ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 724 ศิลปะการต่อสู้ผสมผสานโยคะ ตอนที่ 2
ตอนที่ 724 ศิลปะการต่อสู้ผสมผสานโยคะ ตอนที่ 2
ศิลปะการต่อสู้ในโลกใบนี้มันไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้สูงส่งกับผู้ต่ำต้อย
ภายใต้ทัศนคติด้านลบนั้นจึงทำให้ดีห์ราห์มีความเย่อหยิ่งที่แข็งแกร่ง แต่ทว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้ต้องการเอาชนะดีห์ราห์แต่ต้องการทำลายความเย่อหยิ่งและการตามไม่ทันโลกแห่งความจริงของดีห์ราห์ ซึ่งไม้ที่ผุพังมันสามารถกลายเป็นไม้แกะสลักได้เสมอ ดังนั้นก่อนอื่นเย่เชียนจึงต้องทำลายทัศนคติของดีห์ราห์ก่อนเพราะความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีคนจนของดีห์ราห์นั้นยิ่งใหญ่เกินไป ด้วยเหตุนี้หากเย่เชียนต้องการฝึกฝนดีห์ราห์ล่ะก็ก่อนอื่นเย่เชียนต้องลบล้างความเย่อหยิ่งของดีห์ราห์ออกไปให้หมดไม่เช่นนั้นดีห์ราห์ก็จะเป็นได้เพียงแค่เด็กที่โง่เขลาเท่านั้น
โยคะเองก็มีข้อดีเช่นกันเพราะด้วยทักษะของดีห์ราห์แล้วเย่เชียนจึงอยากเรียนรู้ทักษะโยคะเพิ่มเติม ในเวลานี้รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเย่เชียนก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนดีห์ราห์ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนเต็มๆตาของเขาก็รู้สึกเพียงว่าเย่เชียนกำลังดูถูกและเยาะเย้ยตน นี่คือสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้เพราะเขาไม่มีความสามารถใดๆดังนั้นหากใครมาดูถูกดูหมิ่นเรื่องนี้ล่ะก็เขาจะมีจุดยืนอย่างไรในอนาคตได้อีก? ความสามารถในการต่อสู้คืออะไร? ซึ่งทักษะโยคะที่เขามีนั้นคืออนาคตของเขาและเป็นเพียงทักษะเดียวที่จะบรรลุความฝันของเขาได้
“หึ..เยาะเย้ยไปเถอะ!” ทันทีที่เสียงของดีห์ราห์จบลงร่างกายของเขาก็เหมือนกับปลาทะเลที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและเขาก็พุ่งไปด้านหน้าของเย่เชียนและใช้มือทั้งสองข้างที่งอเป็นมุมที่แปลกประหลาดโจมตีไปที่หน้าอกของเย่เชียน ซึ่งเดิมทีโยคะเป็นศิลปะการรักษาสุขภาพและจะเน้นการปลูกฝังจิตสำนึกดังนั้นเมื่อเรียนรู้ถึงระดับหนึ่งแล้วกระดูกและมวลร่างกายจะขยายออกอย่างไม่สิ้นสุดจากนั้นการเคลื่อนไหวก็จะรวดเร็วและรุนแรงและเพียงพอที่จะใช้เป็นอาวุธฆ่าคนได้
แต่เมื่อพูดถึงการฆ่าแล้วเย่เชียนนั้นก็ฆ่าคนไปแล้วมากกว่า 1000 คน ซึ่งนี่ก็เป็นแค่การประมาณเท่านั้นเพราะทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนนั้นได้รับการฝึกฝนมาเพื่อใช้ในการต่อสู้จริงด้วยและตอนนี้มันก็ถูกใช้ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งของศิลปะการต่อสู้โบราณดังนั้นทักษะของเย่เชียนในอดีตนั้นไม่สามารถเทียบได้กับตอนนี้เลย
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ค่อยรู้เรื่องทักษะการต่อสู้ของดีห์ราห์มากนักแต่เย่เชียนก็สามารถอ่านและวิเคราะห์ได้นิดหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเช่นเดียวกับที่หลินเฟิงพูดเอาไว้ว่าศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงในโลกใบนี้นั้นสามารถวิเคราะห์และต้านทานได้อย่างรวดเร็วและไม่ว่าการเคลื่อนไหวของศิลปะการต่อสู้นั้นๆจะสวยงามเพียงใดแต่มันก็เป็นเพียงแค่ท่วงท่าสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญและมีไหวพริบที่เฉียบคมเท่านั้น
