ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 720 เขม่า (2)
บทที่ 720 เขม่า (2)
‘ช่างเถอะ ดึกมากแล้ว จัดการปัญหาให้จบเร็วๆ แล้วค่อยว่ากันดีกว่า’ ลู่เซิ่งมองดวงอาทิตย์ ก่อนจะเหลียวดูรอบๆ อีกครั้ง
เขาค้นพบอย่างประหลาดใจว่า หลุมที่อสูรตัวนี้ใช้หลบซ่อนตัวเป็นจุดเชื่อมแกนหลักของแดนต้องห้ามพอดี
หรือก็คือใจกลางของแดนต้องห้าม
‘ว่ากันว่าอสูรเกิดจากความเคียดแค้นและความสิ้นหวังของเทพที่ตายไป หรือก็คือเป็นสัตว์ประหลาดอมตะที่เกิดขึ้นจากร่างของเทพที่ตายแล้ว’ ลู่เซิ่งอุ้มไอนี ฟิสไว้ขณะกระโดดลงหลุม
เปรี้ยง
เขาทิ้งตัวลงถึงก้นหลุมอย่างมั่นคง
ข้างใต้คือวังใต้ดินที่ทำจากหิน ตำแหน่งที่เขายืนอยู่คือยอดสุดของวังใต้ดินพอดี
เพียงแต่ส่วนยอดนี้ถูกไอนีกระแทกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ตอนพุ่งออกมาแล้ว
ลู่เซิ่งอุ้มไอนีกระโดดเข้าไปในวังใต้ดิน
“อ๊าก! แสงอาทิตย์เอ๋ย! แสงของเจ้าทำให้พวกเราสูญเสียความสดใส! เจ้ามอบความอบอุ่นและแสงให้แก่สรรพสัตว์ แต่กลับลืมเลือนพวกเราไป”
เพิ่งจะเข้ามา ลู่เซิ่งก็เห็นสัตว์ประหลาดร่างกลมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการเอาใบหน้ากับแขนมนุษย์นับไม่ถ้วนมากองรวมกัน ก่อนจะมันกลิ้งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
‘อสูรอีกแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่เหมือนกับตัวที่เขาอุ้มอยู่ในมือได้ทันที
“ข้าคือดูม่า เกิดมาเพื่อแก้แค้นแสงสว่าง!” ใบหน้าจำนวนมากของสัตว์ประหลาดส่งเสียงพร้อมกัน เป็นเสียงที่สั่นสะเทือนจนทำให้คนชาดิก
แค่เสียงนี้ หากคนธรรมดาได้ยิน จะสูญเสียอำนาจควบคุมร่างกายไป แล้วกลายเป็นทาสของอีกฝ่ายทันที
ก้อนกลมขนาดสิบกว่าเมตรหยุดลงตรงหน้าลู่เซิ่ง จากนั้นร่างกลมก็อ้าส่วนในที่เหมือนกับช่อดอกไม้ที่ทับซ้อนกันให้บานออก เผยให้เห็นใบหน้าคนด้านในสุด
‘ดูเหมือนจะไม่ได้มาผิดที่ซะแล้ว…’ ลู่เซิ่งมองก้อนเนื้อด้านหน้า จากนั้นก็มองไอนีที่อุ้มอยู่พร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจ
…
สองปีต่อมา…
หลังผ่านการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดราชินีมังกรสีรุ้งเออร์นีก็พาเผ่าไปอาศัยอยู่บนเกาะเล็กๆ ในโพ้นทะเลที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมที่สุดแห่งหนึ่ง
เกาะแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่าเกาะมังกรสีรุ้ง
แต่หลังจากอาศัยอยู่ได้ไม่นาน น่านน้ำรอบๆ ก็ปรากฏสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับปลาหมึกสีน้ำเงินขนาดยักษ์ขึ้น และมันก็ได้สังหารมังกรสีรุ้งวัยหนุ่มไปสองตัว
นี่ทำให้เผ่ามังกรสีรุ้งที่เดิมมีประชากรน้อยอยู่แล้วจนตรอกกว่าเดิม
ด้วยความเศร้าใจและโกรธแค้น ราชินีมังกรเออร์นีได้นำพาเผ่าเข้าสู้สุดกำลัง ในที่สุดก็สังหารปลาหมึกสีน้ำเงินตัวนี้สำเร็จ
