ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 910 เจิงมู่ (2)
“ปีศาจร้ายจากที่ใด! บังอาจมาบุกเผ่าเวทเจิงมู่ของพวกเรา!”
ร่างเงาสีเขียวหลายสายพุ่งเข้ามา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแรง ร่างเงาถือไม้เท้าหงิกงอหยาบใหญ่ไว้ในมือ ร่างกายหนักอึ้ง ตอนร่อนลงบนพื้นไม่ได้ใช้อาคมอิทธิฤทธิ์ใดๆ แต่กลับกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังหนักทึบ
“จอมเวทหรือ” ลู่เซิ่งพลิกดาบ
ฟ้าว!
หงส์เพลิงอีกตัวบินออกมาจากคมดาบ ร่วมกันสาดแสงกับหงส์เพลิงตัวก่อนหน้า หงส์เพลิงสองตัวพุ่งใส่จอมเวทกลุ่มนี้ทั้งซ้ายและขวา
“นี่เป็นไฟอัคคีเทพทักษิณ! ขวางมันไว้!”
นักเวทคนหนึ่งที่มีความรู้กว้างขวาง จดจำไฟแข็งแกร่งชนิดนี้ได้ทันที
“อัคคีเทพทักษิณ! ไฟแห่งการคืนชีพที่แข็งแกร่งที่สุด! มีแต่หงส์เพลิงเท่านั้นที่จะใช้ได้ไม่ใช่หรือ…”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ กำจัดมันก่อน!”
จอมเวทหลายคนสืบเท้าขึ้นหน้า ปลายไม้เท้าปรากฏหมอกสีเขียวครึ้มเรืองแสงแวววาว
“ไป!”
หมอกแสงสีเขียวหลายกลุ่มปะทะกับหงส์เพลิงสองตัวอย่างจัง สีเขียวแดงต่างสูสี หักล้างซึ่งกันและกัน
“พลังจากเทพพฤกษา พลังฟื้นฟูสรรพสิ่ง จงเปลี่ยนเปลวเพลิงให้เป็นชีวิตใหม่เถิด!”
จอมเวทที่แก่ที่สุดร่ายบทสวดด้วยเสียงอันดัง
ฉับพลันนั้นมีคลื่นไร้รูปร่างสายหนึ่งมายังหมอกแสงสีเขียวกลางอากาศ สีเขียวเริ่มเดือดพล่านและขยายใหญ่ ครองความได้เปรียบ ค่อยๆ สะกดอัคคีเทพทักษิณ
“ดูท่าแล้งคงไม่ไหว…นี่เป็นพลังทั้งหมดของเราแล้ว” ลู่เซิ่งกำดาบยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่พอใจ
เขาปลดปล่อยอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิทธิฤทธิ์ออกมาแล้ว แต่กลับถูกตัวละครเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแค่ไม่กี่คนต้านทานไว้ได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนขีดจำกัดของอิทธิฤทธิ์ที่รับสืบทอดทางสายเลือดน่าจะมีเพียงแค่เท่านี้แล้ว ทำได้เพียงฝืนรับมือการผนึกกำลังของจอมเวทที่อยู่ใต้บรรพชนเวทเท่านั้น สิ่งที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ตัวเขาแล้ว
เขาสืบเท้าขึ้นหน้า พุ่งใส่จอมเวทดุจสายฟ้าฟาด
“ฆ่ามันซะ!”
หมอกแสงสีเขียวหลายกลุ่มพุ่งเข้าใส่เขา ทว่าลู่เซิ่งหลบได้อย่างง่ายดาย
“ไม้เขียวร่วงหล่น!”
