ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 971 ศึกตัดสิน (1)
ตอนที่ 971 ศึกตัดสิน (1)
ความตายอาจเป็นการบรรเทาทุกข์ที่ดีที่สุดสำหรับม่อหนาน
ชายผู้หนึ่งซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชังและความแค้นมานานหลายปีที่สูญเสียความแค้นทั้งหมดไปก็เหมือนกับว่าเขาได้สูญเสียแรงจูงใจและเป้าหมายของชีวิตทั้งหมดไปและแม้แต่การอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิ้ง อย่างไรก็ตามม่อหนานก็รู้สึกโล่งใจมากที่ได้เห็นม่อหลงก่อนที่เขาจะตายเพราะอย่างน้อยๆตระกูลม่อก็ยังคงมีต้นกล้าต้นสุดท้ายหลงเหลืออยู่และเขาก็เชื่อว่าม่อหลงจะต้องฟื้นคืนตระกูลม่อและสำนักม่อจื๊อได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นว่าม่อหลงกับสาวกหมิงม่อนั้นเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วและยังได้นำสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของตระกูลม่ออย่างกริซดาวตกกลับคืนมาได้เขาก็รู้สึกว่าความสามารถของม่อหลงนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเองเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเย่เชียนคอยสนับสนุนเคียงข้างม่อหลงอีกดังนั้นเขาจึงโล่งใจเพราะในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นความสามารถเฉพาะบุคคลไม่ใช่มาตรฐานที่กำหนดทุกสิ่งและถึงแม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งกว่าม่อหลงมากแต่เขาก็ยังล้มเหลวได้
งานศพของม่อหนานนั้นแน่นอนว่าม่อหนานเป็นคนดูแลจัดการโดยธรรมชาติและสถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งอย่างน้อยๆสำหรับเย่เชียนแล้วก็ถือว่าเขาได้ประสบความสำเร็จและส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีความช่วยเหลือของฮาเซงาวะเซตะแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมกองกำลังใต้ดินทั้งหมดของประเทศญี่ปุ่นในช่วงเวลาสั้นๆและมันต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆถึงจะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นก็ถูกส่งต่อให้กับม่อหนานและชิงเฟิงก็คอยช่วยเหลือม่อหลงเพราะองค์กรชาโด้ซากุระในนามของหน่วยเงาหมาป่าก็ต้องมีเสถียรภาพและต้องเป็นหน่วยย่อยที่สมบูรณ์แบบ ส่วนเฟิงหลานนั้นเมื่อเขากลับมาที่เมียนมาร์เขาก็ได้นำขี้เถ้าของชิบะชิเงโอะกลับมาจากสุสานด้วยเพราะถึงยังไงชิบะชิเงโอะก็เป็นพ่อของชิบะโชโกะ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะมอบสิ่งนี้ให้กับเธอ
ส่วนหลี่เหว่ยเขาได้ขึ้นเรือบรรทุกสินค้าโดยตรงภายใต้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเพื่อเดินทางไปที่ฐานทัพเรือไอร่อนบลัด ส่วนอู๋หวนเฟิงก็กลับไปยังเมืองปักกิ่งเพื่อคอยปกป้องซ่งหลันตามปกติ
ประเทศญี่ปุ่นต้องใช้เวลาอีกนานกว่าสิ่งต่างๆจะเรียบร้อยตามปกติ ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนจนเกินไปและทุกคนก็สามารถพักผ่อนได้ในเวลานี้ การทำภารกิจหนักหน่วงอย่างต่อเนื่องค่อนข้างเหนื่อยล้าและจำเป็นต้องหยุดพักบ้าง สำหรับเย่เชียนแล้วเขาก็ใช้ประโยชน์จากเวลาที่เหลืออยู่อย่างเป็นธรรมชาติเพื่อปรับสมาธิและรวบรวมพลังปราณเพราะใกล้จะถึงวันที่เขาจะต้องดวลกับไป๋ฮวยแล้ว ซึ่งเย่เชียนก็ยังคงมีความกังวลในใจของเขาและเขาไม่สามารถปล่อยมันไปได้เลย