แต่กลับก่อให้เกิดเภทภัยอย่างใหญ่หลวง
ความจริงแล้วปลาหมึกสีน้ำเงินเป็นหนึ่งในลูกของซาดีนผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งที่สุดในท้องทะเล
กึ่งเทพซาดีนผู้เป็นราชันแห่งทะเลลึกใช้ร่างกายที่ใหญ่โตมหึมาปกครองน่านน้ำขนาดใหญ่รอบๆ ซึ่งรวมไปถึงเกาะมังกรสีรุ้งด้วย
แม้จะเป็นกึ่งเทพเหมือนกัน พลังต่อสู้ของซาดีนก็เหนือกว่ากึ่งเทพที่เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างน้อยสิบกว่าเท่า
มันเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณที่อยู่มามากกว่าหมื่นปี ทั้งยังครอบครองลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับท้องทะเล บวกกับความเข้าใจต่อลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ในระดับล้ำลึกที่สุดในหมู่กึ่งเทพด้วย
แก่นแท้ของลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คือ หลังจากเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติถึงขั้นล้ำลึกที่สุดแล้ว ความเข้าใจนี้จะทำให้กายเนื้อของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องเข้ากับกฎเกณฑ์มากกว่าเดิม และได้รับพลังที่ส่งผลต่อธรรมชาติซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม
เป็นเพราะลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้รับการปรับปรุงจนได้รับพลังอันมหาศาลมา ร่างกายที่ได้รับการปรับปรุงของซาดีนจึงเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป ทำให้พลังที่ได้มาจากธรรมชาติแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย
เมื่อสามพันกว่าปีก่อน หลังจากเขาได้เอาชนะเออร์ดาลาผู้เป็นกึ่งเทพแห่งเผ่าฉลาม ก็ไม่เจอคู่ต่อสู้คนอื่นอีกเลย
ทุกๆ วันนอกจากสืบพันธุ์ในรังแล้ว ก็จะออกไปหาของกินมาขัดฟัน
ดังนั้นตอนที่ได้ยินว่าลูกสุดที่รักของเขาถูกมังกรสีรุ้งที่มาใหม่ฆ่าตาย ความโกรธเกรี้ยวในใจซาดีนจึงแทบไม่อาจบรรยายออกมาได้
เขากลายร่างเป็นมนุษย์พุ่งไปยังเกาะมังกรสีรุ้งทันที แต่กลับไม่เจออะไรเลย
ราชินีมังกรเออร์นีได้พาฝูงมังกรหลบหนีไป เพื่อหาสถานที่ใหม่แล้ว
ซาดีนสั่งบริวารออกไปขัดขวางทันที
ทว่านอกจากตัวเขาเอง บริวารที่เก่งกาจที่สุดเป็นแค่ระดับตำนานขั้นสูง จึงสู้ฝูงมังกรสีรุ้งไม่ได้
ในเวลาสองปีมานี้ บริวารที่มีความสามารถสองคนของซาดีนก็ถูกลอบสังหารในระหว่างตามล่าการหลบหนีของเผ่ามังกรสีรุ้งเช่นเดียวกัน
ซาดีนที่โกรธจัดประกาศคำสั่งฆ่าล้างเผ่ามังกรสีรุ้งให้สิ้นซาก ขณะเดียวกันยังได้เสนอเงินรางวัลรวมถึงสมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลในการไล่ล่ามังกรสีรุ้ง
ตัวเขาสาบานว่าจะฆ่ามังกรสีรุ้งทุกตัวให้ได้
นี่ทำให้เผ่าพันธุ์บางส่วนที่เดิมมีความสัมพันธ์กับมังกรสีรุ้งไม่กล้าช่วยเหลือโดยบุ่มบ่าม สถานการณ์ของมังกรสีรุ้งจึงยากลำบากยิ่งกว่าเดิม
“ฆ่ามังกรสีรุ้งทุกตัว…พูดจาโอหังจริงๆ!”
