุดสีหน้าเย็นชา “ไปเถอะ ไฟเทพหงส์เพลิงที่บริสุทธิ์ระดับนี้จะต้องเป็นฝีมือของเผ่าหงส์เพลิง หรือไม่ก็สายเลือดของมันแน่นอน พวกเรากลับไปรายงาน ดูซิว่าคราวนี้เจ้าพันธุ์ทางในอุทยานปีศาจจะรับมืออย่างไร! สังหารเผ่าเวทของเราอย่างไร้เหตุผล! นี่เป็นการจงใจก่อสงคราม!”
“รับทราบ!”
จอมเวททั้งกลุ่มกลายเป็นควันดำสลายหายไป
…
ณ อุทยานปีศาจ
อารามสีเงินขนาดยักษ์ลอยวนเวียนอยู่เหนือท้องฟ้า เหมือนกับเทือกเขาสูงต่ำเป็นคลื่น อารามซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ สูงต่ำสลับกัน ราวกับของวิเศษระดับสุดยอด มีบรรยากาศหยาบกระด้างของเผ่าปีศาจในความวิจิตรงดงาม
ณ อาณาเขตใจกลางสุดของกลุ่มอาราม ด้านบนลานกว้างของเสาหยกสีขาวกว้างขวาง
จักรพรรดิสวรรค์แห่งอุทยานปีศาจ มหาเทพตงหวง กับพี่น้องของเขา ตี้ซวิน ซีเหอ นั่งอยู่บนจุดสูงสุด
ทั้งสามต่างมีแสงสีทองหลายสายและเปลวเพลิงอำพรางรูปลักษณ์ คนอื่นเห็นเพียงร่างเงาพร่ามัวบนบัลลังก์สามจุดเท่านั้น
สองฟากข้างของลานกว้างคือขุนนางสำคัญของเผ่าปีศาจ เทพปีศาจแต่ละตนสวมอาภรณ์เมฆาและเกราะเซียน ลักษณะแตกต่างกัน กำลังรับชมการร้องรำทำเพลง และดื่มสุราเลิศรส
หลังจากก่อตั้งสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจขึ้น ตอนแรกอาจมีเทพปีศาจเกิดความทะเยอทะยาน ต้องการช่วยเทพตงหวงปกครองฟ้าดิน กลายเป็นสวรรค์เพียงแห่งเดียว
แต่ต่อมาก็ไม่อาจจัดการเผ่าเวทได้ เทพปีศาจหลายตนจึงเริ่มหาความสุข ชมชอบรสชาติอันเย้ายวนของอำนาจในตำแหน่งสูง อยากทำอะไรก็ทำเช่นนั้น
พวกเขาอาศัยอยู่ในอุทยานปีศาจ ต่อให้เจอผู้บำเพ็ญหรือจอมปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าตน มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจกว่าตน ก็สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวกบุกตะลุยได้ ต่อให้เป็นจอมปีศาจที่แข็งแกร่งอย่างไรก็โดนบดขยี้อยู่ดี
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา อุทยานปีศาจไม่คิดขยับขยายอำนาจอีกต่อไป เริ่มเป็นเฉกเช่นอย่างในปัจจุบัน
แม้แต่จอมเทพตงหวงกับตี้ซวินก็จนปัญญา ไม่อาจบังคับแข็งขืน มีแต่ซีเหอภรรยาของตี้ซวินเท่านั้นที่เป็นกังวลกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
งานร้องรำทำเพลงบนลานกว้างดำเนินอย่างสงบ สุราเลิศรสและผลไม้ประหลาดวางทั่วบริเวณ เทพปีศาจทุกตนต่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ ล้อมรอบไปด้วยหญิงงามสลับกันเต้นสลับกันร้อง บ้างก็รินสุรา บ้างก็ถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ แอบร่วมรักกับเทพปีศาจ
เผ่าปีศาจไม่สนใจพิธีรีตองอะไรอยู่แล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ คิดทำอะไรก็ทำ ธรรมเนียมนี้แผ่ขยายมายังอุทยานสวรรค์สำเร็จ ต่อให้เป็นจอมเทพตงหวงกับตี้ซวินก็เห็นว่าเรื่องพวกนี้สมเหตุสมผลเช่นกัน
