ยอดวิถีแห่งปีศาจ - ตอนที่ 448 สี่ตระกูลคุ้มครอง (2)
บทที่ 448 สี่ตระกูลคุ้มครอง (2)
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้กวาดตามองเพื่อพิจารณาคนของตระกูลเฉินทั้งหมดที่อยู่รอบๆ อยู่ๆ สายตาของเขาก็หยุดบนร่างลู่เซิ่ง สายตาฉายแววประหลาดใจ
“ลู่…จ้งหรือ” เขาเรียกชื่อของลู่เซิ่งอย่างคาดไม่ถึง
ดวงตาลู่เซิ่งฉายแววแปลกใจเช่นกัน
“ท่านรู้จักข้าหรือ” เดิมทีเขายืนทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ตรงมุมหนึ่ง แต่ตอนนี้พอถูกจางหงเรียก สายตาทุกคนพลันเลื่อนมายังสถานที่เล็กๆ แห่งนี้
คนที่รู้เรื่องอย่างพวกประมุขตระกูลเฉินเกิดความยินดี ถ้าหากว่ารู้จักกัน บางทีลู่เซิ่งอาจออกหน้าเพื่อขอให้ปล่อยตระกูลเฉินไปได้ พวกเขาเหลือความคาดหวังอันน้อยนิดไว้ในใจ
“ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลคุ้มครอง เจ้าเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดที่มีไม่มากของตระกูลลู่ ไม่เพียงแค่ข้ารู้จักเจ้าเท่านั้น น้องชายเจ้าลู่เฉวียน น้องสาวเจ้าลู่เจินหลิง ข้ารู้จักทุกคน” จางหงกล่าวอย่างราบเรียบ “เป็นไร เจ้าอยู่นี่ ข้าทำความเข้าใจได้หรือไม่ว่าตระกูลลู่ของพวกเจ้าคิดสอดมือมาในเรื่องนี้แล้ว”
จางหงรู้สึกอึดอัด สี่ตระกูลคุ้มครองสืบทอดกันมาพันปี ล้วนเป็นตระกูลเก่าแก่ ทุกๆ ตระกูลเฝ้าควบคุมประเพณีโบราณที่พิสดารกับพลังงานลึกลับเอาไว้
เขานึกไม่ถึงเหมือนกันว่า จะมาเจอสายตรงของตระกูลลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลคุ้มครองเข้าในการออกมาทำภารกิจเก็บสายเลือดในครั้งนี้
แม้ตระกูลลู่จะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องพลังยุทธ์ แต่ว่าความสามารถที่เชี่ยวชาญในการทำสัญญากับวิญญาณคุ้มครองก็ทำให้คนกริ่งเกรงถึงขีดสุดเช่นกัน พึงทราบว่าวิญญาณคุ้มครองไม่ใช่แค่เอาไว้ใช้ควบคุมให้รับมือกับวิญญาณร้ายเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ไม่นานในตระกูลมีคำเล่าลือบอกว่า ตระกูลลู่มีคนออกเดินทาง นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอที่นี่
“ที่แท้ก็เป็นตระกูลจางตระกูลนั้น…” ตอนนี้ลู่เซิ่งเจอความทรงจำตอนเป็นเด็กจากในความทรงจำของลู่จ้งแล้ว ตระกูลจาง ตระกูลหลิง ตระกูลชิว บวกกับตระกูลลู่ของเขาถูกเรียกว่าสี่ตระกูลคุ้มครอง ตอนลู่จ้งยังเด็กเคยไปเป็นแขกที่ตระกูลเหล่านี้ เพียงแต่ไม่ทราบว่าสี่ตระกูลคุ้มครองคืออะไรเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเขาซึ่งมาตามหาเสากาลเวลาในดินแดนลับถึงกับเจอตระกูลจางเข้า
ตามความทรงจำของลู่จ้ง สี่ตระกูลคุ้มครองไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เป็นน้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลอง ถือเป็นความสัมพันธ์แบบคู่แข่งในระดับเดียวกัน