ในวังใต้ดินของแดนต้องห้าม
ลู่เซิ่งนั่งบนบัลลังก์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในวังขณะอ่านรายงานที่บริวารส่งให้ ก่อนยิ้มแสยะอย่างเย็นชา
เขามาถึงโลกนี้ได้หลายปีแล้ว แม้ร่างหลักจะยังเป็นมนุษย์ ทว่าฝูงมังกรสีรุ้งก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี
“พวกแกคิดยังไง” เขาโยนรายงานทิ้ง กระดาษพลันลอยไปอยู่ในมือคนสวมเสื้อสีดำที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย
“เงามารที่เป็นองค์กรรอบนอกส่งจดหมายมา จะแม่นยำหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัดนัก บางทีพวกเราน่าจะตรวจสอบเสียก่อนค่อยตัดสินใจ” คนในชุดสีดำตอบเสียงทึบหนึก
“แม้ช่วงนี้ข้าจะไม่ได้ดูแลเงามารแล้ว แต่ระดับความแม่นยำของข้อมูลจากพวกเขาก็ควรค่าให้เชื่อถืออยู่” ลู่เซิ่งอธิบาย
“ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ร่องรอยของซาดีนไม่แน่ชัด แถมมังกรสีรุ้งยังหาตัวจับได้ยากเพราะหลบซ่อนซาดีนอีก ต่อให้พวกเราอยากช่วยก็หาไม่เจออยู่ดี”
เงาสีดำพร่ามัวขนาดมหึมาสายหนึ่งนั่งอยู่ในความมืดทางขวามือเอ่ยส่งเสียงทุ้มต่ำช้าๆ ดั่งชายวัยกลางคน
ลู่เซิ่งกวาดตามองเหล่าบริวารคนอื่นๆ ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ไม่มีใครส่งเสียง แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะแสดงความเห็นใดต่อรายงานนี้
ในสองปีมานี้ เขาได้รับตัวตนอันแข็งแกร่งที่มีพลังและลักษณะต่างกันทั้งสิ้นสิบสองคนมาหนึ่งกลุ่ม แล้วก่อตั้งขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองขึ้นมา
ครั้งนี้เขาคิดจะสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นกองกำลังที่ทิ้งไว้บนโลกใบนี้เท่านั้น หากแต่เป็นกองทัพอันน่าสะพรึงกลัวที่จะยาตราทัพตามเขาไปยังโลกต่างๆ ด้วย
แต่ถ้าจะทำให้ถึงขั้นนั้น ปัญหาที่ต้องจัดการมีอยู่มากมาย
“ละวางเรื่องนี้ไว้ก่อน รอข้อมูลต่อจากนี้…”
ลู่เซิ่งยังไม่ทันพูดจบ เสาเพลิงสีนิลสายหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นจากฝั่งขวาของเขา
เสาเพลิงเพิ่งจะโผล่มา กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว จดหมายสีดำฉบับหนึ่งลอยออกมาจากด้านใน แล้วตกลงบนมือของลู่เซิ่งอย่างแม่นยำ
ลู่เซิ่งหยิบขึ้นมาอ่านดู
“อ้าว ทำไมมาถึงที่นี่ได้” มือของลู่เซิ่งที่จับกระดาษจดหมายไว้สั่นเล็กน้อย พร้อมผุดสีหน้าประหลาดใจ
“ไอนี แผนการศิลานิลขอมอบอำนาจทั้งหมดให้เจ้ารับผิดชอบ ข้าจะไปหาสหายสองคนที่เดินทางไกลมาเสียหน่อย” ลูเซิ่งลุกขึ้นและสั่งการ
“ขอรับ” คนชุดดำที่อยู่ทางซ้ายมือรีบพยักหน้า
ลู่เซิ่งโบกมือ พลันเปิดประตูข้ามมิติทรงรีสีม่วงขึ้นตรงหน้า เขาก้าวเข้าไป ก่อนจะหายไปจากบัลลังก์ในพริบตา
ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มายืนอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งด้านหลังเมืองแสงอรุณแล้ว
โกรกธารสูงชัน ปักษาส่งเสียง อวลกลิ่นบุปผา อากาศสดชื่นแจ่มใส ก้อนหินบนพื้นกับผนังหินของหุบเขามีมอสส์และเถาวัลย์เลื้อยปกคลุมเต็มไปหมด
อากาศเช่นฤดูใบไม้ผลิเหมือนคงอยู่ทั่วทุกที่
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเข้าไปในหุบเขา ไม่นานนักก็หยุดยืนอยู่หน้าเหมืองแร่ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง
ชายชราผมขาวที่สวมเสื้อคลุมสีแดงและถือคทาเวทคนหนึ่งยืนอยู่ตรงปากถ้ำเหมือง
พอเห็นลู่เซิ่งมาถึง ชายชราก็รีบโค้งคำนับ
“นายท่าน พวกเขาอยู่ในถ้ำ ข้าน้อยได้ติดตั้งวงแหวนเวทลบคลื่นพลังเอาไว้แล้ว เวลาสั้นๆ ไม่น่ามีปัญหา”
“อืม เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ขอรับ” ชายชราเสกประตูข้ามมิติ ก้าวเข้าไป จากนั้นประตูก็จางหายไปเอง
ลู่เซิ่งสาวเท้าเดินเข้าไปในถ้ำ เดินไปได้ไม่ลึกเท่าไหร่ เขาก็เห็นมังกรเด็กสีรุ้งที่มีขนาดไม่ใหญ่มากสองตัวกำลังพิงร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลมากมายทั่วทั้งตัวกับผนังถ้ำเพื่อพักผ่อน
“บอร์ก? แซลลี?” ลู่เซิ่งงุนงง นึกไม่ถึงว่ามังกรน้อยสองตัวนี้จะเป็นสหายสองคนที่เกิดมาพร้อมกับเขาในตอนนั้น
เสียงของเขาปลุกมังกรน้อยที่อ่อนล้าเหนื่อยเพลียสองตัวให้ตื่นขึ้นทันที
กรรซ์!
