ยอดวิถีแห่งปีศาจ - ตอนที่ 61 หมู่บ้านตระกูลซ่ง (5)
“แปลกมาก หมู่บ้านนี้ไม่เห็นคนเข้าออก กลางวันก็ไม่มีคนปัดกวาด เดิมทีนึกว่าไม่มีคนอยู่…” ต้วนเหมิ่งอันรำพึงเบาๆ
“ระวังไว้หน่อยก็ดี พวกเรามาสืบคดี คนหายสาบสูญก่อนหน้า คืนนี้ดูว่าเกิดเรื่องใดหรือไม่ ก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นส่วนใหญ่หายไปตอนกลางคืน ข้ากลับอยากเห็นว่า สิ่งใดทำให้ยอดฝีมืออย่างอู๋ซานหายตัวไปอย่างน่าประหลาด” ลู่เซิ่งกำด้ามดาบ นั่งหลับตานิ่งๆ
อีกสองคนเห็นลูกพี่เป็นเช่นนี้ เดิมทีใจเต้นระทึก ตอนนี้สงบลงไม่น้อย
“มีคุณชายอยู่ ต้องไม่มีปัญหาแน่” ต้วนเหมิ่งอันปลอบตัวเอง ขณะเดียวกันก็พูดให้นิ่งซานได้ยิน
นิ่งซานกระวนกระวาย แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ใจเย็นลงเล็กน้อย
ลู่เซิ่งนั่งลงบนเตียง ปรับลมหายใจหลับตาทำสมาธิเหมือนอยู่บ้าน สีหน้าราบเรียบ แต่ว่าประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมตลอดเวลาเพื่อป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมาย
ต้วนเหมิ่งอันเปลือกนอกพักผ่อน แต่ความจริงระวังตัว นิ่งซานก็เลียนแบบคนทั้งสองหาเก้าอี้นั่งลง ทั้งสามคนไม่ได้แยกห้อง แต่ว่าอยู่ในห้องเดียวกันเพื่อสะดวกแก่การดูแลกัน
สักพักหนึ่ง ด้านนอกพลันมีเสียงเอะอะเล็กน้อยดังมา
คล้ายกับมีคนเข้ามาไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นเสียงผู้หญิง
“น้องสาว ผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้าเล่า เหตุใดไม่เห็นพวกเขาออกมา” สตรีนางหนึ่งกล่าวเสียงใส
“พี่ชายข้ากำลังกลั่นโอสถ ไม่มีเวลาออกมา พวกท่านต้องเบาเสียงหน่อย อย่าได้เอาตะเกียงออกมา ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ข้าจะโกรธ เขาโกรธแล้วน่ากลัวยิ่ง” ซ่งอวิ๋นจวนกำชับเสียงเบา
“ไม่ต้องห่วง พวกเราเพียงค้างคืนเดียว เส้นทางภูเขาถูกโคลนถล่มปิดทาง พวกเราไม่มีวิธีอื่นจึงมาขออาศัย พรุ่งนี้เช้าก็ไปแล้ว” สตรีอีกคนกล่าวเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณพวกท่านที่เข้าใจ” ซ่งอวิ๋นจวนอือออคำหนึ่ง คล้ายกับกำลังพาผู้มาใหม่ไปยังห้องของตัวเอง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นเปิดประตูมองดูด้านนอก เห็นบุรุษสตรีกลุ่มหนึ่งถือคบเพลิงเดินไปยังห้องอีกฝั่งภายใต้การนำทางของซ่งอวิ๋นจวน
กลุ่มนี้มีสตรีสี่คน ล้วนเป็นคุณหนูอายุน้อย มองเครื่องแต่งกายก็รู้ว่าไม่ใช่ครอบครัวท้องถิ่น ระดับเครื่องแต่งกายบนตัวกลับใกล้เคียงกับสตรีกลุ่มที่ลู่เซิ่งเคยอยู่ด้วยเป็นประจำ อาจเป็นบุตรีคหบดีเมืองเล็กจากบ้านนอก
สตรีทั้งสี่คนยังนำคนคุ้มกันสี่คนมาด้วย ทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์พกดาบ แต่มองการก้าวเท้า ลู่เซิ่งก็ทราบว่าเป็นแค่บุรุษหยาบกระด้างที่มีดีแค่แรงสี่คน อาจเคยเรียนวิชาดาบพื้นฐานเล็กน้อย แต่มีขีดความสามารถจำกัด