ดูจากตอนนี้ เกรงว่าอีกสามตระกูลที่เหลือจะมีความพิเศษลี้ลับเป็นของตัวเอง
“ลู่จ้ง เจ้าควรจะเข้าใจว่าเรื่องของสายเลือดมีความสำคัญต่อตระกูลจางของพวกเราขนาดไหน ดังนั้นต่อให้เป็นเจ้า…” จางหงกล่าวเสียงขรึม
ลู่เซิ่งกลับไม่ได้รู้สึกสนใจ หลังจากเขารู้ว่าสามตระกูลที่ลู่จ้งเคยไปเยี่ยมเยือนตอนเด็กๆ ล้วนมีความลับ ก็พลันหาทิศทางใหม่ทันที
“ตระกูลลู่ของข้าไม่สนใจเรื่องไร้สาระของพวกเจ้าหรอก ข้าเพียงคิดถามคำถามหนึ่ง พวกเจ้ารู้ไหมว่าใกล้ๆ นี้มีสถานที่ลึกลับอยู่ตรงไหน” เขาถามประเด็นสำคัญของตัวเอง
เพิ่งจะเอ่ยถาม ลู่เซิ่งก็เห็นคนสามคนที่อยู่ตรงหน้าสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีสถานที่ลึกลับ!?” จางหงพลันผุดสีหน้าระมัดระวัง พร้อมกับหยิบตะขอโค้งโลหะสีดำชิ้นหนึ่งออกมา
“อะไรกัน รู้จริงๆ หรือนี่” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย ทราบว่าเจอหนทางแล้ว ความจริงสถานที่ลึกลับเป็นคำพูดที่จวี้เยี่ยนบอกกับเขา ตอนแรกเขาเพียงนึกว่าเป็นสถานที่ที่ซ่อนเร้น แต่ดูจากตอนนี้เขาเหมือนจะคิดง่ายไป ขณะเห็นปฏิกิริยาของคนสามคนจากตระกูลจาง เกรงว่าจะไม่ใช่ที่ธรรมดาๆ แน่
“ลู่จ้ง เจ้าสมควรทราบว่าการลอบศึกษาความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของหนึ่งในสี่ตระกูลคุ้มครองเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด!” จางหงกล่าวเสียงเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าควรจะยุติความคิดนี้ ไม่อย่างนั้น…อย่าโทษที่ตระกูลจางของข้าไม่ให้เจ้าออกจากนครเขตแห่งนี้! ถึงเวลาต่อให้บิดาเจ้ามาถึงก็ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้!”
ลู่เซิ่งพลันงุนงง
“ความลับยิ่งใหญ่ที่สุด” เขาแน่ใจกว่าเดิมว่าสถานที่ลึกลับที่จวี้เยี่ยนอยากจะให้เขาตามหามีโอกาสเป็นสถานที่สำคัญของตระกูลจาง
“พวกเจ้ารู้ตำแหน่งหรือไม่” เขาถามตรงๆ
“ข้าบอกแล้วว่าให้ยุติความคิดนี้ซะ ลู่จ้ง เจ้าจะบีบบังคับให้ตระกูลจางของพวกเราเปิดศึกกับเขาควันม่วงของพวกเจ้าหรือ” จางหงเอ่ยเสียงเฉียบขาด
“เปิดศึกหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะเหอะๆ
“ถ้าบอกว่าข้าจะต้องไปให้ได้เล่า” เขายกมือขวาขึ้นพร้อมกับพลิกหลังมือออกด้านนอก พลังวิญญาณไร้รูปร่างหลายสายกระจายออกมาช้าๆ แล้วลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากฝ่ามือของเขาเหมือนกับหมอกควัน
คนอื่นๆ มองไม่เห็นพลังวิญญาณ แต่พวกจางหงกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นของพลังวิญญาณ
“เช่นนั้นก็อย่าโทษข้า…” จางหงผุดสีหน้าดุดัน กำลังจะยกมือขึ้น
ชั่วพริบตานั้น คลื่นพลังวิญญาณที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่จนน่าเหลือเชื่อกระจายออกจากบนร่างลู่จ้งที่อยู่อีกฝั่งเหมือนกับเปลวเพลิง
ตูม!
