ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 909 เจิงมู่ (1)
โลกมารสวรรค์
เขตดาวสัตว์โบราณ
ตูม!
ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น แสงสว่างนับไม่ถ้วนเจิดจ้ากระจายออกไป สาดส่องอุกกาบาตและดาวเคราะห์โดยรอบ
แสงระเบิดเจิดจ้าแยงตาคงอยู่สองสามวินาทีก่อนจะค่อยๆ มืดสลัวลง ณ ขอบใจกลางการระเบิด สัตว์ประหลาดตัวใหญ่มหึมาน่ากลัวตัวหนึ่ง กระพือปีก ส่ายหัวที่คล้ายกับเหยี่ยวทั้งแปด
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีหัวเหยี่ยวแปดหัว ร่างกายกำยำดุจราชสีห์ เปลวเพลิงสีทองดุจดวงอาทิตย์ลุกไหม้ทั่วทั้งตัว
แม้ร่างกายของมันจะไม่ใหญ่โตเท่าดาวฤกษ์ แต่ก็เทียบได้กับดาวเคราะห์ทั่วไป
“วิญญาณดาวบัดซบเอ๊ย สู้ไม่ได้ก็ระเบิดตัวตายหรือ น่าสมเพช!?” อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรโปมี่ลาคำรามสบถอย่างรังเกียจ
ความจริงในเผ่าสัตว์โบราณ อายุของมันถือว่ายังอ่อนเยาว์ยิ่ง ตอนนี้อายุแค่สามแสนปี นับเป็นเศษเสี้ยวของพวกแก่ๆ มากกว่าร้อยล้านปีเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่เพราะอ่อนวัย โปมี่ลาจึงชื่นชอบเดินทางไปทั่ว หาว่ามีเรื่องสนุกๆ อะไรหรือไม่
ความเคยชินที่ไม่ดีนี้ ทำให้เงาฉายของมันถูกมนุษย์ทำลายไป มันที่บ้าคลั่งในตอนนั้นได้ใช้ร่างจริงไปทำลายดาวเคราะห์ของสำนักมนุษย์ดวงหนึ่ง แต่ก็ถูกผู้เข้มแข็งอนธการของสำนักนั้นทำร้ายบาดเจ็บเช่นกัน
เดิมทีเป็นเพราะเรื่องนั้น เขาจึงถูกเหล่าผู้อาวุโสในเผ่ากักบริเวณ เพียงแต่ตอนนี้เผ่าสัตว์โบราณเปิดศึกกับพันธมิตรวิญญาณดวงดาวเต็มอัตรา เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในเผ่าต่อสู้กับวิญญาณดวงดาวอย่างดุเดือด จึงไม่มีเวลามาสนใจมัน
ดังนั้นโปมี่ลาเลยหนีออกมา
หลังขากกำจัดวิญญาณดาวที่ขวางทางเสร็จ โปมี่ลาก็ตัดสินใจหาสถานที่พักผ่อน สั่งสมกำลัง แล้วค่อยออกเดินทางต่อไป
ที่มันแอบออกมาในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ แต่แอบได้ข่าวมาว่า ไอ้คนที่ด่ามันเมื่อก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ไม่ตาย ทั้งยังใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข ถึงขั้นได้สัญลักษณ์แห่งราชันแล้ว!
