ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 824 สอบ (2)
ในห้องเรียนโอ่โถง โต๊ะเก้าอี้สีแดงหลายตัวเรียงรายทอดขึ้นด้านบน ไล่จากด้านในออกไปด้านนอกในลักษณะขั้นบันได เหมือนกับที่นั่งในโรงละคร
บนแท่นบรรยายกลางห้องเรียน ศาสตราจารย์ชรากอร์ก้มหน้าไออย่างต่อเนื่อง เศษน้ำลายกระเด็นออกมาจากร่องนิ้ว ตกลงบนแท่นบรรยายและกระจายไปในอากาศโดยรอบไม่หยุดหย่อน
บนที่นั่งด้านล่างมีคนมากกว่าร้อยคนนั่งอยู่กระจัดกระจาย เป็นนักศึกษาใหม่ส่วนหนึ่งของปีนี้
แสงสีเหลืองสลัวสาดลอดเข้ามาจากกระจกตั้งพื้นทางขวามือ ลากเงาเรียวยาวจากร่างของคนทุกคนไปบนนังสีเทาทางซ้ายมือ
“สิ่งที่พวกคุณกำลังถืออยู่ในตอนนี้ เป็นสาขาทั้งหมดที่มหาวิทยาได้เปิดสอนในปีนี้ พวกคุณอ่านเงื่อนไขให้เข้าใจ จากนั้นกรอกใบคำร้อง อย่าลืมว่าขอแค่ทำตามเงื่อนไขสำเร็จ และลการเรียน่านเกณฑ์ ใบคำร้องของพวกคุณก็จะได้รับการอนุญาต ดังนั้นการยื่นเลือกสาขาจะอนุญาตให้เขียนได้สาขาเดียวเท่านั้น” กอร์กำชับด้วยน้ำเสียงเนิบนามตามฉบับ
เพียงแต่นักศึกษาส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องล่างไม่ตอบสนองกับเสียงของเขา
“นี่กำลังล้อพวกเราเล่นอยู่เหรอไง หรือว่าวันนี้เป็นวันเมษาหน้าโง่ อาจารย์คิดจะเล่นมุกตลกเห่ยๆ กับพวกเราอย่างนั้นหรือครับ” มีนักศึกษาคนหนึ่งุดลุกขึ้นอย่างโมโห และโบกใบคำร้องในมือตัวเองไปมา
“สาขาที่เขียนไว้ในนี้มันไร้สาระทั้งเพ มจำได้ว่ามหาวิทยาลัยมิสกาโดดเด่นเชี่ยวชาญแพทย์ศาสตร์กับประวัติศาสตร์นี่!? ใครบอกมได้บ้างว่าวรรณกรรมอักขระลี้ลับ กับโครงสร้างการศึกษาพลังงานชั่วร้ายคือเรื่องเหลวไหลอะไรกัน”
“ยังมีศาสตร์การทำนายวิถีพลังงานอีก อาจารย์แน่ใจนะว่าไม่ได้เอารายการนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซีมาให้มอ่าน” นักเรียนอีกคนหนึ่งลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ
เสียงประท้วงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักศึกษาหลายคนพากันลุกขึ้นประท้วง พวกเขารู้สึกว่าศาตราจารย์ไม่ควรจะล้อเล่นกับทุกคนในเรื่องที่สำคัญแบบนี้
ลู่เซิ่งที่ถือใบคำร้องไว้ในมือ มองสีหน้าไม่แยแสของศาสตราจารย์ชรา ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดเล็กน้อย
“คุณไม่ตกใจบ้างหรือ” ชายหนุ่มหล่อเหลาที่ไว้หนวดจิ๋มมัดมสีทองเป็นหางม้าเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“คุณก็เหมือนกันนี่” ลู่เซิ่งมองเขา
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก แสดงให้เห็นว่าทั้งสองทราบเส้นสนกลในบางส่วนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ดี
หลังเกิดเสียงเอะอะสักพัก ศาสตราจารย์ชราก็กระแอมสองสามคำ ในที่สุดก็ค่อยๆ เอ่ยว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทุกคน การเลือกสาขาเริ่มตั้งแต่บัดนี้”
ทั้งๆ ที่เขาพูดโดยไม่ใช้ความพยายามมาก แต่เสียงกลับสะท้อนในห้องเรียนอย่างชัดเจนเหมือนกับสายฟ้าฟาด
เสียงของทุกคนถูกชายชรากดข่มไว้ในทันที
