ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1003 สันติภาพ (1)
ลู่เซิ่งนอนอยู่บนเปลอย่างสงบ มีคนใช้เครื่องจักรกลหนักยกเขาไปไว้บนเตียงโลหะผสมที่สร้างขึ้นจากโลหะล้วนๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยล่ามด้วยโซ่โลหะหลายเส้นตั้งแต่หัวจรดเท้า
เหล่าสมาชิกที่อยู่ใกล้ๆ ระบายลมหายใจโล่งอก
“ไปเถอะ ครั้งนี้นายท่านคงยังไม่ฟื้น” สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว
“อืม ดัชนีพลังงานตกสู่ระดับปกติแล้ว น่าจะหมดปัญหาสักที” สมาชิกอีกคนถอนใจ
“ความเสียหายเป็นอย่างไร”
“มีดาวทรัพยากรสองดวงใช้การไม่ได้แล้ว…พื้นที่ดาวเคราะห์หนึ่งในสามส่วนถูกลูกหลงจนเสียหาย พลังของนายท่านน่ากลัวเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นอนธการมายาพิศวงมาก่อน แต่ไม่มีใครแปลกประหลาดเท่านายท่านสักคน…!?”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า…ข้านึกว่าข้าเห็นสัตว์โบราณหรือไม่ก็วิญญาณดาวเสียอีก”
“จริงสิ เมื่อครู่เจ้าใช้ยากล่อมประสาทตัวไหน พวกเราใช้ไปตั้งเยอะแต่ไม่มีประโยชน์เลย ทำไมพอเจ้าเข้าไปกลับได้ผลล่ะ”
“…ข้าใช้…ยากล่อมประสาทขนาดสิบสองเท่าที่ให้สัตว์โบราณ…”
“…”
“เช่นนั้นตอนนี้นายท่านไม่น่ามีปัญหาแล้วใช่ไหม”
“ไม่มีแล้ว พลังงานในร่างถูกใช้ไปหมดแล้ว ตอนนี้เขานอนหลับปุ๋ยเลยทีเดียว”
สมาชิกหลายคนคุยกันไปพลาง เสริมค่ายกลพลังจิตบางส่วนที่มีแต่จิตที่กระจ่างเท่านั้นถึงจะควบคุมได้ให้แก่ลู่เซิ่งไปพลาง
ขอแค่เขาฟื้นสติ ก็จะใช้พลังจิตควบคุมค่ายกลเพื่อปลดพันธนาการของตัวเองได้
วืด…
ประตูใหญ่ที่ทำจากโลหะผสมค่อยๆ จมลง ในห้องผู้ป่วยเงียบสงบเหมือนเดิม มีแต่แสงหายใจบนผนังเท่านั้นที่กะพริบและกระจายแสงสีแดงอ่อนออกมา
…
ลู่เซิ่งลอยอยู่กลางมิติที่มืดมิดอันไร้สิ้นสุดเงียบๆ
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนไร้น้ำหนัก ร่างกายลอยพลิ้ว หมอกสีขาวมากมายโอบล้อมมาจากความมืดรอบๆ แล้วคอยวนเวียนอยู่ข้างตัวเขา
‘เราอยู่ไหน ที่นี่คือที่ไหน’ เขาสำรวจรอบๆ หมายจะหาสิ่งอ้างอิงที่ตนใช้จะได้
เมื่ออยู่ที่นี่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังเคลื่อนไหวอยู่หรือไม่
“ที่นี่เป็นจิตใจส่วนลึกของเจ้า เป็นระดับชั้นต่ำสุดของวิญญาณของเจ้า ข้าเรียกมันว่าห้องหัวใจ” เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหน้าลู่เซิ่ง
“ห้องหัวใจหรือ อย่างนั้นเจ้าเล่าเป็นใคร” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองอีกฝ่าย
บุรุษร่างสูงใหญ่บึกบึนคนหนึ่งเดินมาจากทางต้นเสียงทีละก้าวๆ เหมือนกับย่ำอยู่บนพื้น
“ข้า เป็นส่วนหนึ่งของเจ้า” บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนจะใช่” ลู่เซิ่งสัมผัสบางอย่างได้แล้ว พยักหน้ากล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าโผล่มาทำไมตอนนี้”
“เจ้ากำลังเผชิญอันตราย” บุรุษว่าต่อ “พลังของเจ้ามีสิ่งเจือปนมากเกินไป…”
เขาเดินมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
“พลังหลากหลายชนิดปะปนกัน ต่อให้จะหลอมรวมกันได้ แค่ก็เป็นแค่การหลอมรวมกันชั่วคราวด้วยพลังภายนอกเท่านั้น มีภัยซ้อนเร้นมหาศาล”
“อย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว
“ข้าก็คือเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการปัญหาเอง สิ่งที่เจ้าต้องทำเพียงหนึ่งเดียวคือ มอบพลังแกนหลักของดวงจิตหลักให้แก่ข้า…”
“นี่ง่ายมาก” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ “แต่พลังแกนหลักของดวงจิตหลักถูกข้าซ่อนไว้ในตำแหน่งที่ลึกที่สุด เจ้าอยากได้ก็ไปเอาเองเถอะ”
“อยู่ไหน” บุรุษถาม
“นั่น” ลู่เซิ่งชี้สถานที่ที่อยู่ไกลออกไป ตรงนั้นมีหลุมที่เรืองแสงน้อยๆ โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“ข้าเข้าใจแล้ว” บุรุษพยักหน้าช้าๆ เขาสัมผัสพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนสายหนึ่งได้จากหลุมเรืองแสงนั้นแล้ว
“เจ้า…ช่วยข้าได้จริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งอดถามอีกรอบไม่ได้
บุรุษยิ้มพร้อมพยักหน้า
“เจ้าเชื่อตัวเองหรือไม่” เขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับลู่เซิ่งไม่มีผิด
“ก็ได้” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
บุรุษยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลอยตัวเหินบินตรงดิ่งไปยังหลุมที่เรืองแสงหลุมนั้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่งพลางก้มมองดูข้างใต้สองเท้าของตนเอง
ข้างใต้สองเท้าของเขาเชื่อมต่อกับนิ้วสีดำสนิทขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง
ข้างใต้นิ้วคือฝ่ามือ แขนท่อนปลาย ไหล่ และทรวงอก นั่นเป็นสัตว์ขนาดมโหฬารตัวหนึ่ง
มันขดตัวอยู่ในความมืดมิด ขณะตั้งนิ้วชี้ข้างขวาซึ่งเชื่อมกับร่างกายของลู่เซิ่งในตอนนี้ขึ้น
“เมื่อครู่ข้ากินอะไรไป” สัตว์ยักษ์ถาม
“ไม่รู้สิ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “มันบอกมันคือข้า ต้องการช่วยข้า ข้าเลยให้มันเข้าไป เป็นอย่างไร รสชาติพอไหวหรือไม่”
“เนื้อเปรี้ยวไปหน่อย แต่สารอาหารไม่เลว” สัตว์ยักษ์ตอบตามจริง
“แต่ถ้าเมื่อครู่มันไม่เชื่อ ไม่ยอมเข้าไปจะทำอย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“นี่ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” สัตว์ยักษ์กล่าวพลางส่ายหน้า “ถ้าพรางปากให้ดีขึ้นหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหา จะว่าไป พวกเราคุยกับตัวเองแบบนี้มีความหมายหรือ”
“แน่นอน” ลู่เซิ่งก็ระอาใจเช่นกัน “ว่าไม่มีความหมาย”
สัตว์ยักษ์ชักนิ้วกลับ ร่างบนนิ้วชี้ค่อยๆ หลอมละลายหายไป กลับกลายเป็นปลายนิ้วน่ากลัวที่เหมือนหนามแหลมอีกครั้ง
มันขดตัวในความมืด สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็ถอนใจยาว ตกสู่ความเงียบงันอันยาวนาน
…
พรวด!
