ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1014 จัดชั้นเรียน (2)
“โอ!”
ไป๋อี้อันตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้น ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนจ้าวกั่วโยวตาเปล่งประกาย กล้ามเนื้อทั้งหมดกำลังสั่นไหว
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไป๋อันอี้สามารถเรียนวิชาต่อสู้แบกภาระกับฉันได้” ลู่เซิ่งชักแขนออกมาแล้วกล่าวอย่างราบเ เรียบ
“ครับอาจารย์!” ตอนนี้ไป๋อันอี้รู้สึกว่าเงินน้อยนิดที่จ่ายไปคุ้มค่าอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ความจริงลู่เซิ่งเพียงแค่สาธิตอานุภาพระดับพลังปลอดโปร่งให้พวกเขาดูเท่านั้น
ถ้าฝึกฝนถึงระดับพลังปลอดโปร่ง และบวกรวมกับวิธีการฝึกฝนแบบจำกัดตัวเอง ไม่นานก็จะทำแบบนี้ได้
ลู่เซิ่งอธิบายวิธีฝึกถึงขอบเขตพลังปลอดโปร่งและเงื่อนไขที่พลังปลอดโป่งต้องทำได้ให้ไป๋อันอี้ฟัง
จากนั้นเด็กอ้วนทั้งสองก็กลับบ้านก่อน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งคาดไม่ถึงในเวลาต่อมาก็คือ ความเร็วในการยกระดับของเด็กอ้วนไป๋อันอี้อยู่เหนือคว วามคาดหมายของเขา
เพียงแค่เวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ เขาก็พุ่งทะยาน เรียนระดับพลังปลอดโปร่งจนเกือบหมด ส่งแรงได้ถูกต้องตามมาตรฐาน
ลู่เซิ่งไต่ถามอย่างอดไม่ได้แล้วค่อยทราบว่า หลังจากเด็กอ้วนกลับบ้าน เขาไม่ได้แค่ฝึกเพิ่มเองเท่านั้น
เขาได้ใช้เครื่องฝึกฝนจำลองที่พี่ชายไม่ใช้แล้ว เลียนแบบสภาพส่งแรงแบบพิเศษของขอบเขตพลังปลอดโปร่ง
หลังปรับเปลี่ยนตัวแปรและส่งแบบจำลองมนุษย์เข้าไป เครื่องจักรคอมพิวเตอร์ก็ทำให้เด็กอ้วนตรวจสอบสภาพของตัวเองได้ ตลอดเวลาว่า ตนเองส่งแรงถูกต้องหรือไม่
บวกกับการช่วยเหลือจากอาหารเสริมส่วนหนึ่งที่พี่ชายเขาเคยใช้ ความเร็วในการยกระดับของไป่อันอี้จึงเหนือกว่าผู้ ฝึกฝนทั่วไป
ด้วยการช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์ เขาไม่ได้เดินออกนอกเส้นทางเลยแม้แต่น้อย หากตรงดิ่งเข้าหาเป้าหมายโดยตรง
นี่ทำให้นอกจากลู่เซิ่งจะทอดถอนใจเกี่ยวกับการพัฒนาของเทคโนโลยีแล้ว ยังเริ่มมีความคาดหวังส่วนหนึ่งต่อตัวเด็กอ้วน นด้วย
เขาอยากจะเห็นว่า เด็กอ้วนจะไปถึงระดับไหนได้เร็วที่สุดด้วยการช่วยเหลือจากเทคโนโลยี
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน…
ตูม!