พายุไร้รูปร่างพัดออกไปรอบๆ โดยมีลู่เซิ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
จางหงก้าวถอยหลังอย่างมิอาจควบคุม ถูกแรงกดดันวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวกดดันจนหัวใจเกือบจะหยุดเต้น แม้พวกเขาจะทำสัญญากับวิญญาณคุ้มครองไม่ได้ แต่ว่าความจริงปราณร้อยวิญญาณที่ฝึกฝนเป็นปราณวิญญาณกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง จึงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งจนแทบจะรับมือไม่ได้
“นี่…นี่คือ?!” ทั้งสามลืมตาโต ดวงตาแทบจะถลนออกมา รู้สึกว่าด้านหน้าร่างกายเหมือนมีแรงกดดันอันแข็งแกร่งกำลังบีบอัดปราณร้อยวิญญาณในร่างกายของพวกเขาอยู่
“พลังวิญญาณแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียว…เจ้า…ทำสัญญากับวิญญาณคุ้มครองตนไหนกันแน่! ถึงกับ…” หนึ่งในคนทั้งสามถึงขั้นพูดจาไม่เป็นศัพท์
พรวด!
ในที่สุดคนอีกคนที่อยู่ด้านหลังจางหงก็ทนแรงกดดันไม่ไหว กระอักเลือดออกมา ปราณร้อยวิญญาณในร่างของเขาถูกแรงกดดันวิญญาณที่ไหลเวียนอย่างน่ากลัวกระตุ้นจนปั่นป่วนโดยสมบูรณ์ เป็นเหตุให้ยังไม่ทันลงมือก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ทั้งยังหมดแรงทรุดลงกับพื้นทันที
“พอแล้ว พาข้าไปซะ” แม้แต่ใบหน้าของลู่เซิ่งก็ยังเริ่มบิดเบี้ยวน้อยๆ ด้วยแรงกดดันวิญญาณอันเข้มข้น ตอนนี้ในสายตาของพวกจางหง พลังที่คนธรรมดาสัมผัสไม่ได้ชนิดนี้กลับเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนกับมารร้ายโดยสมบูรณ์
ระดับความน่ากลัวเหนือกว่าวิญญาณร้ายธรรมดาที่พวกเขาคุ้มครองไปแล้ว มีไม่กี่คนในตระกูลเท่านั้นที่เทียบเคียงได้
“แล้วเจ้าจะ…เสียใจ!” จางหงสีหน้าบิดเบี้ยว ปราณร้อยวิญญาณทั่วร่างระเหยเหมือนกับน้ำเดือด ปราณร้อยวิญญาณมอบพลังและสภาพร่างกายที่แกร่งกว่าคนธรรมดาให้กับเขา แต่ก็ทำให้เขาไม่มีพลังโต้ตอบโดยสิ้นเชิงในยามที่เผชิญกับการดำรงอยู่อันน่ากลัวอย่างแรงกดดันวิญญาณชนิดนี้เช่นกัน
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งเดินนำออกไป เก็บแรงกดดันวิญญาณบนร่างในพริบตา นั่นก็แค่การระเบิดปริมาณรวมของปราณวิญญาณที่เขาทำสัญญากับวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนเท่านั้น สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นยังไม่ใช่พลังวิญญาณที่เขาฝึกฝน พลังวิญญาณที่เขาฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือปริมาณอย่างน้อยก็เป็นสิบกว่าเท่าของพลังวิญญาณสายนี้
“เจ้า! จะไปแบบนี้เลยหรือ ไม่กลัวหัวหน้าและผู้อาวุโสของตระกูลจางหรืออย่างไร?!” จางหงอดร้องเสียงหลงไม่ได้
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองเขาแวบหนึ่ง
“บนโลกใบนี้ไม่มีใครทำให้ข้ากลัวได้ นอกจากตัวข้าเอง”
“แน่นอนว่าถ้าหากพวกเจ้ามีคนเอาชนะข้าได้ ข้าจะยิ่งดีใจกว่าเดิม” เขาสำทับอีกหนึ่งประโยค
