ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 849 แกนหลัก (1)
เดินไปตามทางจนกลับถึงเขตมหาวิทยาลัย ลู่เซิ่งถูจมูก รู้สึกว่าอากาศเย็นลงเล็กน้อย
‘ถึงเวลาหาอะไรกินแล้ว’ ลู่เซิ่งคำนวณเวลา เพียงแต่ของกินอันน้อยนิดที่โรงอาหารนั้นแค่รองท้องได้เท่านั้น ต่างชั้นกับอาหารอันเลิศรสในห้องทดลองอย่างใหญ่หลวง
เขารู้สึกว่าตัวเองเรื่องมากขึ้นนิดหน่อย
‘ไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยดีกว่า’ เขาเคยเห็นสิ่งที่เหมือนกับเด็กสาวคนเมื่อกี้มามากมาย เปลือกนอกปลอมแปลงตัวเองเป็นรูปแบบลักษณะต่างๆ แต่ความจริง กลับดูดซับอะไรสักอย่างจากร่างมนุษย์เป็นเพื่อดำรงชีพ
‘ลืมถามสถานการณ์ทางเอียนไปเลยแฮะ แต่บนตัวยัยนั่นมีของดีที่พี่สาวกับครอบครัวให้อยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก’
เขาคิดเช่นนี้ขณะเดินทอดน่อง ตัดผ่านห้องสมุดและสนามกีฬาเล็กๆ ก่อนจะนั่งบนเนินหญ้าข้างทาง พร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้ามืดลงในทุกขณะ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าตนเผลอหลับไปตอนไหน
กว่าเขาจะตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
‘อืม…ช่วงนี้ง่วงตลอด เหมือนว่าพลังกับร่างกายไม่สมดุลกัน การเพิ่มพลังขึ้นเร็วเกินไปทำให้ร่างกายต้องการสมาธิจำนวนมากในการปรับตัวและปรับสมดุลวิญญาณ’
เขาลุกขึ้นยืน ปัดเส้นหญ้าด้านหลัง แล้วเหลียวมองรอบข้าง
รอบๆ ไม่มีใครเลยสักคน ถนนเส้นหลักสีเทาทอดยาวมืดมิด สะท้อนแสงสีเหลืองอ่อนจากไฟถนนสลัว
‘เมื่อครู่ยังมีลมเย็นอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลับไม่มีลมเลยล่ะ’ ลู่เซิ่งเดินลงเนิน คิดจะกลับไปพักผ่อนที่หอพัก
ทันดันนั้นเขาก็เหลือบไปทางห้องสมุด
ห้องสมุดในเวลากลางคืนสว่างโร่ สิ่งก่อสร้างฝังทองคำสีเหลืองอร่ามเอาไว้ บรรยากาศขมุกขมัวค่อยๆ แผ่พุ่งออกมา ที่ประตูมียามเฝ้าประตูรูปร่างกำยำสองคนอยู่ด้วย
ทั้งสองสวมสูทสีดำ สองมือกุมไว้ด้านหน้า
‘ที่นี่คือ…’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัยในใจ
เขาเดินไปตรงห้องสมุดที่เปลี่ยนแปลงไป
เขาไม่เคยเห็นห้องสมุดแบบนี้มาก่อน
เขาตัดผ่านเส้นทางหลักที่ทอดยาวไปถึงหน้าห้องสมุด สิ่งก่อสร้างและรูปสลักของห้องสมุดราตรีที่เดิมทีเก่าทรุดโทรมก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจอธิบายได้เช่นกัน ครานี้มีสีเงินงามวิจิตรเลิศล้ำทอทาบอยู่
ตอนลู่เซิ่งเดินผ่านก็เห็นว่าข้างใต้รูปสลักหน้าประตูมีน้ำพุขนาดใหญ่กำลังพ่นน้ำตั้งอยู่ ลูกบอลสีทองขนาดใหญ่หลายอันลอยอยู่บนผิวน้ำ
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าห้องสมุดในยามนี้ผิดปกติเล็กน้อย
พอเขาเดินถึงประตู ชายชุดสูทสีดำที่เฝ้าประตูสองคนก็ยื่นมือออกมาไขว้กันเพื่อสกัดเขาไว้
“สวัสดีครับ ขอถามหน่อย ทำไมผมเข้าไปไม่ได้ล่ะ” ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น กลับเห็นว่าชายในชุดสูทสีดำทั้งสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ไม่มีใบหน้าเลยก็ฉงนใจ