วันเวลาผ่านไปและวันของการประลองก็ใกล้เข้ามาทุกทีและแน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้รวมถึงฉินหยูและผู้หญิงคนอื่นๆรวมทั้งพี่น้องเขี้ยวหมาป่าด้วยเพราะถ้าหากพวกเขารู้เย่เชียนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไรและเย่เชียนก็ไม่ต้องการให้พวกเขากังวลเกี่ยวกับเขา
สถานที่ในการประลองคือยอดเขาที่ว่างเปล่าในเขตชานเมืองปักกิ่งและเมื่อสองวันก่อนหม่าเต๋อหงสั่งปิดล้อมและห้ามให้ใครที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามายังพื้นที่
หากว่ากันว่าการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุดเมื่อ 20 ปีที่แล้วคือการต่อส้ระหว่างเย่เจิ้งหรานกับฟู่จื้อซานล่ะก็แน่นอนว่าการต่อสู้ใน 20 ปีต่อมาก็คือการต่อสู้ระหว่างเย่เชียนกับหมาป่าผีไป๋ฮวยแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นความลับหรือเปล่าแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะซ้ำรอยอีกครั้งเพราะย้อนกลับไปในตอนนั้นฟู่จื้อซานเป็นปรมาจารย์อันดับ 1 ของลัทธิมารและเผชิญหน้ากับเย่เจิ้งหรานปรมาจารย์แห่งตระกูลเย่และแต่ตอนนี้เย่เชียนก็เป็นลูกของเย่เจิ้งหรานส่วนไป๋ฮวยก็เป็นตัวแทนของลัทธิมารจนดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าการต่อสู้ที่เด็ดขาดเมื่อ 20 ปีที่แล้วกลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในโลกศิลปะการต่อสู้ก็ตามแต่ก็ไม่มีใครสามารถลบสถานะของเย่เจิ้งหรานในฐานะชายที่แข็งแกร่งที่สุดในใจของทุกคนได้ แต่น่าเสียดายที่น้อยคนนักที่จะรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานกับม่อหนานไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์หน้าที่สองก็คงจะเป็นเช่นนั้นแต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้หลายๆคนก็รับรู้แค่การต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานกับฟู่จื้อซานเท่านั้น อาจเป็นเพราะเย่เจิ้งหรานเสียชีวิตไปในการต่อสู้ครั้งนี้ดังนั้นผู้คนจึงจำฝังใจไปกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ในการประลองครั้งนี้มีคนไม่มากนักและมีเพียงหยานตงผู้นำลัทธิมาร หม่าเต๋อหง,เหล่าผู้นำตระกูลเย่และหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและมีบุคคลสำคัญอีกไม่กี่คน ซึ่งข้างๆไป๋ฮวยมีหวังยู่ยืนอยู่ข้างๆแต่ดวงตาของเธอมองไปยังเย่เชียนด้วยความกังวลด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้และในสายตาเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่ามีความกังวลอย่างลึกซึ้งแต่เย่เชียนก็ไม่เข้าใจว่าเธอเป็นห่วงตัวเองหรือไป๋ฮวยกันแน่?
การแสดงออกของไป๋ฮวยนั้นดูเฉยเมยมากและเห็นได้ชัดว่าเขายังเห็นความกังวลของหวังยู๋ได้แต่ไป๋ฮวยก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“เสี่ยวเชียนฉันไม่สนหรอกว่าเอ็งกับไป๋ฮวยจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแค่ไหนในอดีตแต่คราวนี้เอ็งต้องไม่แพ้..ไม่เพียงแค่สำหรับตัวเอ็งเองแต่นี่มันเกี่ยวข้องกับทั้งโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณด้วย..หากเอ็งแพ้ล่ะก็พวกลัทธิมารจะเริ่มต่อสู้กับโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วมันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างมากในยุคนี้!” หม่าเต๋อหงพูดด้วยความห่วงใย “ตอนนี้เอ็งต้องละทิ้งมิตรภาพระหว่างเอ็งกับไป๋ฮวยและตั้งใจเพื่อต่อสู้..เอ็งก็น่าจะรู้ว่าการดวลครั้งนี้จะประมาทไม่ได้เลยและไป๋ฮวยก็ตั้งใจจะฆ่าเอ็งจริงๆ..ถ้าเอ็งยังมีความกังวลอยู่เอ็งก็จะแพ้!”