หลังจากงานร่ายรำร้องเพลงผ่านไป เสียงดนตรีก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง
ด้านข้างมีขุนนางรายงานคนหนึ่งเดินเข้ามา องครักษ์อารามพูดกระซิบกระซาบกับอีกฝ่ายสองสามคำ ทางฝ่ายองครักษ์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินไปถึงข้างคุรุปีศาจคุนเผิง เอ่ยรายงานเบาๆ
ร่างมนุษย์ที่คุนเผิงจำแลงเป็นชายชราร่างสูงใหญ่หนวดผมขึ้นหงอกขาว สีหน้าทะนงตน เสื้อคลุมสีดำของเขาปักรูปสัตว์ประหลาดคล้ายปลาไม่ใช่ปลา คล้ายนกไม่ใช่นก นั่นเป็นร่างจริงของเขา
“พวกเผ่าเวทมันเป็นบ้าอีกแล้วหรือ สงบเสงี่ยมกันมากว่าพันปี อยู่ๆ ก็โผล่มาหาเรื่องอีกแล้ว!” คุนเผิงกล่าวอย่างไม่พอใจ หันไปทางจอมเทพ ส่งข้อมูลก่อนหน้าให้แก่จอมเทพโดยตรง
“หยุดก่อน” ทันใดนั้นมหาเทพที่อยู่หลังม่าน ก็เอ่ยเสียงบุรุษทรงเสน่ห์มากพลังทุ้มต่ำดังมา
เสียงเพลงหยุดลง
“ประกาศให้ขุนนางหงส์เพลิงอวี่ซวนขึ้นอาราม” เสียงมหาเทพดังขึ้นอีกครั้ง
สติพวกเทพปีศาจแจ่มใสดียิ่ง พลันผุดสีหน้าสงสัยใคร่รู้ มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสนใจ
โถงสวรรค์อายุยาวนาน อาบพลังดาราภายใต้ค่ายกลนภาดาว ต่อให้ไม่ฝึกฝน พลังฝึกปรือของพวกเทพปีศาจก็จะเพิ่มขึ้นช้าๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป
ผ่านไปนานวันเข้า ทุกคนเริ่มหย่อนยาน
ปกติทุกตนไม่มีเรื่องใดน่าสนุก นอกจากหาความสุขกับการนอน หรือออกไปท่องเที่ยวด้านนอก ตอนนี้อุตส่าห์มีเรื่องน่าสนใจ ย่อมสนอกสนใจ
เผ่าหงส์เพลิง ทุกคนย่อมทราบว่าเป็นขุนนางด้านคีตะแห่งโถงสวรรค์ที่ได้รับบรรดาศักดิ์มานานมากแล้ว
กล่าวออกไปในฐานะเทพอัคคีแห่งแดนทักษิณ หงส์เพลิงควรเป็นเผ่าที่เก่าแก่ยิ่งกว่าหงส์อมตะเสียอีก
แต่เพราะพลังของพวกเขาไม่ได้เด่นที่พลังทำลาย แต่อยู่ที่เสียงดนตรีเป็นหลัก จึงแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสัตว์ประหลาดเหี้ยมหาญที่เผาไหม้ไปทั่วอย่างหงส์อมตะ
ครั้งกระโน้นสมัยสงครามมังกรหงส์ พวกเขายังมีตำแหน่งพอใช้ได้เนื่องจากอาศัยบารมีหงส์อมตะ แต่ตอนนี้มังกรหงส์ร่วงโรย เหลือเพียงสายเลือดชายขอบ เผ่าหงส์เพลิงมีกำลังรบไม่พอ จึงได้แต่สวามิภักดิ์กับอุทยานสวรรค์ รับหน้าที่ขุนนางคีตะ คอยดูแลเครื่องดนตรีในอุทยานสวรรค์
หลังจากประกาศเรียกตัวขุนนาง ไม่นานนักสตรีคิ้วงามสวมเสื้อคลุมสีแดง สวมกวนลายเส้นขนสีรุ้ง เดินนวยนาดขึ้นลานมาพลางขมวดคิ้วมุ่น
“กระหม่อมอวี่ซวนหัวหน้าเผ่าหงส์เพลิง เข้าเฝ้าองค์ตงหวง ตี้ซวิน และซีเหอ”
แม้จักรพรรดิสวรรค์จะมีคนเดียว นั่นคือมหาเทพ แต่มหาเทพบอกอย่างชัดเจนว่า ตี้ซวินผู้เป็นพี่ชายกับซีเหอผู้เป็นพี่สะใภ้ อยู่ในระดับเดียวกับเขา ดังนั้นตี้ซวินจึงถูกยกให้เป็นซีหวง ซีเหอเป็นซีโหว