จอมเวทชราที่นำกลุ่มชูไม้เท้าขึ้น แสงสีเขียวเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งระเบิดเหนือไม้เท้าทันที ต้นไม้ยักษ์สีเขียวต้นหนึ่งพุ่งออกมาจากแสงสีเขียวและเข้าหาลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
“นี่คือรากแห่งไม้วสันต์อันมีพลังที่ยิ่งใหญ่! ทุกรากหนักเป็นหลายสิบเท่าของต้นไม้ขนาดเดียวกัน! ขอดูหน่อยเถิดว่าเจ้าจะต้านทานอย่างไร!” จอมเวทชราต้องใช้น้ำพักน้ำแรงอย่างมาก ถึงจะร่ายอาคมนี้ออกมาได้
ต้นไม้ยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสิบหมี่พุ่งปะทะลู่เซิ่งอย่างรุนแรง แต่เพียงพริบตาที่เกือบจะถึงตัว ดาบเพลิงในมือลู่เซิ่งพลันระเบิดออก ด้วยแรงระเบิดได้ผลักเขาไปทางขวามือ หลบพ้นไม้เขียวร่วงหล่นได้อย่างง่ายดาย
“ต่อไป”
ฉัวะ
เสียงดังขึ้นแผ่วเบา ดาบเพลิงปรากฏในมือลู่เซิ่ง ก่อนจะตวัดเฉือนคอจอมเวทชรา
อัคคีเทพทักษิณลุกไหม้โหมกระหน่ำปกคลุมจอมเวทชราไว้ แค่สองวินาทีก็กลายเป็นเศษผงธุลี
เมื่อจอมเวทชราที่แข็งแกร่งที่สุดตายไปแล้ว เผ่าเวทที่เหลือต่างตกใจตื่นตระหนกจนมือไม้พัลวัน วิ่งเตลิดหนี ก่อนจะถูกลู่เซิ่งเสกไฟออกมาไล่เผาทีละคนอย่างง่ายดาย
“ดูเหมือนระดับแก่นทองคำจะไม่ได้เพิ่มพลังให้เราเท่าไร เทียบกับการเพิ่มพลังทำลายไว้บนคมดาบแล้ว พลังปีศาจมหาศาลก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างมากสุดก็แสดงอานุภาพระดับหงส์ไฟแบบเมื่อกี้เท่านั้น และอานุภาพแค่นั้นยังสู้จอมเวทพวกนั้นเลยไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ตอนนี้ลู่เซิ่งรู้แล้วว่าใช้ประโยชน์จากพลังปีศาจไม่ได้มากนัก จึงถือโอกาสถือดาบเพลิงมุ่งหน้าต่อไป
คนของเผ่าเจิงมู่พุ่งออกมาเป็นกลุ่มๆ บ้างก็โถมตัวเข้าหาเขา บ้างก็หนีกระเจิดกระเจิง
แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกที่หลบหนีหรือพุ่งเข้ามา ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตาชีวิตแสนรันทดถูกเพลิงเผาเป็นจุณไปได้
อานุภาพอันแข็งแกร่งของอัคคีเทพทักษิณเผยออกมาอย่างหมดจด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งใด ก็ไม่อาจทนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงได้นาน ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว
ในฐานะหนึ่งในสิบมหาเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าดินนี้ มันยังเป็นเปลวไฟคู่ชีวิตของเผ่าหงส์เพลิงอีกด้วย อานุภาพของอัคคีชนิดนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความบริสุทธิ์ เพียงแต่ตอนนี้ลู่เซิ่งมีพลังปีศาจไม่มากพอ ทำให้เปลวเพลิงอัคคีจึงมีอิทธิฤทธิ์ได้แค่นี้
ส่วนการร่ายเปลวเพลิงนั้นเปลืองพลังมากมายมหาศาลการผลาญพลังของยังน่ากลัวสุดขีด ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่งแตกต่างจากคนทั่วไป ด้วยคุณสมบัติร่างกายกับการหล่อเลี้ยงอันพิเศษของเขา แก่นทองคำที่รวมตัวจึงมีปราณปีศาจมหาศาล เกรงว่าแค่จะร่ายอัคคีเทพทักษิณเพียงเล็กน้อย ก็คงถูกรีดพลังจนตัวแห้งอย่างง่ายดาย
จึงไม่อาจกำจัดจอมเวทชราระดับแก่นทองคำมากมายขนาดนี้ได้
เพลิงสีแดงเจือทองลามไปทั่วป่าอย่างต่อเนื่อง ไม่นานต้นไม้ยักษ์โดยรอบก็ลุกไหม้ หักโค่นถล่มลง
ลู่เซิ่งถือดาบเพลิง ร่างวูบไหวเข้าไปในดินแดนของเผ่าเจิงมู่
กระท่อมมากมายสร้างขึ้นจากต้นไม้และเถาวัลย์จัดเรียงเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เป็นค่ายใหญ่ของเผ่าเจิงมู่
จอมเวทเจิงมู่ขี่หมอกแสงสีเขียวกลุ่มใหญ่ลงมาจากฟ้า ส่งเสียงตะโกนกึกก้อง
เขาเพิ่งไปเยี่ยมเยือนสหาย พอกลับมาก็เห็นสภาพน่าอนาถเช่นนี้ เพลิงโทสะพลันลุกโชน
“ผู้ใด! เจ้าเป็นใครกันแน่! บังอาจบุกเผ่าในสังกัดเทพพฤกษาของข้า!”