ถ้าไม่ใช่ในเผ่ามีนิสัยรวบรวมจับตากลิ่นอายเฉพาะตัวของสัญลักษณ์แห่งราชันมาโดยตลอด มันก็คงไม่รู้ว่า ไอ้มนุษย์โง่เง่าตอนนั้นที่บอกให้มันเรียกว่าบิดา ถึงกับยังมีชีวิตอย่างสุขี
นี่ทำให้เพลิงโทสะที่เคยดับไปแล้วของโปมี่ลา ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
และหลังจากตรวจสอบ มันก็ค้นพบอย่างงุนงงว่า มนุษย์ผู้นั้นไม่เพียงได้สัญลักษณ์แห่งราชันไป ทั้งยังเป็นผู้เข้มแข็งอนธการคนหนึ่ง
หากมันดุ่มๆ ไปแบบนี้ ไม่แน่ว่าจะจัดการได้
ดังนั้นเพื่อหาวิธีฆ่าไอ้สารเลวนั่น โปมี่ลาจึงมายังเขตดาวที่เร้นลับแห่งนี้ด้วยความจนปัญญา เพื่อตามหาซีตีแห่งเผ่าเต่ายักษ์พันขา บิดาบุญธรรมของตนเอง
โปมี่ลากระพือปีกอยู่กลางความว่างเปล่า ส่งคลื่นคลุมเครือไร้รูปร่างออกมา คลื่นนั้นกระจายออกไปนับไม่ถ้วนตามมิติเวลา
ด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าแสง เพียงพริบตาเดียวก็ครอบคลุมอาณาเขตมหึมาหลายหมื่นปีแสงแล้ว
สักพักหนึ่ง ก้อนกลมสีเทากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
ก้อนกลมยืดขยายและฉีกออกอย่างช้าๆ ไม่นานก็กลายเป็นร่องแยกสีเทาที่แปลกประหลาดพิสดารเส้นหนึ่ง ในร่องแยกคู่หนึ่ง มีดวงตายักษ์สีเงินริ้วเลือดกระจายอยู่เต็มไปหมด จ้องมองโปมี่ลาจากในความมืด
“โปมี่ลาหรือ ตามหาข้ามีธุระอะไร” เสียงชายชราราบเรียบดังมาจากในร่องแยก
“ท่านพ่อ ข้าอยากฆ่ามนุษย์ชั่วตัวหนึ่ง มันต้องการให้ข้าเรียกมันว่าบิดาเชียวนะ!?” โปมี่ลาเอ่ยอย่างปากคอเราะร้าย
“แค่มนุษย์คนเดียว มันเอาความกล้าขนาดนั้นมาจากไหน ถึงกับกล้าหยามเกียรติของเผ่าสัตว์โบราณอย่างข้า! รนหาที่ตายแท้ๆ! ข้าต้องการฆ่ามัน ไม่ใช่แค่มันเท่านั้น แม้แต่ระบบดาวฤกษ์ของมัน ข้าก็จะกินไปด้วย!”
“เจ้าจัดการเองก็ได้นี่ แค่มนุษย์ตัวเดียวเอง” ผู้ชราตอบอย่างราบเรียบ
“ไม่…มนุษย์ตัวนั้นคือผู้เข้มแข็งอนธการ อีกทั้งมันยังครอบครองสัญลักษณ์แห่งราชันด้วย” โปมี่ลารีบกล่าว
“สัญลักษณ์แห่งราชัน…ในดาราจักรหนึ่งจะมีสัญลักษณ์แห่งราชันได้แค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น…ผู้ครอบครองต่างได้รับความสนใจจากทั้งจักรวาล ตามสัญญาโบราณ พวกเราไม่อาจลงมือกับผู้ครอบครองสัญลักษณ์แห่งราชันได้ ต้องรอให้พวกเขาแสดงผลลัพธ์ออกมาก่อนจึงจะรับมือได้” ผู้ชราเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“แต่ข้าทนการเหยียดหยามเช่นนี้ไม่ได้” สายตาของโปมี่ลาบิดเบี้ยว มันไม่เคยเสียท่าขนาดนี้มาก่อน
“อย่างนั้นเจ้าก็สร้างพันธมิตรเองสิ” ผู้ชรายิ้มพลางแนะนำ “มาตรการนภาดาวไม่ได้ห้ามเจ้าสนับสนุนผู้ครอบครองสัญลักษณ์แห่งราชันคนอื่น แม้นี่จะเป็นการต่อสู้ภายในเผ่ามนุษย์ เผ่าพันธุ์อื่นห้ามเข้าร่วม แต่เจ้าสามารถเข้าร่วมในฐานะพันธมิตรได้ ไม่ขัดกับกฎ”
“นอกจากนี้ คนผู้นั้นจะต้องมีวัตถุล้ำค่ามากมายแน่ เจ้าไปทำลายพวกมัน ก็เป็นการแก้แค้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” ผู้ชราอธิบายอย่างเรียบง่าย ให้คำแนะนำสองอย่างรวบรัดและมีประสิทธิภาพกับโปมี่ลา
“ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้าไม่เพียงต้องสนับสนุนผู้ครอบครองสัญลักษณ์แห่งราชันคนอื่นๆ เท่านั้น ข้าต้องการให้ไอ้นั่นจ่ายค่าตอบแทนด้วย” โปมี่ลายังคงไม่พอใจอยู่บ้าง
ผู้ชราในร่องแยกขบคิดเล็กน้อย
“ก็ได้…ในเมื่อนี่เป็นคำขอของเจ้า ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง จัดการเรื่องนี้แทนเจ้าสักครั้ง แต่ข้าเองก็มีหน้าที่ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของระดับดาวมรณะจะทำให้พันธมิตรวิญญาณดวงดาวเปิดศึกเต็มอัตรา ดังนั้นไม่สามารถร่วมจัดการกับเจ้าได้ ทว่าขอแค่เจ้าเจอเป้าหมาย ก็ให้โยนเกล็ดที่ข้าเคยมอบให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ออกมาก็พอ”
“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรม!” โปมี่ลายินดี
นี่คือผู้เข้มแข็งดาวมรณะเชียวนะ!