จุดที่ลู่เซิ่งเพ่งสายตาอยู่นาน ก็คือเด็กสาวที่งดงามน่ารัก ใบหน้าเพริศแพร้วคนหนึ่ง
บุคลิกของเด็กสาวทำให้คนชื่นชมยิ่ง เหมือนกระต่ายขาวที่เป็นมิตรไร้อันตราย น่าเอ็นดู ทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงเฉี่ยวเอ๋อร์ที่บ้านขึ้นชั่วขณะ
พวกเขาทั้งสามคนเห็นอีกฝ่าย ขบวนคนอีกฝั่งก็เห็นพวกเขาเช่นกัน
พอเห็นรูปร่างกับบุคลิกของพวกลู่เซิ่ง คนคุ้มกันทั้งสี่คนนั้นก็แสดงความกริ่งเกรง คนหนึ่งในนั้นพูดเสียงเบากับคุณหนูของตัวเองสองสามคำ คุณหนูทั้งสี่คนนั้นมองมาทางด้านลู่เซิ่ง สีหน้ากลับพิกลอยู่บ้าง
ไม่ใช่กังวล หากเป็นเด็กสาวที่บุคลิกอ่อนโยนคนหนึ่งถึงกับแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือ
“คุณชาย ในแขนเสื้อสตรีนางนั้นซ่อนมีดไว้” นิ่งซานกล่าวเสียงเบา ชี้ไปที่เด็กสาวที่มีสีหน้าอ่อนโยนนางนั้น
“อ้อ เจ้ามองออกหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“มองออก เมื่อก่อนข้าน้อยเคยเสียเปรียบ ภายหลังตั้งใจสังเกตอยู่นาน สรุปเป็นกฎส่วนหนึ่ง” นิ่งซานผู้นี้รู้จักสรุปกฎ ในสังคมที่ความรู้บนหนังสือหนังหามีแต่ตระกูลร่ำรวยมีอำนาจครอบครอง เขามีความฉลาดเช่นนี้ ถึงได้เป็นระดับรองหัวหน้าในพรรควาฬแดง
“สมควรฝึกมาหลายท่า ไม่งั้นเด็กสาวสองสามคนคงไม่กล้าออกมานอกป่า หากเจออันตรายจริงๆ ต่อให้พกคนคุ้มกันมาก็เปล่าประโยชน์ ไม่แน่ว่าคนคุ้มกันบางคนยังมีเจตนาร้าย” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ เขาไม่สัมผัสถึงประกายในดวงตาของเด็กสาวอ่อนโยน พลัง ปราณ และจิตของอีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ฝึกกำลังภายใน พิจารณารูปร่างย่างก้าวอีกที ยอดฝีมือกำลังภายนอกก็ไม่น่าจะมีร่างกายบอบบางเช่นนี้
“คนพวกนี้ไม่ต้องสนใจ กลับเป็นอีกคนหนึ่ง” ลู่เซิ่งมองคนผู้หนึ่งที่อยู่ท้ายกลุ่ม
คนผู้นี้เป็นคุณชายอายุน้อย ใบหน้าดุจกวนหยก ท่าทีเชื่อมั่น ถือร่มกระดาษน้ำมันสีขาว เสื้อคลุมขาวราวหิมะ ผมดำขับเน้นความผ่าเผย บุคลิกดุจมังกร
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งสนใจอยู่บ้างก็คือ คุณชายผู้นี้แสดงท่าทีว่าไม่ได้ร่วมทางมากับเหล่าสตรีด้านหน้า หนำซ้ำสองตาเขายังเป็นประกาย เห็นได้ว่าฝึกฝนความสามารถกำลังภายใน
“คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกกำลังภายใน ให้ความสนใจไว้” ลู่เซิ่งเตือนแล้วหมุนตัวไปพักผ่อนบนเตียง
ต้วนเหมิ่งอันกับนิ่งซานพิจารณาคุณชายผู้นี้ ตั้งใจจำอีกฝ่ายไว้ ก่อนปิดประตูแยกกันหาตำแหน่งพักผ่อน
วิ้ว…
ลมเย็นพัด ประตูไม้ถูกผลักเปิดเบาๆ
ซ่งอวิ๋นจวนไอสองสามครั้ง หันไปพูดกับคุณชายหน้าตาหล่อเหลา
“พี่ใหญ่หลี่ ห้องนี้ให้ท่าน ด้านในมีของครบ แต่เก่าไปบ้าง ขอท่านอย่าได้ถือสา”
คุณชายหลี่ยิ้ม กล่าวอย่างเป็นมิตร “ไม่เป็นไร มีที่พักก็ดีกว่าที่คาดแล้ว คืนนี้ฝนอาจตก น้องสาวรับข้าน้อยไว้ รู้สึกซาบซึ้งเหลือแสน”
