ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 843 แผนการของชางกวนเจ้อ
ตอนที่ 843 แผนการของชางกวนเจ้อ
แท้ที่จริงแล้วหม่าเต๋อหงนั้นหวาดระแวงเย่เจิ้งหรานเพราะเย่เจิ้งหรานแข็งแกร่งเหมือนกับเขาและทุกๆ ครั้งที่เขาเห็นเย่เจิ้งหรานก็เหมือนเขาได้มองเห็นตัวเองเมื่อตอนที่เขายังเด็ก ในหัวใจของเขาตำแหน่งของเย่เจิ้งหรานนั้นดีกว่าลูกชายแท้ๆ ของเขาเสียอีก ดังนั้นการตายของเย่เจิ้งหรานจึงทำให้หม่าเต๋อหงเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อเย่เจียอู๋และตัดการติดต่อกับตระกูลเย่ไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้หม่าเต๋อหงก็รู้สึกโล่งใจอย่างมากที่ได้ยินว่าลูกชายของเย่เจิ้งหรานที่หายตัวไปหลายปียังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
“ส่งคนไปตามหาเย่เชียนให้ฉันทันที..ฉันไม่สนใจว่าเขามีความสัมพันธ์อะไรกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนหรือหูวหนานเจียง..ไม่ว่าจะยังไงต้องหาเขาให้เจอและถ้าเขาขัดขืนหรือต่อต้านก็ฆ่าเขาซะ” หม่าเต๋อหงพูดอย่างหนักแน่น
“ท่านครับ..ผมคิดว่าท่านควรจะดูสิ่งนี้” พันเอกพูดแล้วยื่นการ์ดให้
“นี่คืออะไร” หม่าเต๋อหงถามด้วยความสงสัย
“นี่คือการ์ดที่เย่เชียนมอบให้ทหารยามเมื่อตอนที่เขาอยู่หน้าประตู” พันเอกตอบ
หม่าเต๋อหงก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและเปิดมันออกมาดูและเขาก็ต้องตกใจในทันที ทายาทของตระกูลเย่? เขาเป็นลูกบุญธรรมงั้นเหรอ? หม่าเต๋อหงไม่สามารถรีรอได้เขาจึงตะโกนว่า “เร็วเข้า..หาเขาให้เจอ..รีบไปหาตัวเขาให้เจอ” หม่าเต๋อหงพูดต่อ “ทำไมฉันถึงได้โง่จัง..ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย..ว่าแล้วทำไมที่ฉันเห็นเขาครั้งแรกฉันถึงคิดว่าเขาคล้ายกับเจิ้งหราน..โถ่เว้ย”
“หัวหน้าครับเกิดอะไรขึ้น” พันเอกด้วยความประหลาดใจ
“เขาเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหราน!” หม่าเต๋อหงพูดด้วยความตื่นเต้น “รีบไปหาเขา..จำไว้อย่าทำร้ายเขาเด็ดขาด”
เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของหม่าเต๋อหงแล้งพันเอกก็ไม่ถามอะไรอีกจากนั้นก็ตอบแล้วหันหลังเดินออกไป
หม่าเต๋อหงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของเย่เจียอู๋และทันทีที่มีการเชื่อมต่อสายหม่าเต๋อหงก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามว่า “ลูกชายของเจิ้งหรานชื่ออะไร”
“เย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมเนื้อเจียมตัว” เย่เจียอู๋ตอบอย่างเฉยเมย “เกิดอะไรขึ้น?