จางหงถูกวาจาที่แทบจะเป็นความโอหังบีบคั้นจนอดก้าวถอยหลังหลายก้าวไม่ได้ กำลังจะโต้ตอบ ก็นึกถึงแรงกดดันวิญญาณอันน่าสะพรึงที่เพิ่งสัมผัสได้เมื่อครู่ทันที จึงพูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ ได้แต่กำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“ในเมื่อไม่กลัว อย่างนั้นก็ดี ข้าจะพาเจ้าไป ตระกูลจางของข้ามีผู้อาวุโสสองคนคุ้มครองอยู่ที่นั่น ถ้าไม่กลัวตาย เช่นนั้นก็ไปเถอะ!” เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตัดสินใจเด็ดขาดพร้อมกับกล่าวเสียงเหี้ยม
“นำทาง” ลู่เซิ่งเพียงตอบสองคำ
ตอนนี้จางหงไม่มองคนของตระกูลเฉินด้วยซ้ำ เทียบกับเรื่องสายเลือดรั่วไหลแล้ว เรื่องสถานที่ลึกลับในตอนนี้มีความสำคัญมากกว่า
เขาหมุนตัวไปประคองคนในตระกูลที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็เดินอยู่ด้านหน้า เร่งฝีเท้าออกจากประตูใหญ่ของตระกูลเฉิน
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ
จางหงสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณอันน่าพรั่นพรึงที่กดข่มไม่ปล่อย เหมือนกับหุบเหวและห้วงมหาสมุทรจากด้านหลัง
‘ทูตวิญญาณคุ้มครองของตระกูลลู่…รุ่นนี้…บางทีอาจเป็นทูตวิญญาณคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา…! พลังวิญญาณระดับนั้น’
เขามีลางสังหรณ์ว่าลู่จ้งผู้นี้อาจจะก่อให้เกิดพายุบิดเบี้ยวที่สุดจินตนาการขึ้นระหว่างสี่ตระกูลคุ้มครอง
ลู่เซิ่งหิ้วเปี๋ยเฟยเฮ่อด้วยแขนข้างเดียว ก้าวเท้าก้าวเดียวก็เป็นระยะทางสิบกว่าหมี่ ติดตามอยู่ด้านหลังทั้งสามด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ทั้งห้าคนพุ่งออกจากประตูเมืองอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาแปลกประหลาดของคนเดินถนน แล้ววิ่งเข้าไปในป่ารกร้างพร้อมกับมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ข้างใต้เท้าของจางหงเกิดสายลม เขาใส่ปราณร้อยวิญญาณเข้าไปในสองขาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนขาในระดับสูงสุด ขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับข้อต่อส่วนขา ทำให้ก้าวเท้าได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
อีกสองคนก็ใช้วิชาเดียวกัน ตระกูลจางของพวกเขาพัฒนาและทดสอบทักษะเพิ่มความแข็งแกร่งชนิดพิเศษนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้มีประสิทธิผลยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมถึงขีดสุด อีกทั้งยังไม่สร้างภาระให้แก่ขามากเกินไป
ลู่เซิ่งที่หิ้วตัวเปี๋ยเฟยเฮ่อด้วยมือข้างเดียวกลับไม่ได้ใช้พลังวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สองขา เขาเพียงเหยียบลงบนพื้นอย่างแรง พริบตาเดียวบนพื้นก็มีหลุมใหญ่เพิ่มขึ้นมา อาศัยแรงปฏิกิริยาติดตามความเร็วของสามคนตรงหน้าได้อย่าง่ายดาย
“พวกเราต้องเดินทางไกลขนาดไหน” เขาส่งเสียงถาม
“ประมาณครึ่งชั่วยาม พออ้อมผ่านเขาแห่งความมืดแล้วก็จะเห็นเอง” จางหงกล่าวเสียงเย็น
“ช้าไปแล้ว” ลู่เซิ่งส่ายหน้าแล้วพรุ่งพรวดขึ้นไปใช้มือข้างที่ว่างจับท้ายทอยของจางหงเอาไว้
“เจ้าชี้ทาง ข้าเร่งความเร็ว”
ฟ้าว!