“กรอกเถอะ กรอกเสร็จแล้วเอามาให้ฉัน พวกที่ไม่เลือกก็ออกจากห้องเรียนไปได้เลย แล้วให้ชะตาชีวิตตัดสินว่า ตัวคุณจะอยู่รอดหรือไม่ก็ได้เช่นกัน” ศาสตราจารย์กอร์ุดสีหน้าเมินเฉย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังแท่นบรรยายโดยไม่พูดอะไรต่ออีก
โครม
นักศึกษาร่างกำยำคนหนึ่งตบโต๊ะอย่างโมโห ก่อนจะลุกออกจากห้องเรียนไป
เมื่อมีคนที่หนึ่ง ก็มีคนที่สอง คนที่สาม
หลังจากมีคนเดินออกไปสิบกว่าคน นักศึกษาที่เหลือไม่มีใครขยับสักคน แม้หลายๆ คนจะไม่เข้าใจเส้นสนกลใน แต่พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พอเห็นว่ามีคนมากมายไม่ขยับตัว บวกกับในใจมีความคาดหวังรอคอยอยู่แล้ว คนที่เหลืออยู่จึงมีเยอะกว่า
สิบนาทีต่อมา ศาสตราจารย์ชรากอร์มองนาฬิกาข้อมือ
“เอาล่ะ นักศึกษาที่ออกไปตอนนี้น่าจะถูกลบความทรงจำแล้ว คราวนี้ฉันควรจะอธิบายให้พวกคุณฟังอย่างแท้จริงสักทีว่า ู้ที่มหาวิทยาลัยมิสกาชุบเลี้ยงเป็นอัจฉริยะแบบไหน”
‘ลบความทรงจำหรือ!?’
ลู่เซิ่งตกใจ ต่อให้ใช้พลังของร่างหลัก ก็ยังคงทำงานที่ละเอียดอ่อนแบบนี้ไม่ได้ เขาสามารถทำลายชีวิตกับวิญญาณของคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ แต่ถ้าจะให้เขาควบคุมอย่างแม่นยำ โดยลบความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งของอีกฝ่ายนั้นมีความยากมหาศาลเกินไป
เขาไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน
นักศึกษาคนอื่นนึกว่าศาสตราจารย์ล้อเล่น สีหน้าพิลึกขึ้นเล็กน้อย มีพวกเขาบางคนคิดว่าศาสตราจารย์ชราคนนี้ใกล้เป็นบ้า หรือไม่ก็คงมีปัญหาทางจิตอยู่บ้าง
“เอาล่ะ” กอร์ยื่นนิ้วซูบอมออกมาชี้หน้าต่างตั้งพื้นที่อยู่ทางขวามือ
“ฉันไม่ชอบให้มีแสงสว่างมากเกินไป ดังนั้น ตอนนี้ขอให้มืดลงหน่อย” อักขระสีดำกลุ่มหนึ่งกะพริบบนหลังมือของเขา
ภาพที่น่าพิศวงพลันปรากฏขึ้น…
แสงอาทิตย์สีแดงอมทองที่สว่างไสวในช่วงเวลาบ่าย ถึงกับมืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์กำลังตกสู่เส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ ราตรีกาลมาเยือนโดยใช้เวลาไม่ถึงห้าวินาที…
ห้องเรียนเงียบสงัดลงทันตา ทุกคนมองภาพที่เห็นอย่างเหลือเชื่อ
มีนักศึกษาบางคนกำลังเก็บหนังสือ เตรียมจะออกไปรายงานสถานการณ์ที่ห้องอธิการบดี
นักศึกษาบางคนยกขาขึ้นไขว่ห้าง เตรียมดูว่าศาสตราจารย์ชราที่จิตใจไม่ปกติจะแสดงฉากตลกแบบใดอีก
มีบางคนุดสีหน้าเคร่งขรึม รอคอยเหตุการณ์ต่อไปอย่างคาดหวัง
กระนั้นไม่มีใครนึกออกว่า เพียงแค่ศาสตราจารย์กอร์ชี้นิ้ว ดวงอาทิตย์ก็ถึงกับตกลงมา…กลายเป็นตอนกลางคืน
“นี่มัน…!?” ลู่เซิ่งตกตะลึงเช่นกัน เมื่อครู่เขาสัมัสคลื่นพลังใดๆ ไม่ได้เลย ดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านนอกเองก็ไม่ใช่ภาพลวงตา เขาใช้ประสาทสัมัสทั้งห้าสัมัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมรอบข้าง การเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ตกดิน
หนุ่มหล่อมทองมัดมหางม้ากำลังจะกินลูกอม พอเห็นภาพนี้ ยังไม่ทันได้ยัดลูกอมเข้าปาก ก็ยัดกระดาษห่อลูกอมเข้าไปเคี้ยวแทน
“พระเจ้าช่วย…!”