ไป๋อันอี้ผู้มีกล้ามเนื้อบึกบึนต่อยหมัดใส่กระสอบทรายด้านหน้า กำปั้นที่ผสานกับแรงทั้งหมดของเขาชกใส่กระสอบทราย ก่อนเกิดเสียงปะทะทึบหนัก
กระสอบทรายลอยสูง มันที่มีน้ำหนักสี่สิบกิโลกรัมถูกต่อยจนส่ายโคลงเคลงเหมือนไร้น้ำหนัก
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิคอยรับชมอยู่บนผิวหินด้านข้าง
จ้าวกั่วโยวนอนอยู่บนพื้นอีกด้านหนึ่ง
วันนี้จ้าวกั่วโยวได้รับการฝึกฝนจำกัดตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ครั้งหน้าสามารถเริ่มฝึกฝนระดับพลังปลอดโปร่งเ เหมือนกันได้
ขณะมองดูไป๋อันอี้บรรลุผลลัพธ์หลายปีของผู้ฝึกฝนที่อยู่ในโลกปรภพได้โดยใช้เวลาแค่สองเดือน ลู่เซิ่งก็สะท้อน นใจ
“ดูเหมือนการช่วยฝึกฝนจากเทคโนโลยีของเธอจะได้ผลจริงๆ ต่อจากนี้เธอเพิ่มการทดลองทางด้านนี้เองได้เลย” เขาเอ่ย ยกับไป๋อันอี้อย่างราบเรียบ
“ครับอาจารย์” เทียบกับเมื่อสองเดือนก่อน แม้ประกายตาของไป่อันอี้จะยังฉายแววตื่นเต้นอยู่ แต่ดูสุขุมขึ้นมาก
เป็นเพราะลดน้ำหนักสำเร็จ ช่วงนี้เขาจึงกลายเป็นคนสำคัญที่ค่อนข้างโดดเด่นในโรงเรียน
อย่างไรก็ไม่ใช่ว่าใครจะลดไขมันได้ห้าสิบกิโลกรัมในเวลาสองเดือน บวกกับอันธพาลในชั้นเรียนที่เคยรังแกเขาถูก เขาผลักล้มกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
นี่ทำให้ไป๋อันอี้เข้าใจอยางล้ำลึกว่า กำปั้นต่างหากที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเชิดชูอาจารย์อย่างลู่เซิ่งเพิ่ม มขึ้นดุจเทพเจ้า
“ตอนนี้เธออยู่ในช่วงปรับแรงทั้งหมดให้เข้ากัน ห้ามประหยัดเด็ดขาด มีอะไรบำรุงได้ให้ใช้ทั้งหมด เวลานี้จะกระตุ้ นให้ร่างกายเกิดการเจริญเติบโตครั้งที่สอง เป็นช่วงพื้นฐานที่ดีที่สุด” ลู่เซิ่งย้ำ
“ครับ เข้าใจแล้วครับอาจารย์” ไป๋อันอี้เคยได้ยินผู้ฝึกสอนของพี่ชายพูดถึงทฤษฎีนี้มาก่อน ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่า างเห็นด้วย
“อาจารย์ครับ หลังจากถึงขอบเขตพลังปลอดโปร่งแล้ว ต่อจากนั้นคืออะไรหรือครับ” เขาถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง
“ไม่ต้องรีบหรอก รอร่างกายเธอผสานแรงเสร็จ ช่วงปรับตัวผ่านพ้นไป ต่อจากนั้น เรื่องที่เธอต้องทำจะเพิ่มขึ้นมากก กว่าเดิม พลังปลอดโปร่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น…”
ลู่เซิ่งอธิบายหน้านิ่ง
“เข้าใจแล้วครับ!” ไป๋อันอี้ฮึกเหิม กล่าวพลางพยักหน้าแรงๆ ก่อนจะนึกถึงพี่ชายที่หลงไหลในการเพิ่มกล้ามเนื้อแล ละการต่อสู้จนถอนตัวไม่ขึ้น
เขาเคยเล่าถึงวิธีฝึกฝนแบบผสานที่รวบรวมแรงทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันให้ตนฟัง บางทีตอนนี้ตนอาจจะบรรลุถึงขั้นวิธ ธีฝึกฝนแบบผสานแล้ว
“พี่ชายผมคิดว่าหลังการผสานพละกำลังทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันคือจุดสิ้นสุด ได้แต่ฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและ ะกระตุ้นร่างกายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ภายหลังจะไม่มีความก้าวหน้าอะไรอีก น่าเสียดาย…ที่เขาไม่รู้ว่าผมได้พบยอ อดคน!” ตอนนี้ไป๋อันอี้มีความรู้สึกอยู่เหนือกว่าและความดีใจอยู่เล็กๆ
ถ้าเรียนกับอาจารย์ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ บางทีอาจมีสักวันที่ตนก้าวข้ามพี่ชายผู้แข็งแกร่งจนแปลกประหลาดคนนั้นได ด้
“เธอคิดอะไรอยู่ เวลาผสานแรงห้ามเสียสมาธิ!” ลู่เซิ่งดีดหินก้อนหนึ่งใส่กล้ามเนื้ออ่อนข้างเอวของไป๋อันอี้อย่ างแม่นยำ
“โอ๊ย!”