“ใช่..คราวนี้เอ็งต้องละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ข้างหลังและต่อสู้กับเขาอย่างเด็ดขาด” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดสมทบเช่นกัน “หากเอ็งประมาทแม้เพียงเล็กน้อยเอ็งก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่าตาย..ซึ่งถ้าเอ็งตายไปล่ะ?..พี่น้องเขี้ยวหมาป่าจะอยู่ยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไงและนี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับไป๋ฮวยเพราะงั้นผมรู้ดี..ในการต่อสู้แบบนี้เมื่อหลายปีก่อนผมก็รู้แล้วว่ามันจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ได้..แต่มันก็มาอย่างกะทันหันจนยากที่จะยอมรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหม่าเต๋อหงและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็มองหน้ากันและกันและถอนหายใจอย่างเงียบๆและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ในทางกลับกันหยานตงก็มีรอยยิ้มที่ไม่แยแสมากและดูสบายราวกับว่าเขามองการต่อสู้ระหว่างเย่เชียนกับไป๋ฮวยโดยไม่สนผลลัพธ์ใดๆ “เอ็งแน่ใจแค่ไหน?” หยานตงมองไปที่ไป๋ฮวยและถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคุณคิดว่าไง?” ไป๋ฮวยถามกลับอย่างเฉยเมย “คุณกังวลว่าถ้าผมแพ้แล้วมันจะไปทำลายแผนการของลัทธิมารน่ะเหรอ?..หรือคุณกังวลว่าทั้งหมดนี้จะถูกผมจัดฉากโดยเจตนากันแน่?”
หยานตงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าจุดประสงค์ของเอ็งคืออะไรเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนี่เป็นการต่อสู้ที่น่าจับตามองในรอบยี่สิบปีและถึงแม้ว่าเอ็งจงใจที่จะแพ้หรืออะไรก็ตามมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป!”
ไป๋ฮวยก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยันว่า “ผมไม่สามารถทำได้ทุกอย่างเสมอไปเพราะงั้นอย่ามั่นใจไปล่ะไม่งั้นคุณอาจจะผิดหวัง”
หยานตงยักไหล่และยิ้มอย่างไม่ใส่ใจและไม่พูดอะไรต่อ
“ไป๋ฮวยคุณ..” หวังยู่ดูเหมือนลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างและในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดได้แต่ทันทีที่เธอพูดเธอก็ถูกไป๋ฮวยขัดจังหวะโดยพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก..เย่เชียนกับผมนั้นสักวันต้องสู้กันอยู่แล้วเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไป!”
‘ไม่ต้องกังวลไป’ นี่หมายความว่าอย่างไรหวังยู่ก็ไม่เข้าใจดังนั้นเธอจึงกะพริบตาแล้วพูดว่า “แต่ไป๋ฮวย..คือว่า..”