“ไอ้บ้าเอ๊ย..ทำไมแกถึงไม่บอกให้มันชัดเจนกว่านี้ล่ะ” หม่าเต๋อหงสูดลมหายใจเข้าอย่างโกรธจัดและวางสายไปอย่างรวดเร็ว จิตใจของเขาเต็มไปด้วยฉากที่เขาเพิ่งจะปะทะคารมกับเย่เชียนไป
แม้ว่าที่นี่จะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับเย่เชียนที่จะหลบหนีออกไปจากที่นี่ ในตอนแรกเขามาเยี่ยมหม่าเต๋อหงตามคำสั่งของเย่เจียอู๋แต่หม่าเต๋อหงนั้นหยิ่งผยองเกินไปซึ่งทำให้เย่เชียนไม่สบอารมณ์อย่างมาก เขาไม่ได้สนใจว่าตัวตนของหม่าเต๋อหงนั้นคืออะไรเพราะสำหรับเขาไม่ว่าหม่าเต๋อหงจะเป็นใครเขาไม่มีสิทธิ์หรือเหตุผลที่จะวิพากษ์วิจารณ์องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าอยู่ดี
เย่เชียนก็อย่างช่วยไม่ได้และโบกแท็กซี่ให้ขับรถไปส่งที่บริษัท
เย่เชียนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการจัดการบริษัทแต่เขาแสร้งทำเป็นเก่งเพราะบางครั้งเขาก็ขอรายงานทางการเงินและบางครั้งก็รายงานธุรกิจต่างๆ ในบริษัทและอยู่ในสำนักงานราวกับว่าเขาทำงานหนักเพื่อดูเอกสารเหล่านี้ เมื่อซือจื้อส่งรายงานทางการเงินให้เย่เชียนเธอก็ยิ้มและพยักหน้าให้เย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่าช่อดอกไม้ของเมื่อวานของเย่เชียนจะเริ่มมีบทบาทขึ้นแล้วและเย่เชียนก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ซือจื้อเป็นปัญหาเดียวสำหรับแผนการดังนั้นเย่เชียนจึงต้องคว้าโอกาสนี้และต้องไม่ทำผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณซือจื้อนี่ก็เที่ยงแล้วเราไปทานอาหารกลางวันด้วยกันมั้ย?” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ตอนเที่ยงฉันมีนัดแล้วขอโทษนะคะ” ซือจื้อพูด
“ชางกวนเจ้องั้นเหรอ” เย่เชียนถาม
“ไม่สำคัญหรอกว่าใคร” ซือจื้อพูด “เพราะถึงยังไงฉันก็ไปกับคุณไม่ได้”
เย่เชียนก็ยักไหล่เล็กน้อยแล้วพูดว่า “เสน่ห์ของผมน่ะมันซ่อนอยู่ลึกๆ ..ถ้าคุณสังเกตอย่างลึกซึ้งคุณก็จะรู้สึกและสัมผัสมันไม่ได้..ผมขอเดิมพันเลยว่าภายในสามวันคุณจะต้องตกหลุมรักผม”
“จริงเหรอ? ..ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นเหมือนกัน” ปากของซือจื้อโค้งงอเล็กน้อยและรอยยิ้มก็ลอยมาบนใบหน้าของเธอและเธอก็พูดว่า “ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ”
หลังจากพูดจบแล้วซือจื้อก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองและมุมปากของเย่เชียนก็ค่อยๆ โค้งขึ้น เขาไม่ได้เรียกเธอแต่เพียงเฝ้าดูอย่างเงียบๆ จนอดคิดในใจไม่ได้เพราะดูเหมือนว่าคำพูดของหลี่เหว่ยจะได้ผลจริงๆ และเป็นการดีที่จะพูดตรงๆ กับผู้หญิงประเภทนี้มากที่สุด
หลังจากวันที่วุ่นวายในบริษัทเย่เชียนก็เหนื่อยเล็กน้อยและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยใส่ใจนักและทำตัวอย่างสบายๆ ก็ตามแต่เขานั้นไม่เข้าใจตัวเลขเหล่านั้นที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเขาจนทำให้เขาเวียนหัว ซึ่งเย่เชียนก็รับประกันได้ว่าหากเขายังมีชีวิตแบบนี้ต่อไปเขาจะต้องบ้าตายอย่างแน่นอนและนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบเลย
หลังจากออกจากประตูบริษัทเย่เชียนก็เดินไปที่โรงแรมที่เขาพักอยู่อย่างเหนื่อยล้า อากาศในเมืองปักกิ่งแห่งนี้นั้นไม่ค่อยดีนักเพราะมันเต็มไปด้วยฝุ่นและควันแต่ก็ยังดีกว่ากลิ่นอับๆ ภายในรถ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการชมทิวทัศน์ริมถนนตลอดทาง
“ฉันไม่อยากรับสายเลยฉันจะป่วยตายอยู่แล้ว..ตัวเลขพวกนั้นทำให้ฉันแทบจะเป็นบ้า!” จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นและเมื่อเย่เชียนหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าเป็นเย่หานหลินที่โทรเข้ามา ซึ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่หานหลินทำแล้วเย่เชียนก็ชื่นชมสิ่งนี้มากและเขาก็น่าจะรู้วิธีสนุกกับมันได้แล้วดังนั้นเขาควรอุทิศตนอย่างเต็มที่กับงานของเขาได้สักที
“ว่ามา!” เย่เชียนพูดเมื่อมีการเชื่อมต่อสาย
“บอสฉันมีข่าวจะมาแจ้ง!” เย่หานหลินพูด “ฉันมีคนที่อยากจะแนะนำให้บอสรู้จัก..บอสว่างมั้ยมาเจอกันหน่อยสิ”
“ได้!..ที่ไหนล่ะ?” เย่เชียนพูดหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
“โฮ่วไห่บาร์” เย่หานหลินพูด
“งั้นก็รอฉันอยู่ที่นั่นก่อนเดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไป” หลังจากเย่เชียนพูดจบเขาก็วางสายไป โฮ่วไห่บาร์? นั่นเป็นผับบาร์ที่เย่เชียนไปเมื่อคืนนี้ไม่ใช่เหรอ? เย่เชียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดคิดแล้วเดินต่อไป
คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเหมือนเย่เชียนจะมีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำเพราะเมื่อคืนเย่เชียนถูกพาไปโรงพักและดูเหมือนว่าการเดิมพันระหว่างฉันกับฉินเยว่จะทำร้ายใครสักคน
เมื่อผ่านร้านยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เย่เชียนก็เข้าไปซื้อบุหรี่สองซองจากนั้นหันกลับมาและเดินไปที่บาร์โฮ่วไห่ ซึ่งหลังจากเข้าไปในบาร์แล้วเย่เชียนก็กวาดสายตาเพื่อมองหาเย่หานหลินที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งไม่ไกลนักและมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่กับเขาซึ่งดูเหมือนจะอายุยี่สิบปลายๆ
“บอส!” เมื่อเห็นเย่เชียนเดินเข้ามาเย่หานหลินก็รีบลุกขึ้นยืนและชายหนุ่มก็ยืนขึ้นพร้อมพยักหน้าให้เย่เชียน
เย่เชียนมองดูเขาจากหัวจรดเท้า ซึ่งดวงตาของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความเกลียดชังและความเจ็บปวดและความสูญเสียที่คนตัวเล็กๆ ต้องดิ้นรนจากเบื้องล่างของสังคมปัจจุบัน “นั่งลงเถอะ” เย่เชียนโบกมือและพูด
จากนั้นเย่เชียนก็หยิบบุหรี่หนึ่งซองจากเสื้อของเขาแล้วแกะออกแล้วหยิบบุหรี่เข้าปากและส่งให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดว่า “สูบมั้ย?”