ห่างจากสถานีอวกาศของสมาคมวิจัยสิบกว่าปีแสง
เต่ายักษ์พันขาซีตีกระอักเลือดออกมา ร่างมหึมาส่ายโคลงเคลงและหดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
‘เกิดอะไรขึ้นกัน จิตเทวะของข้าเพิ่งเข้าไปก็หายไปทันที หลุมนั่น…หรือจะมีความลับพิเศษอะไร’ จิตวิญญาณของเขาเกิดความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกฉีกทึ้ง ก่อนจะใคร่ครวญอย่างตั้งใจ
ในฐานะสัตว์ยักษ์จักรวาลที่เชี่ยวชาญการควบคุมจิตวิญญาณ และเป็นหนึ่งในพวกกลายพันธุ์ในบรรดาสัตว์โบราณ ซีตีมีความสามารถด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ วิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าตัวตนในระดับเดียวกันตั้งแต่เกิด
ครั้งนี้ลงมือจัดการอนธการที่เพิ่งระเบิดพลังจนหมดแล้วตกสู่ช่วงเหนื่อยล้า แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้ขึ้น นี่ทำให้เขาสับสนอยู่บ้าง
‘แต่ พลังของเจ้านั่นช่างเปี่ยมล้นจริงๆ…ระดับนั้น เป็นแค่อนธการจริงๆ หรือ’ ก่อนหน้านี้ซีตีเห็นลู่เซิ่งคลั่งและกวาดยิงแสงสีดำไปทั่ว ในตอนที่เตรียมจะเข้าใกล้สมาคมวิจัยเข้าพอดี
ตอนนั้นเขาเกือบถูกแสงสีดำยิงใส่ ดีที่หลบทัน
แสงสีดำนั่นมีพลังกัดกร่อนและหลอมละลายที่อยู่เหนือจินตนาการ ในนั้นเหมือนจะบรรจุพลังแห่งการวิวัฒนาการย้อนกลับเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่แข็งปานใด ต่างก็จะย้อนกลับไปยังสภาพที่อ่อนแอที่สุดของตัวเอง จากนั้นก็ถูกกำจัดอย่างไม่อาจควบคุมภายใต้พลังแห่งการวิวัฒนาการย้อนกลับ
ก่อนหน้านี้เขาถูกยิงแค่ถากๆ แต่ต้องผลาญพลังดาวเกือบเท่าหนึ่ง ถึงค่อยหักล้างแสงสีดำเล็กๆ นั้นได้
นี่ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวต่อลู่เซิ่งนั่น จึงหลบออกมาอยู่ห่างๆ เล็กน้อย แล้วใช้ความสามารถทางจิตวิญญาณที่ตัวเองถนัดกำจัดอีกฝ่าย
ความสามารถทางจิตวิญญาณดำเนินไปอย่างราบรื่นอย่างยิ่ง เพียงแต่ระหว่างทางเกิดปัญหาเล็กน้อย
ซีตีไม่เข้าใจอยู่บ้าง
แม้เขาจะไม่ได้ใช้สมองมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าความคิดของตัวเองแข็งทื่อ
‘อาจลองดูอีกรอบหนึ่งได้’ เขาคิดแบบนี้พร้อมแบ่งจิตวิญญาณกลุ่มเล็กๆ ออกมารวมกันเป็นร่างแปลง แล้วบินไปยังทางลู่เซิ่ง
…
“เจ้าช่วยข้าได้จริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งมองบุรุษตรงหน้าอย่างสงสัย
“แน่นอน ก็ข้าคือเจ้านี่ เมื่อครู่เพียงแค่เกิดปัญหาเล็กๆ เท่านั้น ครั้งนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน” บุรุษเอ่ยอย่างมั่นใจ
“บางทีเจ้าอาจพูดถูก” ลู่เซิ่งมองหลุมเรืองแสงที่อยู่ห่างออกไปอย่างมั่นใจ “แสงในถ้ำเมื่อครู่เหมือนจะ…ไม่ได้สว่างเท่าตอนนี้”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ…!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“อย่างนั้น ข้าจะเข้าไปอีกครั้ง” บุรุษผุดสีหน้าเคร่งขรึมแล้วบินไปยังหลุมอีกครั้ง
ขณะมองบุรุษพุ่งเข้าหลุมอย่างอดรนทนไม่ไหว ลู่เซิ่งก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง
ตอนนี้เขาเข้าสู่ช่วงหยุดชะงักแล้ว เพราะถึงขีดจำกัดหรือคอขวด ถึงได้น่าเบื่อมาก เขายังตื่นไม่ได้ เลยเลียนแบบช่องโหว่บนริมธารมารดา พรางปากของตัวเองเป็นหลุมและทำให้มันสว่างเรืองๆ ในมิติจิตของตัวเอง