จากนั้นไป๋ฮวยก็หันไปหยุดเธอแล้วพูดว่า “คุณแค่รอดูจากตรงนี้ก็พอ” จากนั้นเขาก็หันไปมองหยานตงแล้วพูดว่า “อาจารย์หยานคอยดูเธอเอาไว้ด้วย..อย่าให้เธอเข้าไปสร้างปัญหาเด็ดขาด”
“ได้เลย” หยานตงพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ในการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือนั้นไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะและใครจะเป็นฝ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งที่ทุกๆคนในโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณต่างก็พูดถึงกันอย่างแน่นอนในอนาคต
ราชาหมาป่าปะทะหมาป่าผี ใครที่จะเป็นผู้ชนะและใครจะแข็งแกร่งมากกว่ากัน? ทั้งสองมองหน้ากันและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆและยืนเผชิญหน้ากันบนยอดเขาที่ว่างเปล่า ทุกคนที่ยืนดูต่างก็ประหม่ายกเว้นหยานตงเพียงคนเดียวที่ดูสบายใจเฉิบ
“สิ่งที่ฉันต้องการคือการต่อสู้ที่ยุติธรรมและจริงจัง..ฉันหวังว่านายจะไม่แสร้งทำเป็นพูดเรื่องมิตรภาพไม่งั้นนายจะต้องตายอย่างน่าอนาถและฉันจะไม่ปรานีนาย” ไป๋ฮวยพูด
เย่เชียนก็พูดว่า “จริงๆแล้วถ้าพี่ตายหรือผมตายไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี..ผมไม่ได้คาดหวังว่าเราจะมาถึงจุดนี้กันแต่ผมก็ขอบคุณมิตรภาพดีๆที่ผ่านมา..ผมหวังว่าพี่ไป๋จะสัญญากับผมว่าถ้าพี่ชนะพี่ต้องดูแลพี่น้องเขี้ยวหมาป่าแทนผมด้วย”
“หืม..ถ้านายต้องการดูแลพวกเขานายก็ฆ่าฉันให้ได้สิเพราะการตายของนายจะเป็นการเปิดฉากสงครามการแก้แค้นเขี้ยวหมาป่าของฉัน!” ไป๋ฮวยพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นมาเริ่มกันเลยผมกลัวการต่อสู้ครั้งนี้ก็จริงแต่ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอมันมานานแล้วเหมือนกัน!..ผมเป็นคนเดียวที่สามารถเผชิญหน้ากับสุดยอดทหารรับจ้างของเขี้ยวหมาป่าได้”
ไป๋ฮวยนั้นเคลื่อนไหวเป็นสายลมที่นิ่งเงียบส่วนเย่เชียนก็เคลื่นอไหวเป็นกระแสน้ำไหลรินที่มีระลอกคลื่นอย่างหนักหน่วง
“มันอะไรกันเนี่ย..มีการประลองที่น่าสนุกขนาดนี้แต่นายไม่คิดที่จะโทรหาฉันเลย..ฉันจะพลาดการต่อสู้ที่วิเศษแบบนี้ไปได้ยังไง?” เมื่อคำพูดจบลงหลินเฟิงแห่งองค์กรนักฆ่าเซเว่นคิลก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
สามจตุรเทพแห่งยุคกลับมารวมตัวกันอีกครั้งแต่การพบกันอีกครั้งนี้อาจเป็นการอำลา! เมื่อเดินไปต่อหน้าพวกเขาทั้งสองหลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “โชคดีที่ฉันมาทันไม่อย่างนั้นฉันคงจะเสียใจไปตลอดชีวิตถ้าฉันพลาดการต่อสู้ที่วิเศษครั้งนี้ไป..ถึงแม้ว่าฉันจะอยากจะสู้ด้วยจริงๆก็เถอะแต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ใช่วันของฉัน..นี่มันคือศึกระหว่างพวกนายสองคน!” หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็พูดต่อ “พวกนายเป็นคนที่ฉันชื่นชมมากจริงๆและไม่ว่าใครก็ตามที่ตายไปฉันคงจะเสียใจมาก..ฉันขอถามเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยว่ามันไม่มีทางออกที่ดีสำหรับพวกนายทั้งสองเลยเหรอ?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่ไป๋ฮวย จากนั้นไป๋ฮวยก็พูดว่า “มันก็มี!..ถ้านายฆ่าพวกเราทั้งคู่เราก็จะได้ไม่ต้องต่อสู้กันอีก!”
.
.