“ขอบคุณครับ!” ชายหนุ่มรับมาด้วยความยับยั้งชั่งใจแล้วจุดไฟ อย่างไรก็ตามความรอบคอบนี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความประหม่าและเกรงใจ
“บอกฉันเกี่ยวกับสถานการณ์..ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง” เย่เชียนหันไปมองที่เย่หานหลินและพูด
“ฉันตรวจสอบแล้วว่าชางกวนเจ้อเป็นหลานชายคนโตของตระกูลชางกวนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ในปักกิ่งและยังเป็นเจ้าของบริษัททะเลสี่ทิศอีกด้วย..เขาเคยศึกษาการจัดการด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในประเทศอังกฤษและได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต..จากนั้นเมื่อเขากลับมายังเมืองปักกิ่งเขาก็ได้เข้าร่วมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้จัดการสาขา” เย่หานหลินพูดอย่างช้าๆ “การเสียชีวิตของอดีตผู้จัดการซูเฉียนนั้นผู้กรณีคือคนขับรถของบริษัททะเลสี่ทิศ..ซึ่งชางกวนเจ้อนั้นมักจะทำดีต่อลูกน้องและเก่งในการชนะใจคนด้วย”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเพราะข้อมูลที่ได้รับจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเกี่ยวกับตระกูลชางกวนนั้นค่อนข้างที่จะมีอิทธิพล ซึ่งการที่ชางกวนเจ้อเลือกที่จะไม่ไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวแต่เลือกเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นมันมีจุดประสงค์อื่นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับตระกูลชางกวนด้วย
“พูดต่อได้เลย” เย่เชียนพูด
“ฉันได้ตรวจสอบแล้วและคราวนี้มันเป็นบริษัทการเงินเล็กๆ ที่โจมตีตลาดหุ้นของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและประธานบริษัทก็คือหูชิฟาน..ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทนี้ยังให้บริการด้านการเงินกับบริษัททะเลสี่ทิศมาเสมอและช่วยให้บริษัททะเลสี่ทิศควบคุมราคาตลาดหุ้นและทำเงินเป็นจำนวนมาก” เย่หานหลินพูด
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะถึงแม้ว่าการใช้บริษัทตัวแทนเพื่อเก็งกำไรจากราคาหุ้นของตัวเองและถอนเงินออกจากมันก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมายและหลายๆ บริษัทในปัจจุบันก็ยังใช้วิธีนี้เช่นกัน ผู้ถือหุ้นรายย่อยและนายหน้าตัวแทนเหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นเพียงตัวหมากและตัวเบี้ยเท่านั้น ซึ่งเมื่อหมดประโยชน์ก็จะถูกตัดหางปล่อยวัด
“แล้วเขาเป็นใคร?” เย่เชียนหันไปมองชายหนุ่มแล้วถาม
“ผมชื่อฉีเยว่..เรียกผมว่าฉีก็ได้” ชายหนุ่มตอบอย่างเร่งรีบ
“ฉี?” เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ตัวตนของผมแล้วใช่มั้ย”
“ผมรู้ครับ..คุณคือผู้จัดการของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาปักกิ่ง” ฉีเยว่พูดด้วยความจริงใจ
“แล้วที่คุณมาพบผมแบบนี้คุณต้องการอะไร” เย่เชียนถามตรงๆ
“ฉันสามารถช่วยคุณทำลายกลุ่มทะเลสี่ทิศได้” ฉีเยว่พูด “แต่หลังจากนั้นผมอยากได้ในสิ่งที่ผมต้องการ”
“มันคืออะไร” เย่เชียนถาม
“ผมทำงานในบริษัททะเลสี่ทิศมานานแล้วและพวกผู้บริหารก็เอาแต่พูดว่าพวกเขาจะให้โอกาสและสนับสนุนผมแต่พวกเขาก็ไม่เคยทำเลย..ไม่เพียงแค่นั้นหนึ่งในผู้บริหารยังเป็นชู้กับภรรยาของผมด้วย..ทำไมกันเพียงแค่เขามีเงินแล้วทำไมโลกถึงไม่ยุติธรรมกับผมเลย..ผมทำงานหนักและต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยแต่พวกเขามีสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิด..ทำไมกันนะ?” ฉีเยว่พูดอย่างเดือดดาล
.
.
.
.