เขาเพิ่มแรงอย่างฉับพลัน ความเร็วระเบิดขึ้นหลายเท่า เปี๋ยเฟยเฮ่อกับจางหงที่อยู่ในมืออดร้องขึ้นพร้อมกันไม่ได้
อ๊ากๆๆๆ…!
พรึ่บๆ ลมแรงพัดใส่ปากคนทั้งสอง จึงพลันส่งเสียงไม่ออก เพียงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองปลิวไปด้านหลัง เหมือนกับว่าวบนขอบฟ้าที่ถูกพายุซึ่งพัดมาอย่างแรงจากด้านหน้าตีจนส่ายไปมา
ภาพรอบๆ กลายเป็นพร่ามัวจนมองอะไรไม่เห็นแต่แรก
จางหงพยายามมองด้านหน้าอย่างยากลำบากเพื่อแยกแยะตำแหน่ง เพียงแต่ลู่เซิ่งเร็วเกินไป ทำให้เขายังไม่ทันจำจุดเด่นบนเส้นทางได้ ก็กลายเป็นอาณาเขตอีกแห่งไปแล้ว
แต่หลังจากลู่เซิ่งมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าที่ถูกสะกดไว้ของเขา ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงการตอบสนองของพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่กำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
นั่นเหมือนกับแหล่งรวมพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับเตาหลอม ในสายตาของลู่เซิ่ง มันโดดเด่นสะดุดตาราวกับคบเพลิงในความมืดมิด
…
แดนมายาเชิญวิญญาณ
จุดแสงสีขาวทั่วฟ้าที่เหมือนกับกลีบดอกไม้ล่องลอยอยู่กลางหุบเขาที่เป็นแอ่งกระทะ ที่นี่คือสถานที่ที่เร้นลับที่สุดของตระกูลจางซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลคุ้มครอง คอยเฝ้าปกป้องความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจาง
ในศาลาสีแดงข้างลำธารที่อยู่ตรงกลางหุบเขา ณ เวลานี้
จางมู่ยิ้มบางพลางลูบเคราขาวของตัวเองพร้อมกับมองดูสหายตรงหน้าที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักด้วยอารมณ์ที่เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นอย่างไร ครั้งนี้เจ้าแก้ไขไม่ได้แน่ เพื่อออกแบบค่ายกลวิญญาณนี้ ข้าได้ไปร่ำเรียนจากระดับปรมาจารย์ในหมู่มนุษย์ธรรมดาเจ็ดคนอย่างอุตสาหะ การถามคนที่อยู่ต่ำกว่าไม่ใช่เรื่องน่าละอาย ในที่สุดก็ปรับปรุงค่ายกลประกายทรงกรดในตำนานได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว!” จางมู่เลิกคิ้วขาว ในน้ำเสียงมีความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเป็นชายชราอายุเจ็ดแปดสิบปีเหมือนกัน เพียงแต่แม้ว่าชายชราผู้นี้จะมีผมขาว ทว่าคิ้วกลับดำสนิทเหมือนกับหมึก
คนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสองครักษ์ที่คุ้มครองแดนมายาเชิญวิญญาณแห่งนี้เหมือนกับจางมู่…จางเฉินซัน
……………………………………….