มันเองก็เป็นอนธการเช่นกัน รู้ดีว่าผู้เข้มแข็งดาวมรณะแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาทุกคน ต่อให้เป็นภายในเผ่าสัตว์โบราณเอง ก็มีวีรบุรษสะท้านภพเช่นกัน
ระดับดาวมรณะอยู่ในจักรวาลตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ของขีดจำกัดระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์
มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด ขีดจำกัดทางวิญญาณของพวกเขาก็คืออนธการขั้นสูงสุด หากคิดจะขึ้นไปอีก วิธีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เปลี่ยนร่างกาย ปรับปรุงจิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง ทำให้ตนไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
ส่วนระดับดาวมรณะ นั้นหมายถึงขีดจำกัดของชีวิตที่มนุษย์ไม่มีทางก้าวข้ามได้
…
โลกบรรพกาล
ลู่เซิ่งกลายเป็นเมฆเพลิงสีแดงสายหนึ่ง บินผ่านเหนือป่าแห่งต้นไม้ยักษ์อย่างรวดเร็ว
กลิ่นอายแข็งแกร่งอ่อนแอไม่แน่นอนหลายสายพุ่งผ่านด้านล่างเป็นระยะ ทำให้เขาสะท้อนใจว่า ที่นี่สมกับเป็นสมัยบรรพกาล แค่ราชาปีศาจระดับทารกกำเนิด ระหว่างทางก็เจอไปสามตนแล้ว
ยิ่งอย่าว่าแต่ราชาปีศาจระดับแก่นทองคำที่เหลือ
พวกที่มีความสำเร็จเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนครองเขาครองถ้ำ ตั้งตัวเป็นราชา บ้างก็ยึดแม่น้ำตั้งตัวเป็นใหญ่
ปีศาจส่วนใหญ่ต้องการหาสถานที่ที่สุขสบายในการฝึกฝนและใช้ชีวิต
ดังนั้นป่าแห่งต้นไม้ยักษ์แห่งนี้จึงมีปีศาจไร้ซึ่งกิเลสตัณหา ทว่ามีพลังเหี้ยมหาญอยู่มากมาย
ลู่เซิ่งบินผ่านทะเลสาบใสแวววาว ก่อนจะทิ้งตัวลงห่างจากสัตว์ยักษ์ฝูงหนึ่งที่กินน้ำอยู่
สัตว์ยักษ์พวกนี้สลักคำว่ามู่ไว้บนตัว แสดงให้เห็นว่ามีคนมาปล่อยเลี้ยงไว้ที่นี่
ขนาดตัวของสัตว์ยักษ์เหมือนกับแรดสีเขียวขี้ม้า หางยาวหยาบใหญ่ แต่ละตัวกำยำ ก้าวเดินเชื่องช้ายิ่งนัก
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลดระดับลงไปยืนบนคาคบต้นหนึ่ง
“ใครกัน!?” บุรุษร่างบึกบึนตัวสูงใหญ่ เสียบขนนกสีดำไว้บนศีรษะ สวมเสื้อผ้าฟางและกระโปรงสีดำพุ่งออกมา
“ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเจิงมู่! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นปีศาจมาจากไหน ขอให้ออกไปทันที!” บุรุษคนหนึ่งถือหอกหินตวาดเสียงดัง
“ที่นี่คือเผ่าเจิงมู่หรือ มาถึงแล้วหรือนี่” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ สัมผัสกลิ่นอายจิตวิญญาณจากคนเผ่าเจิงมู่เหล่านี้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เหมือนกับพวกเขามีแต่กายเนื้อเท่านั้น
นอกจากนี้กลิ่นอายชีวิตของแต่ละคนยังแข็งแกร่งจนน่าตกใจ ทั้งๆ ที่มองไปเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ความหนาแน่นของกลิ่นอายชีวิตถึงขั้นเทียบได้กับปีศาจระดับสร้างรากฐาน
นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อไม่มีจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจใช้วิชาจิตวิญญาณอย่างวิชาจิตโน้มนำได้
“ในเมื่อเจอตัวการแล้ว…อย่างนั้น…ก็เริ่มกันเลย” ดวงตาลู่เซิ่งสั่นไหว สร้างดาบเพลิงยาวเล่มหนึ่งขึ้นในมือ
ดาบเพลิงสีแดงฉานส่องสว่างในพริบตา ปลดปล่อยวงแสงสีทองออกมา
เป็นอัคคีเทพทักษิณ ไฟอันแข็งแกร่งอันเป็นตัวแทนหงส์เพลิง
แสงไฟวนเวียนเริงระบำรอบตัวลู่เซิ่งเหมือนกับมีชีวิต
บุรุษในเผ่าเวทเจิงมู่หลายคนเห็นดังนั้น หน้าพลันเปลี่ยนสี รู้ดีว่าปัญหาได้มาเยือนแล้ว
“เป็นไฟพิเศษ ลุยเข้าไปกำจัดมันพร้อมกัน!”