เมื่อเห็นกำปั้นขวาของดีห์ราห์โจมตีมาเย่เชียนก็ไม่ได้ล่าถอยและในทันใดนั้นเย่เชียนก็ใช้มือข้างซ้ายป้องกันหมัดของดีห์ราห์และใช้มีอีกข้างจับแขนของดีห์ราห์เอาไว้ แต่สำหรับดีห์ราห์แล้วเขาไม่เข้าใจทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนว่าเป็นแบบใดดังนั้นเขาจึงคิดที่จะล่าถอยกลับไปและเลือกที่จะถอนการโจมตีของเขา ซึ่งมันเป็นจังหวะแห่งความเป็นและความตายด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะล่าถอยดีกว่าการรุกไปแบบเสี่ยงๆ
ทันทีที่ดีห์ราห์ถอยกลับเย่เชียนก็ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่เผยออกมาให้เห็น “นายไม่มีแม้แต่ความมั่นใจแล้วแบบนี้นายจะสู้กับฉันได้ยังไง?” ก่อนที่คำพูดจะจบลงความเร็วในการโจมตีของเย่เชียนก็เร่งขึ้นอย่างกะทันหันและการเคลื่อนไหวก็สมบูรณ์แบบอย่างมาก
“หืม..สิ่งที่ฉันต้องการคือการเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ใช่เพื่อฆ่า” ดีห์ราห์ตอบโต้ ขณะตอบสนองต่อคำพูดของเย่เชียนนั้นดีห์ราห์ก็ยังใช้สมาธิเพื่อตอบสนองต่อการโจมตีของเย่เชียน ซึ่งดีห์ราห์รู้สึกเพียงว่าเย่เชียนนั้นเป็นยอดฝีมือและนักสู้ที่แท้จริงเพราะเย่เชียนเป็นคู่ต่อสู้ที่รู้วิธีการใช้สอยเวลาและจิตวิทยาของศัตรูและด้วยวิธีนี้เย่เชียนจึงสามารถเปรียบได้อย่างต่อเนื่อง
เย่เชียนกำลังสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของดีห์ราห์อยู่และแน่นอนว่าดีห์ราห์เองก็สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเย่เชียนเช่นกัน แต่ดีห์ราห์ไม่ได้รีบเร่งที่จะโต้กลับแต่กำลังวิเคราะห์จุดบกพร่องและช่องว่างในการเคลื่อนไหวของเย่เชียนและหวังว่าเขาจะสามารถมองเห็นได้โดยเร็วที่สุดเพื่อคว้าโอกาสที่จะเอาชนะเย่เชียนได้ในคราวเดียว ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขาพบกับอันตรายเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงจากมุมที่แปลกๆมากซึ่งทำให้เย่เชียนประหลาดใจ ซึ่งการโจมตีของเย่เชียนนั้นหากเป็นคนธรรมดาล่ะก็จะไม่มีทางหลับได้เลย แต่ทุกๆครั้งที่เย่เชียนโจมตีไปร่างกายของดีห์ราห์ก็บิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดจนเย่เชียนเริ่มสนใจโยคะมากขึ้นเรื่อยๆเพราะทักษะการต่อสู้แขนงนี้ที่สามารถบิดร่างกายของมนุษย์ได้อย่างแปลกประหลาดจนมีข้อดีเป็นของตัวเอง
“สิ่งนี้เรียกว่าความขี้ขลาด..เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูแล้วเราก็ต้องมีความมั่นใจและความแน่วแน่..แต่ๆทุกการเคลื่อนไหวของนายกลับเป็นเหมือนกระต่ายกระโดดไปมา..หากปราศจากความกล้าหาญล่ะก็สุดท้ายนายก็ต้องแพ้” เย่เชียนพูดต่อ “ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของฉันหรอกมันเสียเวลาและไร้ประโยชน์เปล่าๆเพราะถึงแม้ว่านายจะสามารถเห็นจุดบกพร่องก็ตามแต่นายก็ไม่มีโอกาสได้โจมตีอยู่ดี..รีบๆแสดงพลังที่แท้จริงออกมาโดยเร็วจะดีกว่าไม่งั้นนายได้แพ้แน่”