ทั้งสามเป็นอีกาทองสามขาที่ผานกู่ให้กำเนิดจากดวงอาทิตย์ สายเลือดเชื่อมโยงกัน มีความสัมพันธ์ล้ำลึก แบบนี้จึงไม่มีใครว่าอะไรได้
อย่างไรมหาเทพก็ถือโองการผู้วิเศษหงจวิน ใช้ระหัสสากลในของวิเศษก่อนกำเนิดเป็นรากฐานในการก่อตั้งอุทยานสวรรค์ เขาจึงทำอะไรตามใจไม่ได้
“อวี่ซวน คนในเผ่าเจ้าไปยังเผ่าเวท และแอบทำลายเผ่าจอมเวทเผ่าหนึ่ง หมายจะจุดความขัดแย้งระหว่างอุทยานสวรรค์และบรรพชนเวท เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่” เสียงของมหาเทพดังมาจากหลังม่าน ไม่อาจแยกแยะอารมณ์ได้ เพียงให้ความรู้สึกกดดันล้ำลึกราบเรียบเท่านั้น
เดิมทีอวี่ซวนเป็นเพียงขุนนางคีตะ ไม่มีสถานะใดๆ ในกลุ่มเทพปีศาจ เมื่อได้ยินว่ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสองผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ รู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าร้องระเบิดในหัวของนาง ร่างสั่นเทาเล็กน้อย
“กระหม่อม…กระหม่อม…ไม่รู้เรื่องนี้เลย!” เสียงนางแหลมขึ้นเล็กน้อย “คนของเผ่าหงส์เพลิงอาศัยอยู่ที่เทือกเขาธารทักษิณ ไม่เคยออกจากที่นั่น บรรพชนในเผ่าล้วนรับตำแหน่งในอุทยานสวรรค์! ระมัดระวังตัวมาโดยตลอด ไม่เคยคิดเป็นอื่น ยิ่งไม่กล้ามีความคิดท้าทายปีศาจเวท! ขอพระองค์ทรงพิจารณาด้วย!”
นางคุกเข่ากับพื้น ตกใจจนหน้าถอดสี เหงื่อกาฬไหลออกมาเล็กน้อย
“เผ่าเวทส่งเถ้าธุลีมาแล้ว พวกเราเองก็ตรวจสอบแล้วเช่นกัน ย่อมต้องเป็นไฟหงส์เพลิงความบริสุทธิ์สูง ไฟหงส์เพลิงที่บริสุทธิ์แบบนั้น ทั่วฟ้าดินมีแต่เผ่าหงส์เพลิงของเจ้าเท่านั้นถึงจะร่ายออกมาได้ ส่วนเผ่าปีศาจอื่น ไม่มีทางทำได้เด็ดขาด!” เทพปีศาจตนหนึ่งหัวเราะ เทพปีศาจตนนี้มีสองหัว หัวหนึ่งดื่มสุรา หัวหนึ่งจ้องมองหงส์เพลิงอวี่ซวนอย่างเย็นชา ในดวงตาฉายแววละโมบอย่างเลือนราง
“ขุนนางไต่สวนดวงดาวก็ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วเช่นกันว่าเป็นไฟหงส์เพลิงจริงๆ มิหนำซ้ำยังมีแต่เผ่าหงส์เพลิงที่มีความเข้มข้นสูงถึงระดับร่างอริยะหงส์เพลิงเท่านั้น ถึงจะสามารถปล่อยไฟระดับนี้ออกมาได้” เทพปีศาจอีกตนเอ่ยเสียงทุ้ม
“อย่างนั้น…เผ่าหงส์เพลิงของเจ้า ตอนนี้จะแก้ตัวอย่างไร” ตี้ซวินเอ่ยอย่างช้าๆ
ความจริงแล้วปกติมหาเทพตงหวงย่อมไม่ยุ่งเรื่องเหล่านี้ เขาต่างหากที่เป็นคนดูแลเรื่องน้อยใหญ่ของอุทยานสวรรค์และเรื่องตระกูลขุนนาง เพียงแต่เมื่อครู่มหาเทพกล่าววาจา เขาจึงสอดปากไม่ได้
เขามีความชมชอบเผ่าหงส์เพลิงในระดับหนึ่ง อย่างไรเสีย เสียงเพลิงของอุทยานสวรรค์ที่ไพเราะเพราะพริ้งเท่าของพวกนาง ก็มีอยู่ไม่มาก
ซีเหอผู้เป็นภรรยาก็ค่อนข้างให้การดูแลเผ่าหงส์เพลิงมาโดยตลอดเช่นกัน ดังนั้นการเอ่ยวาจาของเขาในตอนนี้ จึงเป็นการดูว่าจะพลิกสถานการณ์อย่างไรได้บ้าง
……………………………………….