ผู้นำกลุ่มเผ่าเวทยกมือใหญ่ขึ้น บุรุษสตรีในเผ่าเวทสิบกว่าคนพุ่งออกมาจากป่ารอบๆ
ในฐานะเผ่าเวท ไม่ว่าจะล่าสัตว์หรือจัดการคู่ต่อสู้ ที่แล้วมาพวกเขามีกำลังเท่าไร ก็ใช้กำลังเท่านั้น ลุยเข้าไปทั้งหมด
เผ่าเวททั้งหมดยกมือขึ้น ฉับพลันนั้นบนต้นไม้และพื้นดินก็มีเถาวัลย์แหลมหยาบใหญ่หลายเส้นมุดออกมา พุ่งเข้าหาหมายรัดพันลู่เซิ่ง
เถาวัลย์เหล่านี้รับมือยากถึงขีดสุด ไฟทั่วไปไม่มีผลต่อพวกมัน แต่นั่นไม่นับอัคคีเทพทักษิณ
ลู่เซิ่งสะบัดข้อมือ เปลวเพลิงบนดาบไฟปล่อยไฟจำนวนมากออกมา ต้านทานเถาวัลย์ทั้งหมด
ตูม!
เถาวัลย์ถูกเผาแห้งเหี่ยวดำเกรียม
เผ่าเวทพากันร้องคำราม เพิ่มพลังเข้าไปอีก เถาวัลย์พุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
อัคคีเทพทักษิณที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อครู่ถูกเถาวัลย์จำนวนมากกว่าเดิมครอบคลุม ไม่นานก็มอดดับลง
“อ้อ? มีความสามารถนี่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแปลกใจ นี่เป็นแค่เผ่าเวทธรรมดา แต่กลับดับไฟที่เขาปล่อยออกมาได้ ดูเหมือนเผ่าเวทนี้จะมีดีอยู่บ้างจริงๆ
“อีกทีสิ” เขาตั้งดาบไฟขึ้น แล้วสะบัดเบาๆ
ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงสีแดงฉายแสงสีทองมากมายรวมตัวกัน กลายเป็นนกพร่ามัวตัวหนึ่ง
นี่เป็นการรวมตัวด้วยตัวเอง ลู่เซิ่งไม่ได้ควบคุม เพียงแค่รวมอัคคีเทพทักษิณจำนวนมากไว้ด้วยกัน ก็กลายเป็นเช่นนี้โดยอัตโนมัติ
“ไป” ลู่เซิ่งชี้ไปด้านหน้า หงส์เพลิงโผทะยานออกไป พุ่งใส่เผ่าเวทเหล่านั้นพร้อมเสียงกู่ร้องสะท้านสะเทือน
เถาวัลย์นับไม่ถ้วนลอยขึ้นฟ้า หมายขัดขวาง แต่ถูกหงส์เพลิงทะลวงอย่างง่ายดาย ลุกไหม้เป็นตอตะโกนับไม่ถ้วน
เผ่าเวทที่เมื่อครู่ต้านทานได้อย่างฮึกเหิมก็ไม่อาจรับมือได้ทัน ถูกหงส์เพลิงโฉบกลืน
พริบตาเดียวเผ่าเวทสิบกว่าคนก็ถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ลู่เซิ่งถือดาบเดินเข้าไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาสืบเท้าออกก้าวหนึ่งก็ข้ามได้หลายสิบหมี่แล้ว
หงส์เพลิงตัวนั้นกลับมาบินวนเวียนอยู่รอบกายเขา
กรรซ์!
สัตว์ยักษ์ที่ดื่มน้ำอยู่เมื่อครู่ต่างตื่นตกใจ แตกตื่นเตลิดหนีอย่างหวาดกลัว นักรบของเผ่าเวทเจิงมู่จำนวนมากเร่งรุดเข้ามา
……………………………………….