พวกเขาสวมเสื้อผ้าพอดีตัว ใบหน้ามองตรง ตำแหน่งที่เดิมทีควรเป็นใบหน้ามีเพียงผิวหยาบๆ เท่านั้น
พวกเขาทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของลู่เซิ่ง ไม่คิดจะตอบคำถาม
ลู่เซิ่งถอยหลังไปสองก้าว ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ตัวเองคงจะเจอเรื่องประหลาดที่เจอได้ทุกที่ในมหาวิทยาลัยอีกแล้ว
เขาใคร่ครวญ แล้วหยิบบัตรตำแหน่งผู้ช่วยห้องทดลองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะชูขึ้นให้คนกล้ามใหญ่ทั้งสองคนดู
พรึ่บ
แขนที่ไขว้กันเพื่อขวางทางของผู้เฝ้าประตูทั้งสองคนหดกลับไปทันที
‘เป็นอย่างที่คิด’ ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม เดินผ่านพวกเขาเข้าไป
ประตูแง้มอครึ่งหนึ่ง มีช่องประตูพอให้คนเข้าไปได้ แต่เมื่อมองจากด้านนอกก็ไม่เห็นด้านในเลย
ลู่เซิ่งเปิดเบาๆ…
แอ๊ด…
ประตูค่อยๆ เลื่อนออก ด้วยความกว้างขนาดนี้ทำให้เขาเข้าออกได้ง่ายดายกว่าเดิม
หลังจากเข้าไปในโถงใหญ่ ด้านในกลับมีคนมากมายอย่างเหนือความคาดหมาย
เหล่าคนไร้หน้าท่วงท่าสง่างามสวมกระโปรงยาวและสูท กำลังถือแก้วไวน์ ยืนเกาะกลุ่มกันอย่างเป็นการเป็นงาน เหมือนคุยอะไรกันอยู่
แม้ในโถงใหญ่จะไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงเพลงก็ตาม
บนพื้นกลางโถงใหญ่สีทองอร่าม ปูพรมหนังแกะผืนหนาสีขาวขอบทองมีลวดลายที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน บนโคมไฟติดผนังเต็มไปด้วยเทียนไขขนาดใหญ่สีขาวหลายแท่ง แสงเทียนขับให้โถงใหญ่จนสว่างไสวราวกับกลางวัน
เหล่าคนไร้หน้าแต่งกายอย่างงดงาม เต้นรำช้าๆ ตามเสียงเพลง
ลู่เซิ่งมองโต๊ะอาหารตัวยาวที่อยู่ริมห้องสองฟาก บนโต๊เต็มไปด้วยอาหารแปลกประหลาดละลานตา อาหารหน้าตาน่ากินตั้งกองอยู่รวมกันอย่างไร้ระเบียบ เหมือนกับกองภูเขาอาหาร
ไม่มีใครทักทายลู่เซิ่ง ราวกับไม่เห็นว่าเขาเข้ามา
ท่ามกลางเสียงดนตรีอันไพเราะที่เหมือนเพลงกล่อมเด็กก่อนนอน ลู่เซิ่งเดินเล่นชั้นหนึ่งแล้วก็ขึ้นบันไดไปชั้นสอง
เขาเจอเหล่าคนไร้หน้าบนบันไดได้เป็นระยะ พวกเขาจับมือกัน เหมือนสามีภรรยาจากตระกูลชั้นสูงที่กำลังเข้าร่วมงานเลี้ยง มีคนขึ้นลงตลอดเวลา
ลู่เซิ่งขึ้นไปถึงชั้นสองพร้อมกับเสียงฝีเท้าดังกังวาน สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรก คือแมงมุมยักษ์แสนอ้วนฉุตัวหนึ่งอยู่ตรงบันได
ขาแปดข้างของแมงมุมกางออกไปจนเกือบกินพื้นที่ของชั้นสองทั้งหมด ขนสีเหลืองทองทั่วตัวมันพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อนที่อบอุ่น ไม่ได้ดูดุร้ายน่ากลัวเหมือนแมงมุมทั่วไป กลับเหมือนของเล่นขนปุยไร้พิษสง
หน้าดวงตาสีทองของมันมีหนังสือที่พลิกเปิดเองวางอยู่สิบกว่าเล่ม หนังสือพวกนี้มีแมงมุมน้อยจำนวนมากช่วยพลิกเปิดหน้าตลอดเวลา
แมงมุมน้อยพวกนี้น่ารักมาก แต่ละตัวเหมือนกับก้อนขนสีทองกลมดิก วิ่งจู๊ดไปมาอยู่บนพื้น
“จีลีกูลานตูซิกา!” แมงมุมขนาดยักษ์ไม่สนใจลู่เซิ่ง พูดคำที่เหมือนผสมสระมั่วซั่วออกมาจากปาก