บอร์กยืดร่างขึ้น ดวงตามังกรที่ไม่ใหญ่จับจ้องลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
“แซลลี ไปหลบหลังข้า!” เขาร้องเสียงดัง
แซลลีรีบไปหลบหลังบอร์กอย่างเชื่อฟัง มังกรน้อยทั้งสองตัวเพิ่งจะสูงแค่สามเมตรกว่าๆ เท่านั้น สำหรับเผ่ามังกรแล้ว เวลาสิบกว่าปีเทียบเท่ากับเวลาหนึ่งถึงสองปีของพวกมนุษย์เท่านั้นเอง
ในฐานะมังกรสีรุ้งที่จะโตเต็มวัยเมื่ออายุสามร้อยปี พวกเขาต้องใช้เวลาอีกนานโขกว่าจะโตเต็มวัย
“พวกเจ้ามาเจอข้าที่นี่ได้ยังไง” ลู่เซิ่งปลดปล่อยอานุภาพมังกรออกมาสายหนึ่ง
ทันใดนั้นมังกรน้อยทั้งสองตัวสั่นอย่างรุนแรง อานุภาพมังกรที่คุ้นเคยสายนี้ทำให้พวกมันนึกถึงลู่เซิ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้วขึ้นมา
“หรือว่า…ท่านจะเป็น…?!” แซลลีเบิกตาโตพร้อมกับพุ่งออกมาจากหลังบอร์ก
“ข้าเอง…” ลู่เซิ่งยิ้ม ขณะกำลังจะทักทาย
“เดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ ก็มีหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงดังมาจากด้านนอกถ้ำ
เงาสีขาวอมเงินสายหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ระหว่างลู่เซิ่งกับมังกรน้อยทั้งสองตัว
นั่นคือหญิงงามที่มีผมยาวสีเงินคนหนึ่ง เพียงแต่ความงดงามของนางคล้ายกับหงเย่เล็กน้อย คือเหมือนทั้งชายทั้งหญิง
แต่ผิดกับบุคลิกที่หลากหลายของหงเย่ เพราะบนตัวของผู้หญิงคนนี้เหมือนมีความเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังวนเวียนอยู่
“ท่านพี่ทีอา” มังกรน้อยทั้งสองตัวมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ
“อย่าได้เชื่อคนอื่นง่ายๆ เพราะคำพูดไม่กี่คำ ข้าเคยบอกพวกเจ้าไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังจำไม่ได้อีกหรือ” นางพลิกมือชักหอกสั้นสีเงินออกมาจากด้านหลัง
“ในเมื่อสัญญากับพวกเจ้าแล้วว่าจะคุ้มครองพวกเจ้ากลับไปให้ได้ ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าเกิดอุบัติเหตุใดๆ เด็ดขาด”
ขณะที่พูด จุดแสงสีเงินจำนวนมากก็กระจายออกมาจากร่างของนาง แล้วรวมตัวบนหอกสั้นในมือ อานุภาพที่แข็งแกร่งและหนักอึ้งสายหนึ่งเริ่มวนเวียนในถ้ำอย่างช้าๆ
ตอนแรกลู่เซิ่งงุนงง ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ท่านหญิงทีอาหรือ ขอบใจมากที่ท่านดูแลพวกแซลลี ข้าลู่เซิ่ง เป็นสมาชิกของเผ่ามังกรสีรุ้งเช่นกัน คนที่ท่านต้องระวังไม่ใช่ข้าหรอก”
เขาค่อยๆ ปลดปล่อยอานุภาพมังกรเฉพาะมังกรสีรุ้งออกมา ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนดวงตาของตัวเองให้กลับไปเป็นม่านตาแนวตั้งของมังกรสีรุ้งด้วย
หญิงสาวงงงัน สัมผัสได้ถึงอานุภาพมังกรที่คล้ายๆ กันสายนี้แล้วเช่นกัน พอเห็นดวงตาของลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลงไป นางก็เหลือบหางตามองดูสีหน้าตกใจยินดีบนใบหน้าของมังกรน้อยทั้งสองตัวซึ่งอยู่ด้านหลัง
“พี่ลู่เซิ่ง!”