ลู่เซิ่งเห็นหมอกสีเขียวกลุ่มใหญ่มาแต่ไกล ก็รู้ว่าผู้มีอำนาจของที่นี่มาถึงแล้ว
“ได้ยินมาว่าพวกเจ้าต้องการน้ำยาคืนความรุ่งโรจน์ของลัทธิแสงสว่างหรือ” เขาเอ่ยเสียงไม่ดังไม่เบา ด้านในเผ่าเวทที่ถูกเปลวเพลิงโอบล้อมล้วนได้ยิน
คนในเผ่าเวทที่เหลือรอดต่างก็ได้ยินประโยคนี้
“น้ำยาคืนความรุ่งโรจน์หรือ เป็นพวกเจ้านี่เอง! ลัทธิแสงสว่าง” จอมเวทเจิงมู่พลันโกรธเกลี้ยว ยกมือเสกหมอกเขียวขรึมผืนหนึ่ง แมลงสีขาวเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนอยู่เต็มหมอกเขียว กดทับใส่ลู่เซิ่งอย่างหนักหน่วงดุจกำแพงเขียวขจี
กำแพงเขียวเพิ่งลอยไปจากมือ ก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นเป็นหลายสิบหมี่
“มาก็ดี!” ลู่เซิ่งมองออกทันทีว่ากำแพงนี้ไม่ใช่สิ่งที่อิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้จะต้านทานได้
แต่ไม่เป็นไร เขาลู่เซิ่งไม่เคยพึ่งพาอิทธิฤทธิ์อยู่แล้ว
ขอบเขตระดับปรมาจารย์ มาพร้อมกับสายตาแสนแม่นยำ พลังสู้รบประมืออันแข็งแกร่ง รวมถึงพลังทำลายล้างที่เด็ดขาดสามารถเจาะช่องโหว่ได้โดยตรง
ขอบเขตแบบนี้สามารถแสดงพลังหนึ่งส่วนได้เป็นสิบส่วน อาจถึงขั้นหลายสิบส่วน ขอแค่อีกฝ่ายมีช่องโหว่มากพอ ขอบเขตนี้ก็จะมีผลมากตามไปด้วย
กำแพงเขียวมหึมาดูเหมือนเหี้ยมหาญร้ายกาจ แต่ในสายตาลู่เซิ่ง มันเป็นเพียงตาข่ายเขียวที่มีช่องใหญ่จนน่าแปลกใจเท่านั้น
“มรรคายุทธ์ทำลายล้างในพริบตา เผชิญนภา!” ลู่เซิ่งย่อตัวพุ่งไปด้านหน้า ดาบเพลิงในมือแทงใส่กำแพงเขียวเบาๆ กำแพงเขียวขนาดใหญ่พลันถล่มลงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
เขาพุ่งผ่านหมอกเขียวหลายกลุ่มที่กำลังถล่มลงมา พริบตาเดียวก็เข้าถึงตัวจอมเวทเจิงมู่ ก่อนจะฟันดาบเข้าใส่
“รนหาที่ตาย!” จอมเวทเจิงมู่หัวเราะลั่น ยกมือป้องกันไว้
เคร้ง!