ไป๋อันอี้เกือบจะล้มลงกับพื้น
จากนั้นก็ไม่กล้าเหม่ออีก เริ่มปรับตัวกับความรู้สึกที่แรงทั้งหมดผสานเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ไปเรื่อยๆ
จ้าวกั่วโยวที่อยู่ใกล้ๆ มองไป๋อันอี้ด้วยความอิจฉา แม้ตอนนี้เธอจะลดไขมันไปได้เกือบหลายสิบกิโลกรัม เห็นผลลั พธ์ได้อย่างชัดเจน
แต่เทียบกับไป๋อันอี้ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างยังคงเห็นได้ชัดมาก
“จริงสิคะอาจารย์ ฉันยังมีพี่ๆ คนอื่นๆ และเพื่อนๆ ในกลุ่มที่อยากจะขอเรียนกับอาจารย์อีก ไม่ทราบว่าอาจารย์จะ ะรับไหมคะ” จ้าวกั่วโยวพลันถามเสียงดัง “แต่เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการลดน้ำหนักนะคะ”
“ฉันจะตั้งชั้นเรียนธรรมดาอีกกลุ่ม เธอให้พวกเขามาสมัครเอง ฉันไม่ให้สมัครแทน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างรวบรัด “อีกอ อย่าง ก่อนหน้านี้ฉันลดค่าเรียนให้พวกเธอสองคน แต่ถ้าพวกเขาอยากลดไขมัน จะเก็บเดือนละแสน ให้พวกเขาพิจารณากัน นดีๆ ”
“หนึ่งแสน?!” ไป๋อันอี้กับจ้าวกั่วโยวร้องอุทาน สำหรับพวกเขาที่ยังคงเป็นนักเรียน เงินจำนวนนี้แทบจะเป็นจำนว วนมหาศาล
“พวกเธอบอกไปแบบนี้ก็พอ นอกจากนี้ ทางฉันไม่มีการจำกัดอายุ ขอแค่ไม่แก่ขนาดอายุหกเจ็ดสิบปี ที่เหลือก็สมัคร ได้หมด แน่นอนว่าห้ามไม่ให้บอกวิธีการฝึกฝนกับคนอื่น” ลู่เซิ่งเสริมอีกหลายประโยค
ความจริงต่อให้บอกคนอื่น พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าทำอย่างไร
แก่นหลักในการลดไขมันของเขาไม่ใช่การฝึกฝนพลังปลอดโปร่ง แต่เป็นการฝึกฝนแบบจำกัดตัวเอง และวิชาดัชนีแบบจำกัด ตัวเองที่เขาดำเนินการเอง
ความจริงไป๋อันอี้กับจ้าวกั่วโยวต่างอาศัยมันถึงลดไขมันจนผอมได้สำเร็จในเวลาสั้นๆ
“ต่อให้บอกคนอื่น พวกเขาก็เลียนแบบไม่ได้อยู่ดี…” ไป๋อันอี้พึมพำ “ไม่รู้ว่านักเรียนธรรมดาจะหาเงินมากขนาดนั้น นมาจากไหน...”