“นี่มันปาฏิหาริย์แท้ๆ!”
“น่าเหลือเชื่อ!”
“น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
พริบตาเดียว ห้องเรียนที่ตอนแรกเงียบสงัดก็เกิดเสียงเอะอะเอ็ดตะโรขึ้น
“เงียบ” ศาสตราจารย์ชราเคาะโต๊ะด้านหน้าเบาๆ จากนั้นเสียงทั้งหมดก็เงียบลงไปเอง
ทุกคนหุบปากลงโดยไม่ได้นัดหมายกันไว้ เหมือนกับมีความคิดแปลกประหลาดสายหนึ่งทำให้พวกเขาไม่อยากจะส่งเสียงอุทานและกรีดร้องอีกต่อไป
“ฉันหวังว่าพวกคุณจะตั้งใจร่ำเรียน และ่านการสอบจนจบอย่างราบรื่นในวันเวลาต่อจากนี้ เนื่องจากมีคนที่เรียนจบเท่านั้นถึงจะได้รับการอนุญาตให้เก็บความทรงจำของที่นี่ต่อไปได้ ู้ไม่่านเกณฑ์ที่เรียนไม่จบ จะถูกลบความทรงจำ ลืมเลือนทุกสิ่งของที่นี่ และกลับไปใช้ชีวิตของตนตามเดิม” กอร์เอ่ยเสียงทุ้ม
“เอาล่ะ ตอนนี้กรอกใบคำร้อง แล้วเอามาให้ฉัน จากนั้นเลิกเรียนได้”
ลู่เซิ่งก้มอ่านใบคำร้องในมืออย่างเงียบๆ
สายตาของเขากวาดมองสาขาที่ดูคล้ายมีความเป็นวิชาการมากมาย ไม่นานก็เลือกสาขาที่มีชื่อเหมาะกับเขาออกมาได้หลายสาขา
“วิศวกรรมการไหลเวียนพลังงาน”
“การกำจัดปีศาจระยะประชิดของอับราฮัม”
“ศาสตร์สัมัสจักรวาล”
“ศาสตร์สังเคราะห์เรื่องเหนือธรรมชาติ”
“ศาสตร์สานวิญญาณ”
‘สถานที่แห่งนี้…สุดยอดจริงๆ…’ ลู่เซิ่งรู้สึกอยากเรียนไปเสียทุกอย่าง น่าเสียดายที่ได้แต่เลือกแค่สาขาเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคิดที่จะเลือกทุกสาขาเลย
หลังลังเลสักพักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ทำเครื่องหมายถูกเลือกวิชาศาสตร์สัมัสจักรวาล
เนื่องจากเขาหวนนึกถึงบันทึกที่พบในหลุมสัตว์ประหลาดโดยไม่รู้ตัว ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการรับรู้สิบสามชนิดนั้น
นักศึกษาเก้าสิบกว่าคนที่เหลืออยู่พากันส่งใบคำร้องของตัวเองด้วยความคึกคักและตื่นเต้น
ตอนพวกเขาเดินออกจากห้องเรียน กลับไปถึงหอพัก ก็พบอย่างงงงวยว่า นักศึกษาที่ออกจากห้องเรียนเมื่อก่อนหน้านี้หายตัวไปหมดแล้ว
ลู่เซิ่งไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร
เขาสนใจแค่ว่าตนเองจะสัมัสกับขุมกำลังที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ตอนไหน
คาบเรียนเฉพาะทางคาบแรกต้องรออีกวันหนึ่งถึงจะเรียนได้
ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสสัมัสกับพลังลึกลับ
ตกดึกหัวหน้าหอพักเม็นเดิลส์โซน ชายชาวเยอรมันตามมาตรฐานที่ไม่ชอบพูดจา ก็มอบเครื่องเงินประหลาดอันหนึ่งให้แก่นักเรียนที่อยู่ที่นี่
นักเรียนที่อยู่ในหอพักถูกเขาเรียกไปโถงใหญ่
แหล่งกำเนิดแสงหนึ่งเดียวในเวลากลางคืนคือตะเกียงติดนังที่แขวนบนกำแพง ตะเกียงพวกนี้มืดสลัวเหมือนเป็น้าคลุมอันลึกลับให้แก่โถงใหญ่ที่เก่าแก่และวิจิตร
เม็นเดิลส์โซนในชุดทักซิโด้สีดำที่เรียบแปล้ สวมถุงมือขาว รองเท้าหนังสีดำ ยืนอยู่ตรงหน้านักศึกษาในหอพักจำนวนสามสิบกว่าคน
“ดีใจมากที่พวกคุณเหลือรอดจากคาบเรียนทดสอบของวันนี้ นี่เป็นโอกาส และเป็นการทดสอบ การทดสอบนี้จะรออยู่ในชีวิตต่อจากนี้ของพวกคุณอีกไม่น้อย มีแตู่้เก่งกาจที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะเดินไปถึงตอนสุดท้ายและเรียนจบได้”
เขาเว้นไปครู่หนึ่ง พร้อมกับกวาดสายตาที่เฉียบขาดมองคนสามสิบกว่าคน
“ตอนนี้ คือการทดสอบที่สองที่กำลังรอพวกคุณอยู่”
ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางกลุ่มคน มองดูหัวหน้าหอพักคนนี้อย่างสงบ เขาสังหรณ์ว่า สิ่งที่ตนเองรอคอยมาโดยตลอดอาจจะใกล้มาถึงแล้ว
“เครื่องเงินที่มแจกให้พวกคุณเมื่อครู่ คืนนี้ พวกคุณจะต้องพกติดตัวเอาไว้ให้ดี แล้วขอให้นอนหลับซะ พรุ่งนี้เช้า จะมีคนพาพวกคุณไปยังตึกทดสอบที่สาม ณ ที่แห่งนั้น พวกคุณจะได้มีโอกาสเห็นโลกที่แท้จริง” เม็นเดิลส์โซนเอ่ยเสียงขรึม
“สัมัสอันย่ำแย่ของมนุษย์เรา ได้แต่ทำให้เรามองเห็นส่วนที่เล็กจ้อยถึงขีดสุดของโลกใบนี้เท่านั้น พวกคุณจะสัมัสความจริงแท้อันโหดร้ายของจักรวาลได้ก็ต่อเมื่อ่านการทดสอบเท่านั้น”
“ขอแทรกหน่อยนะคะ การทดสอบครั้งนี้มีอันตรายไหมคะ” หญิงงามที่ไว้มยาวประบ่าและมีิวพรรณดุจกระเบื้องเคลือบขาวคนหนึ่งถามอย่างราบเรียบ
“มี แต่โอกาสต่ำมาก มีคุณคังโลว์คณบดีจากคณะแพทย์จะจับตาดูด้วยตัวเอง ไม่มีทางเกิดปัญหาได้” เม็นเดิลส์โซนตอบอย่างจริงจัง
“ฉันอยากถามอีกสักอย่าง ถ้าหากการทดสอบเกิดอันตราย พวกเราจะเจออะไรหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างสงบ
เม็นเดิลส์โซนจ้องเธออย่างล้ำลึก
“จะเสียสติ”
ฮือฮา!