ดาบเพลิงที่ฟันโดนแขนเจิงมู่ กลับส่งเสียงทึบหนักเหมือนโลหะกับไม้ปะทะกัน บนแขนเจิงมู่มีรอยขาวเพิ่มมาสายหนึ่ง ควันขาวผุดขึ้นมา ก่อนจะกลับมาเป็นปกติโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งถูกพลังมหาศาลสะท้อนจนร่างปลิวออกไป
“กายเนื้อแข็งดีจริงๆ!” แทนที่จะตกใจเขากลับยินดี ทิ้งตัวลงบนลำต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปอย่างแผ่วพลิ้ว ก่อนจะยืนนิ่งไม่ไหวติง
อย่างไรคัมภีร์จิตงามเลิศที่เขาฝึกฝน ก็เป็นเพียงคัมภีร์ฝึกฝนทั่วไป ต่อให้ผ่านการเรียนรู้และเสริมความแข็งแกร่งโดยเขาอย่างต่อเนื่อง มันก็แค่ยกระดับจากทั่วไปเป็นโดดเด่นเท่านั้น
วิชาที่โดดเด่นย่อมสู้จอมเวทเจิงมู่ไม่ได้ กอปรกับตัวจอมเวทมีขอบเขตสูงกว่าลู่เซิ่งไม่น้อย
เมื่อสู้กัน เจิงมู่ย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่งมีขอบเขตปรมาจารย์ ก็อาจถึงขั้นไม่มีสิทธิ์เข้าไปสู้ระยะประชิดด้วยซ้ำ แค่อยู่ห่างๆ ก็ถูกวิชาเวทจัดการได้แล้ว
“เจ้าไปฝึกกายเนื้อให้แข็งแกร่งแบบนี้ได้อย่างไร บอกข้าได้หรือไม่” ลู่เซิ่งมองเจิงมู่อย่างสนอกสนใจพลางถาม
“ฝึกหรือ ย่อมไม่ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ได้มาตั้งแต่กำเนิด เป็นพรอันประเสริบของเทพพฤกษา! เป็นการสะท้อนจากสายเลือด สายเลือดเทพปีศาจอย่างเจ้า ไม่มีทางเข้าใจความยิ่งใหญ่ของเผ่าเวทหรอก!” เจิงมู่หัวเราะลั่น
“พรสวรรค์หรือ” ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการฝึกฝน
“เจ้าเป็นจอมเวทก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว บรรพชนเวทไม่สูงสุดเลยหรืออย่างไร” เขาเปลี่ยนคำถาม
“ความสามารถของบรรพชนเวทเหนือกว่าข้าเป็นหมื่นพันเท่า! ปีศาจอย่างเจ้ากล้าวิจารณ์บรรพชนเวทหรือ รนหาที่ตายจริงๆ!” เจิงมู่บันดาลโทสะ พร้อมกับพุ่งเข้ามาหาลู่เซิ่ง เขามีกายเนื้อแข็งแกร่งสุดอย่างหาที่ใดเปรียบ! เร็วดุจสายฟ้าฟาด
เมื่อรู้ว่าอาคมไม่ได้ผล เขาก็ได้แต่สู้ด้วยกายเนื้อแล้ว!
ด้วยกายเนื้อของเขา อย่าว่าแต่ปีศาจน้อยระดับแก่นทองคำ ต่อให้เป็นระดับทารกกำเนิด ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้
เมื่อมีสายเลือดของบรรพชนเวทโกวหมางผู้เป็นเทพวสันต์และเทพพฤกษา เขายังมีพลังคืนชีพที่แข็งแกร่งอีก หากได้รับบาดเจ็บขึ้น แค่หายใจไม่กี่เฮือกก็กลับเป็นปกติแล้ว
ลู่เซิ่งย่อมไม่หลบ ทั้งยังพุ่งเข้าไปหาระยะประชิดอีกด้วย
ดาบเพลิงตามไล่ฟันจอมเวทเจิงมู่อย่างต่อเนื่องจนเกิดรอยขาวมากมาย ทว่าแม้แต่รอยขาวก็สมานตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ลู่เซิ่งยังคงฟาดฟันติดต่อกันแต่ก็ไร้ผล ทั้งยังต้องหลบการโจมตีของอีกฝ่ายอีก จอมเวทมีพละกำลังน่าสะพรึงแกร่งกว่าตัวเขาในตอนนี้อย่างน้อยสามเท่า
ฝ่ามือตวัดตบลงมา หากเขาไม่เบี่ยงหลบก็ต้องใช้ดาบเพลิงปัดเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
เขาตามความเร็วอีกฝ่ายไม่ทัน แต่ด้วยเพราะขอบเขตที่ยังสูง เลยสามารถเบี่ยงหลบและออกกระบวนท่าได้ก่อน
ทั้งสองต่อสู้ระยะประชิด อัคคีเทพทักษิณกระจัดกระจายออกไปหักล้างกับหมอกเขียวที่จอมเวทคนอื่นร่ายออกมาตลอดเวลา
“ยอมแพ้เสียเถอะ เป็นเพียงนกพันธุ์ที่ดีแต่หลบ ถึงกับกล้าบุกเผ่าเจิงมู่ของข้า ดูเหมือนเทพปีศาจของอารามอาทิตย์จันทราจะไม่ได้สั่งสอนเจ้าว่าทำอะไรให้ควรประมาณตน!” จอมเวทเจิงมู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ร่างเริ่มขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ใหญ่ขึ้นเป็นห้าเท่าจากร่างเดิม
ฝ่ามือเหมือนยักษ์ขนาดย่อมฟาดลงใส่ลู่เซิ่งอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ความเร็วและพลังเหนือกว่าเมื่อครู่มากโข
ลู่เซิ่งปรับตัวไม่ทันกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันจึงหลบไม่พ้น พลันถูกกระบวนท่าโดนฝ่ามือฟาดใส่ทรวงอกอย่างจัง
ตูม!