กลับเป็นจ้าวกั่วโยวที่อยู่ด้านข้างฉุกใจนึกอะไรได้
ก่อนหน้านี้พวกเธออ้วนมาก จึงมักจะทำกิจกรรมหรือสื่อสารกันแค่ในกลุ่มคนอ้วน ความจริงคนที่มาถามเธอก็เป็นคนรวย ที่อยู่ในกลุ่มนั้นนั่นเอง
สำหรับเด็กนักเรียน เงินแสนหนึ่งถือว่าเยอะมาก แต่สำหรับผู้ใหญ่กลับไม่เหมือนกันแล้ว
ผู้ใหญ่ที่มีรายรับปกติหน่อย อย่างไรก็เก็บออมได้มากกว่าแสน สามารถรักษาความอ้วนที่ส่งผลต่อสุขภาพและภาพลักษณ์ ของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิงโดยใช้เงินแสนสองแสน การค้าขายที่ได้กำไรมหาศาลอย่างนี้ จะต้องมีคนทำแน่นอน
ความอ้วนไม่ได้ส่งผลแค่ภาพลักษณ์เท่านั้น ยังส่งผลต่อการหาคู่ในภายหลังอีกด้วย
พอรู้ว่าลู่เซิ่งวางแผนจะเปิดชั้นเรียนรอบนอก เด็กสองคนก็เริ่มช่วยกันป่าวประกาศหลังจากกลับบ้าน
เมื่อพวกเขาสองคนเป็นคนพูด คนอ้วนที่รู้จักพวกเขาในกลุ่มก็เริ่มติดต่อกับพวกเขาอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ในตอนที่ช่วงร่างกายปรับตัวของลู่เซิ่งเพิ่งผ่านไป ชั้นเรียนรอบนอกก็เริ่มมีนักเรียนกลุ่มใหม ม่เพิ่มมา
มีคนทั้งหมดหกคน ล้วนเป็นคนอ้วนมีเงินที่อยู่ในกลุ่มของพวกไป๋อันอี้ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเรียน เป็นผู้ใหญ่ ที่ทำงานแล้ว ในนี้ยังมีผู้ปกครองของเด็กอ้วนในกลุ่มด้วย
ลู่เซิ่งโล่งใจที่มีไป๋อันอี้ช่วยหาเงินให้ จากนั้นก็ทิ่มนิ้วใส่ทุกคนบนลานโล่งหลังห้องสมุด
ภายใต้ผลลัพธ์การฝึกฝนอันแข็งแกร่งของดัชนีจำกัดตัวเอง พวกเขาทรมานเจียนตาย เจ็บปวดทุรนทุราย
ชั้นเรียนรอบนอกกลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
นักเรียนรอบนอกหกคนจ่ายเงินหกแสนต่อเดือน บวกกับเงินหนึ่งแสนต่อเดือนของพวกไป๋อันอี้ จึงรวมรายได้ทั้งหมดเ เจ็ดแสน
สิ่งที่ลู่เซิ่งผู้ได้เงินสดเจ็ดแสนต้องทำก็คือ จิ้มนิ้วใส่พวกเขาทุกๆ สองสามวัน อย่างไรจิตใจของพวกเขาก็ทนน นิ้วที่สองไม่ได้
ทว่าสิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งคาดไม่ถึงก็คือ ในสมาชิกรอบนอกหกคนนี้มีหญิงอ้วนที่อายุเกือบสามสิบปีคนหนึ่งเหมาะกับ บวิชาต่อสู้แบกภาระที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างยิ่ง
แต่ถึงจะเหมาะสม เขาก็จะไม่ปฏิบัติด้วยเป็นกรณีพิเศษเพราะอีกฝ่ายมีพรสวรรค์
หากไม่จ่ายเงิน ทุกอย่างก็กลายเป็นวิมานฝัน
พูดถึงพรสวรรค์ ยังมีใครสู้เขาได้อีกหรือ
ชีวิตดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ขัดสนเงินทุนอีกต่อไป แม้ลู่เซิ่งจะต้องจ่ายค่าอาหารเดือนละสามหมื่นกว่าๆ เ เป็นอย่างน้อยก็ตาม
แต่แม้จะใช้จ่ายมาก รายรับกลับมีมากกว่า เขาเลยไม่ร้อนใจแล้ว
ต่อจากนั้น ลู่เซิ่งก็คิดจะเปลี่ยนที่อยู่ อย่างเช่น ซื้อบ้านของตัวเองใกล้ๆ แล้วเช่าลานสักแห่งสำหรับให้ศิษย์ฝ ฝึกฝน
เรื่องพวกนี้ล้วนต้องการเงิน แต่เขายังมีไม่พอ
…
แกร๊ก
ลู่เซิ่งเปิดประตูเตรียมจะเดินเข้าไป
ทันใดนั้นประตูห้องด้านข้างก็เปิดออก
หญิงสาวร่างสะโอดสะองอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง สวมชุดยาว หิ้วกระเป๋าถือใบเล็กสีขาว ผมยาวปลิวไสว เดินออกจากห้ องพร้อมกับกลิ่นหอม
หน้าของเธอจัดอยู่ในระดับกลางค่อนไปข้างบน แต่งหน้า ปากเป็นสีชมพูเชอร์รี่ นุ่มนวลฉ่ำวาว ขาไม่ใหญ่ไม่เล็ก เรี ยวยาวกลมกลึง
พอเห็นลู่เซิ่งออกจากห้อง เธอก็ชะงักเล็กน้อย
“พี่หวัง ช่วงนี้พี่ไม่ออกมาออกกำลังแล้วเหรอคะ ไม่ได้เห็นพี่ตั้งหลายวัน” เธอยิ้มพร้อมกล่าวอย่างคุ้นเคย
ลู่เซิ่งนึกทบทวนอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวคนนี้ชื่อเจินเหอ เป็นเพื่อนบ้านของเขา ต่างเป็นผู้เช่าของห้องเช่าแห่งนี้ เนื่องจากมักจะออกกำลังอยู่ ในสวนสาธารณะเล็กๆ ด้านล่างตึกด้วยกันเป็นประจำ จึงค่อยๆ กลายเป็นคนรู้จัก
แต่อยู่ในระดับทักทายเวลาเจอหน้ากันเท่านั้น
เธอเป็นคนที่วิ่งออกำลังตอนดึก ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านชั้นเดียวกัน บวกกับปกติหวังมู่ทำตัวเงียบๆ มองทุกคนด้ว วยสีหน้าเย็นชา
เจินเหอจึงไม่ได้ระแวงอะไรในตัวเขานัก
เป็นเพราะหวังมู่คนเดิมให้ความรู้สึกรักษาระยะห่างจากผู้คน
แม้แต่ตอนรู้จักกับเจินเหอ ก็เป็นเจินเหอที่เข้ามาผูกมิตรเองเพราะเจอเขามาวิ่งหลายครั้ง
แม้เจินเหออยากจะหาเพื่อนมาวิ่งด้วยกันตอนดึกๆ เพื่อความปลอดภัยเท่านั้นก็ตาม
“ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะครับ เลยไม่ได้ไปวิ่ง” ลู่เซิ่งนึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จึงพยักหน้าตอบ
หวังมู่สนใจในตัวเจินเหอเช่นกัน แต่เขาไม่แสดงออกให้เห็น และเป็นเพราะหน้าบาง ยิ่งสนใจเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นฝ่ ายออกห่างเท่านั้น
นิสัยที่กระอักกระอ่วนแบบนี้กลับทำให้เจินเหอรู้สึกว่าเขาไม่มีอันตราย