เสียงพูดเขาอ่อนโยนน่าฟัง มีความทุ้มต่ำน่าดึงดูด ทำให้ซ่งอวิ๋นจวนหน้าแดงเล็กน้อย รู้สึกเขินอยู่บ้าง
“เช่นนั้น… เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ”
คุณชายหลี่ยิ้ม ขานรับ
“จริงด้วย ถามได้หรือไม่ บุรุษสามคนที่พักห้องฝั่งตรงข้ามก็มาค้างในคืนนี้เช่นกันหรือ”
ซ่งอวิ๋นจวนพยักหน้า “ใช่แล้ว มาถึงหมู่บ้านก่อนหน้า แปลกนัก วันนี้เหตุใดอยู่ๆ มีคนจำนวนมากมา”
คุณชายหลี่ตาเป็นประกาย ยิ้มพลางพยักหน้า ยังคงมีท่าทีอบอุ่น
“สามคนนั้นดูไม่น่ายุ่งด้วย เหมือนไม่ใช่คนดีเท่าไร”
“คุณชายหลี่ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือ ก่อนหน้าข้ากลัวอยู่บ้าง แต่มีคนมากขนาดนี้กลับไม่ค่อยกลัวแล้ว” ซ่งอวิ๋นจวนยิ้ม “เช่นนั้นท่านพักผ่อนเถอะ ข้าไปนอนแล้ว”
“อืม ไปเถอะ เจ้าอายุน้อยอยู่ ต้องดูแลร่างกาย” คุณชายหลี่มองซ่งอวิ๋นจวน สายตาปรากฏความเมตตา
“อืม” ซ่งอวิ๋นจวนหมุนตัวจากไปอย่างเบิกบาน
คุณชายหลี่มองตามอีกฝ่ายเข้าห้องใหญ่ตรงกลางแล้วปิดประตู จึงค่อยหันมาเข้าห้อง แล้วปิดห้องไว้
“มีความหมาย”
ในความมืด เขาค่อยๆ ล้วงหินเหล็กไฟขึ้นมาจุดเทียนกลางห้อง
เทียนสีเหลืองเท่าปลายแขนส่องแสงสีเหลืองจางๆ จากนั้นถูกโคมไฟเล็กๆ ใบหนึ่งปิดไว้ เส้นแสงพลันอ่อนลงมาก
คุณชายหลี่ได้ยินกลุ่มสตรีที่อยู่ข้างเคียงกำลังสนทนากันเจี๊ยวจ๊าว อดส่ายหน้าไม่ได้
‘หมู่บ้านนี้คล้ายผิดปกติอยู่บ้าง ไม่ให้จุดตะเกียงออกไป มีพี่ใหญ่คนเดียวกลับให้น้องสาวที่เป็นเด็กออกมาต้อนรับแขก’
หลี่ซุ่นซีสนใจอยู่บ้าง เขาก็แค่ออกมาคลายเครียด เส้นทางใกล้ๆ ถูกปิดอย่างเหนือความคาดหมาย ได้แต่มาขอค้างคืน คิดไม่ถึงจะเจอเรื่องน่าสนใจแบบนี้
‘ทั้งสามคนที่อยู่ตรงข้ามร่างกายกำยำแข็งแรง มองดูก็รู้ว่าเป็นสมาชิกค่ายพรรค แขนเสื้อยังมีสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แสงมืดไปหน่อย กลับเห็นไม่ชัดว่าเป็นค่ายพรรคใด ดูสีหน้าพวกเขา คล้ายหมู่บ้านนี้มีปัญหาเล็กน้อย สมควรตั้งใจมา’
หลี่ซุ่นซีพลันสนใจมากกว่าเดิม
เขาเดิมที่เป็นคุณชายคนเล็กในตระกูลขุนนาง เปลือกนอกแม้เป็นนายน้อยตระกูลขุนนาง แต่กลับเรียนรู้ความสามารถไล่ผีจับปีศาจมาไม่น้อย บวกกับมีพรสวรรค์ ความฉลาด และคุณสมบัติไม่ธรรมดา เรียนวรยุทธ์พิเศษแต่เด็ก ระดับพลังฝึกปรือไม่สามัญ แอบออกมาด้านนอกแก้ไขเรื่องราวผีอาละวาดหลายครั้ง สั่งสมประสบการณ์ไม่น้อย
ขนาดบิดาที่เป็นขุนนางชั้นสูงยังไม่รู้ว่าบุตรคนเล็กของตัวเองเรียนความสามารถไม่ธรรมดา
หลี่ซุ่นซีปกติเก็บงำไว้ดียิ่ง ไม่เผยความสามารถแม้แต่น้อย มีแต่บางครั้งแอบออกจากบ้าน หลังปลอมตัวจึงกล้าเปิดเผยตัวเต็มที่
‘ดูเหมือนมาทางนี้ไม่เสียเที่ยว’ หลี่ซุ่นซีกระตือรือร้น นั่งข้างโต๊ะเริ่มหยิบอุปกรณ์อาคมของตัวเองออกมาเช็ดถูตรวจสอบ
…
กลางดึก