ร่างเขาฝังลงไปกับพื้น กลายเป็นหลุมดินลึกกว่าสิบหมี่
“ตายแล้วหรือ” จอมเวทเจิงมู่เดินกวาดตามองลงไป
ในหลุมควันตลบ เพลิงเผาไหม้ดินก้อนหิน ฝุ่นผงมากมายกระจัดกระจาย บดบังสายตาของเขาจนมองอะไรไม่เห็น
ลู่เซิ่งนอนนิ่งอยู่ที่ก้นหลุม เหม่อมองท้องฟ้าอย่างซึมเซา
“ข้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย”
“ทดลองใช้ร่างกายที่เสียเปรียบไปเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ได้เปรียบหรือ”
เขาพลันหวนนึกถึงตอนที่ยังอ่อนแอ ตนในตอนนี้มีพลังต้อยต่ำ ตัวเลือกที่ถูกต้องคือกลับไปฝึกฝน หลังจากยกระดับพลังจนบดขยี้อีกฝ่ายได้ ค่อยจัดการทุกอย่างอีกครั้ง
“ถึงแม้ตอนแรกจะนึกไม่ถึงว่าร่างกายของจอมเวทจะแข็งแกร่งขนาดนี้ก็เถอะ แต่สภาพในตอนนี้…มันช่าง…น่าสมเพชจริงๆ…” ลู่เซิ่งเอื้อมมือไว้ตรงหน้า
“ช่างเถอะ…ในเมื่อคัมภีร์จิตงามเลิศยังจัดการอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างนั้นก็ใช้สายเลือดหงส์เพลิงก็แล้วกัน”
ตูม!
ทันใดนั้นจอมเวทเจิงมู่ก็ฟาดฝ่ามือใหญ่ลงมา
มือมืดดำคลุมฟ้าพรางดินนั้น ราวกับปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้
“ตายเสีย”
“หงส์เพลิง!”
ลู่เซิ่งลืมตา ร่างกายลุกไหม้กลายเป็นหงส์เพลิงเจิดจรัสบินขึ้นท้องฟ้า
ในเมื่อร่างมนุษย์จัดการไม่ได้ เช่นนั้นก็คืนร่างจริง พลังร่างจริงของเผ่าปีศาจเป็นสิบกว่าเท่าของร่างจำแลง
หงส์เพลิงขนาดยักษ์พุ่งกระแทกฝ่ามือยักษ์จนกระเด็น สยายปีกกลางอากาศ ก่อนจะก้มมองจอมเวทเจิงมู่
“เจ้า…!” เจิงมู่เบิกตาโต ถอยหลังไปหลายก้าวถลึงตาจ้องมองลู่เซิ่ง สายเลือดหงส์เพลิงบริสุทธิ์ระดับนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ! เหมือนกับหงส์เพลิงตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น!
“ขอโทษที ข้าเบื่อแล้ว” ดวงตาของลู่เซิ่งฉายแววเฉยชา
และความทรงจำสุดท้ายของเจิงมู่ก็คือ กรงเล็บแหลมสีทองน่ากลัวตะปบลงมาจากฟากฟ้า
……………………………………….