ทุกคนพลันส่งเสียงเอะอะ สีหน้าต่างบิดเบี้ยวเหยเก
ลู่เซิ่งรู้สึกจิตใจเย็นเยียบเช่นกัน ในที่สุดความโหดร้ายของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เริ่มเยออกมาแล้ว
“แล้วพวกเราจะได้อะไรหรือครับ” เขาเดินขึ้นหน้าและถามอย่างเรียบเฉย
เม็นเดิลส์โซนเบือนหน้ามา มองลู่เซิ่งฉายแววชื่นชมเล็กๆ
“จะได้รับความหวังที่จะสลัดหลุดจากทุกสิ่ง”
การประชุมยามดึกจบลงเท่านี้ ทุกคนแยกย้ายไปพัก่อนห้องใครห้องมัน
ตอนแรกลู่เซิ่งคิดจะกลับเช่นกัน แต่หนุ่มหล่อู้มัดมหางม้าคนนั้นกลับมาขวางเขาไว้ระหว่างทาง
“เฮ้ บังเอิญจริง คุณก็อยู่ที่ตึกนี้เหมือนกันหรือ” หนุ่มหล่อยิ้มแย้มสนิทสนมขณะโบกมือให้ลู่เซิ่ง
หญิงสาวมดำที่เป็นคนถามคำถามเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านข้างเขา
เธอสวมเชิ้ตขาวและเดรสลายตารางขาวดำตามแบบมาตรฐาน ใส่ถุงน่องดำสำหรับนักศึกษาหญิง เพียงแต่สีหน้าของเธอยังคงเมินเฉยเหมือนเก่า คล้ายกับไม่สนใจอันตรายในการทดสอบที่ได้ยินเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ฉันแอนดี้ พรุ่งนี้จะเป็นการปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับความนิยมแล้ว ดูเหมือนพี่ชายจะวางแนไว้หมดแล้วนี่ ไม่เป็นกังวลอะไรเลยล่ะมั้ง” หนุ่มหล่อมหางม้าตบไหล่ลู่เซิ่ง
“กังวลอะไรกันหรือ” ลู่เซิ่งหวั่นไหว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องราววงในไม่น้อย บางทีอาจหาข้อมูลที่มีประโยชน์จากเขาได้
“คุณทายสิ” แอนดี้ยิ้ม “อวัยวะที่ปลูกถ่ายเป็นสิ่งที่ตัดออกมาจากสิ่งนั้น ถ้าเกิดทนไม่ได้…อย่างนั้นก็น่าสนุกแล้ว”
“คิดจะหาพลังที่สู้กับการดำรงอยู่เหล่านั้น ไม่จ่ายค่าตอบแทนเลยจะเป็นไปได้ยังไง” หญิงสาวมดำที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเย็น “แอนดี้ นายยังไร้เดียงสาเหมือนเคยเลยนะ นึกจริงๆ หรือว่าอัตราความสำเร็จจะสูงเหมือนที่พวกเขาบอก”
“หมายความว่ายังไง” แอนดีุ้ดสีหน้างงงัน
“อัตราสำเร็จมีมากสุดแค่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถมยังต้องใช้พลังของกูลาร์มาช่วยด้วย พวกเราถึงจะพอควบคุมอวัยวะที่หกและได้รับความสามารถที่แตกต่างกันมาได้ ไม่อย่างนั้น…” หญิงสาวแค่นเสียง ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ช่างเถอะ ขออวยพรให้นายโชคดีก็แล้วกัน ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นขึ้น อย่าตายเร็วเกินไปล่ะ” เธอพูดจบก็หมุนตัวสาวเท้าเข้าระเบียงอันมืดมิดไป
“ไม่น่ารักเลย…ไม่รู้ว่าู้ชายคนไหนจะรับเธอได้” แอนดี้ว่าพลางเบะปาก
……………………………………….