ฝูงแมงมุมน้อยพลันเลื่อนหนังสือด้านขวาสุดออกไป เปลี่ยนเป็นหนังสือเล่มใหม่
ลู่เซิ่งเดินอ้อมผ่านแมงมุมที่กำลังอ่านหนังสือกลุ่มนี้ไปโดยไม่เอ่ยคำใด
เขามองเข้าไปด้านในประตูห้องอ่านหนังสือแต่ละห้องบนระเบียง
ห้องอ่านหนังสือแต่ละห้องเหมือนกับหลุมลึกไม่เห็นก้นบึ้ง ผนังกำแพงโดยรอบเป็นชั้นหนังสือจำนวนมหาศาลจนนับไม่หวาดไม่ไหว
ชั้นหนังสือพวกนี้บรรจุหนังสือไว้เต็มชั้น เรียงเป็นเกลียวทอดไปด้านล่าง ยาวเหยียดไปถึงส่วนลึกมืดมิดไม่เห็นปลายทาง
‘เยอะขนาดนี้เชียว…’ ลู่เซิ่งตกตะลึง
ห้องอ่านหนังสือพวกนี้คล้ายกับหลุมลึกที่ไม่รู้ได้ว่ามีหนังสืออยู่เท่าใด แค่กวาดตาดูเพียงบริเวณที่สายตาจะมองเห็น ก็นับจำนวนหนังสือได้หลายแสนเล่มแล้ว
และนี่เป็นเพียงห้องอ่านหนังสือห้องเดียวเท่านั้น
ห้องอ่านหนังสือพวกนี้เหมือนกับมิติที่แตกต่าง เป็นมิติที่แยกตัวเป็นเอกเทศอย่างสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งเดินผ่านห้องหนังสือบนชั้นสองหมดแล้ว เห็นสัญลักษณ์แบ่งประเภทที่ไม่เหมือนกันบนประตูหลากหลายแบบ
เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะเลือกเข้าไปห้องไหนถึงจะได้ประโยชน์ที่สุด ถ้าเดาไม่ผิดห้องสมุดแห่งนี้น่าจะเป็นห้องสมุดห้วงฝัน
“เธอกำลังลังเลอยู่หรือ”
เสียงดังอย่างกะทันหันแทรกความคิดของลู่เซิ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นเห็นสตรีผมยาวสีน้ำตาล เจ้าของร่างสูงโปร่งสวมกระโปรงยาวสีแดง เดินมาจากบันได
อีกฝ่ายสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงงดงาม เดินมาหาเขาอย่างเชื่องช้า
สตรีคนนี้ไม่มีใบหน้าเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จึงแยกแยะไม่ได้ว่าเธอสวยหรือไม่
ถึงจะเคยเจอมาแค่ครั้งเดียวแต่ลู่เซิ่งก็นึกออกทันทีว่านี่ก็คืออาจารย์คนที่เขาได้เจอในห้องสมุดทิวาตอนนั้น สุภาพสตรีกระโปรงแดงที่มากับอาจารย์โทเลย์
“สวัสดีครับอาจารย์ ผมแจ๊ค ก่อนหน้านี้พวกเราน่าจะเคยเจอกันในห้องสมุดทิวาครั้งหนึ่ง” ลู่เซิ่งรีบแนะนำตัว
“ถูกต้อง ฉันจำเธอได้ ฉันจำนักศึกษาใหม่ได้ทุกคน ที่นี่ยินดีต้อนรับทุกคน ในเมื่อเธอมาที่นี่ได้ ก็หมายความว่าเธอมีสิทธิ์เข้ามาหาความรู้แล้ว” เสียงของสุภาพสตรีกระโปรงแดงแสดงความเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด
“ผมควรจะเรียกคุณว่าอะไรดีครับอาจารย์” ลู่เซิ่งถามอย่างมีมารยาท
“เรียกฉันว่าแฮปปี้ก็แล้วกัน” สุภาพสตรีตอบเบาๆ “ที่นี่คือห้องสมุดห้วงฝัน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่แท้จริงที่เก็บหนังสือไว้มากที่สุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย ส่วนห้องสมุดทิวากับห้องสมุดราตรีเป็นแค่ระดับพื้นผิว เหมือนกับจิตใจมนุษย์นั่นแหละ จิตใจยามตื่นเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น สิ่งที่ยึดครองและคอยชี้นำก็คือจิตใต้สำนึกขนาดมหึมาของมนุษย์นั่นเอง”
เธอเว้นวรรคเล็กน้อย