ลู่เซิ่งที่นั่งบนเตียงลืมตาขึ้นมองนิ่งซานที่เดินไปถึงประตู
“เจ้าจะทำอะไร”
“คุณชายข้าจะไปห้องน้ำ…” นิ่งซานหน้านิ่ว เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวเล็กน้อย
“เรียกต้วนเหมิ่งอันไปกับเจ้าด้วย” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “อย่าอยู่ลำพัง”
ต้วนเหมิ่งอันพิงเก้าอี้หลับน้ำลายไหลย้อยอยู่
นิ่งซานจนใจ ได้แต่ไปสะกิดเขา
“ทำอะไร!? หาที่ตายหรือ!?” ต้วนเหมิ่งอันเดือดดาล ความรู้สึกถูกปลุกยากทนทาน เขาลืมตาที่หรี่ปรือ กำลังจะอาละวาด พลันเห็นดวงตาที่ลู่เซิ่งมองตนเปี่ยมประกาย เหมือนถูกเข็มทิ่ม พลันปลุกเขาสะดุ้งตื่นโดยสมบูรณ์
“เจ้าไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเขา อย่าได้อยู่ลำพัง” ลู่เซิ่งสั่ง
“อ้อ…” ตวนเมิ่งอันเช็ดน้ำลาย ลุกขึ้นอย่างฝืนใจอยู่บ้าง
“ขออภัยด้วยพี่ต้วน” นิ่งซานจนปัญญา ถูกต้วนเหมิ่งอันถลึงมอง สองคนเปิดประตูออกไปด้วยกัน
เสียงดังแกร่กเมื่อประตูปิดลง
ลู่เซิ่งหลับตาลงอีกครั้ง
ผ่านไปชั่วเวลาน้ำชาถ้วยหนึ่ง ประตูค่อยๆ ถูกผลักเปิดอีกครั้ง
แอ๊ด…
“กลับมาแล้วหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “รีบพักผ่อน ข้าจะเฝ้าดูก่อน”
ไม่มีคนตอบ
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นเห็นประตูเปิด ลมเย็นพัดเข้ามา กลับไม่มีคนอยู่ เหมือนกับประตูถูกลมพัดเปิด
เขาลุกขึ้นเดินไปปิดประตูเบาๆ
‘สองคนนั้นเหตุใดยังไม่กลับมา’
เพิ่งปิดประตู ทันใดนั้นประตูคล้ายถูกสิ่งใดบังไว้ โดนคนผลักจากด้านนอก ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนมีคนบังประตูไม่ให้เขาเปิดออก
เขาสีหน้าเคร่งขรึม ออกแรงผลักประตูกระโจนออกไป
เช้ง!
ดาบที่เอวถูกชักออกจากฝักมาครึ่งหนึ่ง จึงเห็นว่าด้านนอกประตูไร้ผู้คน
‘แสร้งเป็นผีปลอมเป็นเทพ!’ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ กลับว่างเปล่าไม่พบอะไรเลย จึงค่อยกลับเข้าห้อง
ขณะกำลังจะนั่งลง ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสองคนนั้นไปนานอยู่บ้าง เจอเหตุการณ์เมื่อครู่จึงกังวลเล็กน้อย
‘ออกไปดูดีกว่า’
เขายกเชิงเทียนอันขึ้นหนึ่ง เทียนที่โคมบังไว้อย่างไรก็กันลมได้ เปิดประตูอีกครั้ง
ฟิ้ว
ลมด้านนอกพัดแรงอย่างเหนือความคาดหมาย ไม่ทันไรก็พัดเทียนในมือลู่เซิ่งดับไป
ห้องพลันมืดครึ้มดำสนิท มีแค่แสงจันทร์จางๆ ด้านนอกสาดมา
ลู่เซิ่งหยิบหินเหล็กไฟออกมาทดลองอยู่หลายครั้ง เพิ่งจุดได้ก็ถูกลมพัดดับทุกครั้ง เขาได้แต่วางเชิงเทียนลงอย่างจนปัญญา เดินออกจากห้องไปยังห้องน้ำ
ในลานมืดสนิท ไม่เห็นแสงตะเกียง และไม่ทราบว่าคนอื่นๆ หลับแล้วหรือทำอะไรอยู่ ไม่มีเสียงใครเลย
ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินไปด้านนอกตามทางระเบียง ห้องน้ำปกติจะอยู่ลานหลังบ้าน
เขาเดินออกจากระเบียงเข้าไปในลาน อ้อมถึงด้านข้างบ้าน เดินไปยังลานด้านหลัง
………………………………………….