มังกรน้อยทั้งสองตัวร้องเสียงแหลมพร้อมกับพุ่งเข้าไปกอดลู่เซิ่งและร้องห่มร้องไห้
“พี่คะ…หัวหน้าเผ่านาง…หัวหน้าเผ่านาง…” ความลำบากในตลอดเวลาที่ผ่านมาของแซลลีเหมือนได้รับการปลดปล่อย จึงส่งเสียงสะอึ้นเสียจนพูดไม่ชัด
“ไม่เป็นไรแล้วๆ…” ลู่เซิ่งลูบหลังของเด็กน้อยสองตัวเบาๆ
ทีอาโล่งใจเช่นกัน หวนนึกถึงภาพที่ได้ช่วยเหลือเจ้าตัวน้อยสองตัวระหว่างทาง
ไม่มีใครกล้าเสี่ยงยั่วโมโหซาดีนโดยการช่วยเผ่ามังกรสีรุ้ง
แต่นางเป็นคนที่ทำความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว ในเมื่อแบกรับความรับผิดชอบที่ยากจะชำระ อย่างนั้นการช่วยเหลือเจ้าตัวน้อยสองตัวระหว่างทางจะยากลำบากขนาดไหนกันเชียว
‘ผู้แบกรับทุกความเคียดแค้น’ นี่คือชื่อในศาสนาของนาง
นางฉวยโอกาสตอนที่เจ้าตัวน้อยสองตัวได้พบหน้ากับครอบครัว เดินออกจากถ้ำเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
ใต้ชั้นเมฆหนา แสงอาทิตย์สีทองสาดทะลุลงมาเหมือนกับศรแหลม
นางนึกถึงคืนแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เป็นเพราะความเอาแต่ใจ การปกปิด และเกียรติจอมปลอมของนาง ชนเผ่าของนางจึงถูกหอกยาวสีเงินตอกตรึงกับไม้กางเขน
ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ทุกสิ่งของนางก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
การแก้แค้น เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของนาง
นางละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการแก้แค้น แม้นางจะรู้ดีว่ามีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม
อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้นางพยายามสุดกำลัง ก็ไม่มีความหวังที่จะรอดกลับมาอยู่ดี
“ท่านจะไปไหนหรือ” เสียงของลู่เซิ่งดังมาจากด้านหลัง
“ไปทำในสิ่งที่ข้าควรทำ”
ทีอาโบกมือโดยไม่หันหลังกลับ
“ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลืออะไร สามารถมาหาข้าที่เมืองแสงอรุณได้ ข้าจะช่วยท่านครั้งหนึ่งเพื่อตอบแทนที่ท่านส่งเด็กๆ ทั้งสองมาอย่างปลอดภัย นี่เป็นคำสัญญาจากข้า” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มจากด้านหลัง
“ไม่ต้องหรอก ข้าก็แค่ทำตามใจ ทำเรื่องที่ข้าอยากจะทำเท่านั้น” ทีอาชะงักไปและกล่าวอย่างผ่าเผย “ไว้เจอกัน ไม่สิ…คงไม่เจอกันอีกแล้วล่ะ พวกเจ้าอย่ามาเกี่ยวข้องกับข้าจะดีกว่า”
เงาร่างของนางหายไปจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว นางไม่รู้เลยว่าสัญญาที่นางได้รับจากการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของตัวเองมีประโยชน์มากขนาดไหน
ลู่เซิ่งยืนส่งนางด้วยสายตาอยู่ในถ้ำ รอจนกระทั่งนางหายไปจึงค่อยละสายตากลับมา
“ลองตรวจสอบดู ถ้ามีปัญหาอะไร ให้ช่วยนางจัดการซะ” ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณส่งคำสั่งออกไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าน้ำใจของเขามีความสำคัญขนาดไหน
เงาสีดำที่ซ่อนเร้นอยู่ขยับออกไปจากมุมที่มืดครึ้มบางส่วนรอบๆ หุบเขา พริบตาเดียวก็สาบสูญไปจากที่เดิมเหมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
……………………………………….