“ความรู้ของที่นี่จะก่อใหม่ขึ้นทุกวินาที เป็นเพราะเชื่อมต่อกับจิตของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง ความรู้ทั้งหมดที่เคยปรากฏ ถูกลืม และถูกทำให้สูญหายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะถูกจัดเรียงเป็นรูปเล่มขึ้นที่นี่ ไม่มีวันตกหล่น…บางทีอาจเป็นผลิตผลหลังจากใครบางคนเกิดแรงบันดาลใจ หรือข้อสรุปที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันสังเกต หรือไม่ก็เป็นสะเก็ดไฟแห่งแรงบันดาลใจที่ถูกลืมเลือนไปเพียงในไม่กี่วินาที เป็นต้น…”
เสียงของสุภาพสตรีกระโปรงแดงค่อยกดต่ำและสงบนิ่งลง
ลู่เซิ่งตกตะลึงเล็กน้อย
ต่อให้อยู่ในโลกมารสวรรค์ เขาก็ไม่เคยเจอความสามารถยิ่งใหญ่แบบนี้ ห้องสมุดขนาดมหึมาแห่งนี้ถึงขั้นบันทึกแรงบันดาลใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้…นี่มันคือสุดยอดความมหัศจรรย์ของแท้!
เขาพลันจินตนาการปริมาณหนังสืออันน่าขนหัวลุกออก
แค่ความรู้มากมายที่แวบขึ้นในห้วงสมองของคนคนเดียว ก็บันทึกเป็นหนังสือได้ไม่รู้ตั้งกี่เล่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจากทั้งโลก...
“ดังนั้น ที่นี่จะมีความรู้ที่เธอหาไม่เจอเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น” สุภาพสตรีแฮปปี้กล่าวเบาๆ
“สองอย่างอะไรเหรอครับ” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
“อย่างแรก เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน อย่างที่สอง เป็นสิ่งที่บันทึกไว้ไม่ได้…” สุภาพสตรีแฮปปี้เดินไปทางซ้ายแผ่วเบา จากนั้นก็หายเข้าไปในกำแพง อันตรธานไปต่อหน้าต่อตาลู่เซิ่งเสียดื้อๆ
“จริงสิ ที่นี่ยังมีอีกชื่อหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วมีคนเรียกมันว่าอดีต ห้องสมุดแห่งอดีต”
เสียงสุดท้ายดังสะท้อนรอบตัวลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิมพลางขบคิดแล้วก็เดินไปชั้นสาม ชั้นสองมีแต่หนังสือประเภทวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เขาต้องการคือประมวลกฎเกณฑ์ อันเป็นบันทึกที่มหัศจรรย์และล้ำลึกที่สุดของโลกใบนี้
เดินตามบันไดขึ้นไปที่ทางโค้งของชั้นสามมีเวทีเล็กๆ ยื่นออกมา เหยี่ยวขนาดยักษ์ที่มีขนสีเงินอยู่บนเวที
เหยี่ยวตัวนี้แค่ยืนก็สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งแล้ว สายตาที่คมกริบของมันคือไฟสีแดงลุกโหมสองกลุ่ม ดูดุร้ายสูงศักดิ์ราวกับจักรพรรดิบนบัลลังก์
ตอนที่ลู่เซิ่งเดินขึ้นมา เหยี่ยวยักษ์ก้มหัวลงมองก่อนจะเมินเขาไปจัดขนของตัวเองต่อ
แต่ถึงมันจะไม่สนใจลู่เซิ่ง ตัวลู่เซิ่งกลับยากจะมองข้ามมัน แรงกดดันที่กระจายออกมาจากเจ้าตัวนี้ช่างรุนแรงเสียจริง
อย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ในกายเนื้อของแจ๊ค ต่อให้เข้ามาที่นี่ ก็ใช้จิตวิญญาณเปลือกนอกของแจ๊ค ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือแก่นสารล้วนเป็นเหมือนกัน ส่วนจิตวิญญาณของร่างหลักนั้นซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณแจ๊ค
แรงกดดันนี้เหมือนกับพายุพุ่งมาปะทะหน้า ทำให้เขาหายใจติดขัดเล็กน้อย
……………………………………….