เดิมทีเพียงแค่เล่นสนุก นึกไม่ถึงว่าจะดึงดูดสิ่งที่กินได้มาบางส่วนจริงๆ
นอกจากบุรุษสองคนที่เข้ามาเมื่อก่อนหน้าแล้ว ที่เหลือยังมีสิ่งที่เหมือนกับแมลงบางส่วน รสชาติล้วนไม่เลว
มีแมลงตัวเล็กสีดำรสชาติคล้ายทุเรียนชนิดหนึ่งที่พอกินแล้วให้ความรู้สึกคึกคักดี พวกมันมากันเป็นฝูง ก่อนจะพุ่งเข้าถ้ำอย่างอดรนทนไม่ไหว ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนี้
หลังกินของว่างไปบางส่วน ลู่เซิ่งก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่สังเกตเห็นเลยว่า มีสิ่งมีชีวิตมากมายขนาดนี้ซ่อนตัวอยู่ในมิติจิตวิญญาณอันมืดมิด
ครั้งนี้พอเขาเลียนแบบถ้ำเรืองแสงนั่น ถึงกับดึงดูดมาได้มากมายปานนี้
นี่กลับเป็นเรื่องยินดีเหนือความคาดหมาย
‘มิน่าถึงมีการสร้างประภาคารมากมายขึ้นริมธารมารดา ที่แท้ก็ใช้แบบนี้นี่เอง…’ ลู่เซิ่งคิดว่าวันหน้าตัวเองต้องเตรียมถ้ำประภาคารไว้
ของที่กินไปเมื่อครู่มีไม่น้อยที่เพิ่มพื้นผิวพลังจิตของเขาขึ้นบางส่วน
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิแล้วใคร่ครวญต่อว่าตนควรจะทะลวงขีดจำกัดอย่างไร
คอขวดหรือสิ่งกีดขวางชั้นนั้นคงอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังชัดเจนและกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับจับต้องได้
และด้วยเหตุนี้ พลังและจิตวิญญาณของเขาจึงติดอยู่ตรงตำแหน่งหนึ่ง ไม่อาจไปต่อได้
แม้แต่พลังอาวรณ์ก็ไม่มีประโยชน์
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่เพราะใช้พลังอาวรณ์ไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะมีพลังอาวรณ์ไม่พอ
สำหรับดีปบลู ไม่มีปัญหาที่มันแก้ไม่ได้ ถ้ามี อย่างนั้นก็แค่ใช้ซ้ำก็พอ
ลู่เซิ่งคิดแบบนี้มาโดยตลอด
ดังนั้นเขาจึงรู้ว่า ตนควรจะไปหาแหล่งที่มาของพลังอาวรณ์แห่งใหม่ได้แล้ว
จักรวาลระดับพลังงานต่ำทั่วไปไม่อาจมอบพลังอาวรณ์ให้เขามากกว่านี้อย่างสบายๆ ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องหาจักรวาลระดับพลังงานสุดยอดที่มีระดับพลังงานสูงกว่าเดิมหรือสูงขึ้นไปอีกขั้นให้เจอ
เขาในตอนนี้เข้าใจขึ้นมารำไรแล้วว่า แม้โลกมารสวรรค์จะจัดเป็นจักรวาลระดับพลังงานสูง แต่ยังมีจักรวาลระดับพลังงานที่สูงกว่าดำรงอยู่อีก
เหมือนกับที่ยุคมืดของโลกใบเดิมเคยเข้าใจผิดว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล สิ่งมีชีวิตในแต่ละจักรวาลต่างก็คิดว่าโลกที่ตัวเองอยู่มีความพิเศษ
ต่อให้ไม่มี พวกเขาก็จะตามหาความพิเศษนี้จากแต่ละสถานที่ไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นตัวประกอบ
โลกมารสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
ลู่เซิ่งคิดแบบนี้
ทันใดนั้นความมืดรอบๆ ตัวเขาก็สั่นไหวน้อยๆ เหมือนกับมิติทั้งมิติเริ่มแปรปรวน
“นายท่าน นายท่าน! ตื่นสิ! ตื่นสิเจ้าคะ!” เสียงสตรีที่แฝงความกังวลดังขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะจำสตรีที่อยู่ตรงหน้าได้ทันที
“ทัวหลันหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเองเจ้าค่ะนายท่าน” ทัวหลันปาเฮ่อโล่งอก วางผ้าขนหนูร้อนกลับไปในอ่างแล้วยกอ่างไปวางไว้ด้านข้าง
……………………………………….