อันที่จริงแล้วดีห์ราห์สามารถเห็นข้อบกพร่องในกระบวนท่าและทักษะการโจมตีของเย่เชียนแล้ว แต่เนื่องจากความเร็วของเย่เชียนนั้นเร็วเกินไปดีห์ราห์จึงไม่โอกาสที่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อยและถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปมันก็จะเป็นเขาเองที่จะต้องแพ้การต่อสู้ในที่สุด ซึ่งเมื่อนึกถึงอนาคตและความฝันและครอบครั้วที่ยังรอเขาอยู่ที่บ้านแล้วดีห์ราห์ก็ตอกย้ำและเตือนตัวเองว่าเขาจะต้องไม่แพ้เพราะถ้าหากหากเขาแพ้เขาจะไม่เพียงแค่สูญเสียทักษะการต่อสู้แต่ยังรวมไปถึงศักดิ์ศรีและความฝันและอนาคตอีกด้วย
ด้วยเสียงตะโกนดีห์ราห์ก็พยายามดิ้นรนเพื่อหาจังหวะช่องโหว่ในการโจมตีของเย่เชียนซึ่งในเวลานี้ดีห์ราห์ก็ตระหนักถึงชัยชนะตรงหน้าแล้วเพราะเขามีเพียงเป้าหมายเดียวและนั่นคือการเอาชนะเย่เชียนแล้วกู้คืนศักดิ์ศรีความฝันและอนาคตของเขา
“น่าสนใจนี่” เย่เชียนฉีกยิ้มแต่ก็ไม่ได้ผ่อนคลายการโจมตีของเขาเพราะถึงแม้ว่าวิธีการเคลื่อนไหวของดีห์ราห์จะยุ่งยากและแปลกประหลาดแต่มันก็ค่อนข้างง่ายดายสำหรับเย่เชียนที่มีประสบการณ์การต่อสู้และผ่านสงครามมามากมายและเดินผ่านชีวิตและความตายมานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะละเลยหรือหย่อนยานเพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์มากมายแต่เขาก็ยังไม่เคยได้เผชิญหน้ากับทักษะการต่อสู้ผสมผสานโยคะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เย่เชียนรู้สึกแปลกๆและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับศัตรู ซึ่งแน่นอนว่าการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างยากกว่าปกติแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเย่เชียนอยู่ดี
มันยังคงเป็นประโยคเดิมว่าศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงบนโลกใบนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะนี้การโจมตีของเย่เชียนนั้นก็รวดเร็วราวกับสายฟ้าและรุนแรงราวกับอุกกาบาต ซึ่งถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของดีห์ราห์จะแปลกประหลาดและยุ่งยากแต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เย่เชียนเลยแม้แต่น้อยและไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้โจมตีกลับเลย
สิ่งนี้ทำให้ดีห์ราห์ถึงกับตกตะลึงอย่างมากเพราะถ้าหากเขาไม่สามารถตอบโต้ได้เช่นนี้ต่อไปมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความล้มเหลวเท่านั้นที่รอเขาอยู่ ดังนั้นเขาต้องเปลี่ยนความพ่ายแพ้นี้ให้เป็นชัยชนะให้ได้โดยการกลับมารุกแทนที่จะปล่อยให้เย่เชียนรุกอยู่ฝ่ายเดียวและใช้คำพูดกดดันเขา อย่างไรก็ตามมันก็ยากมากที่จะทำแบบนั้นได้เพราะการโจมตีของเย่เชียนนั้นเป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่เป็นระลอกคลื่นทีละลูกและทำให้เขาไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย
เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะดีห์ราห์ได้แต่เขาก็ยังต้องระมัดระวังเพราะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดและยุ่งยากของดีห์ราห์นั้นไม่สามารถประมาทได้เลย
หลินเฟิงกับไป๋ฮวยที่เห็นฉากนี้และพวกเขาก็ตื่นเต้นกันอย่างมากแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะทักษะของเย่เชียนที่รวดเร็วและรุนแรงแต่เป็นเพราะทักษะการหลบหลีกของดีห์ราห์อย่างชาญฉลาดทุกครั้ง ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นและประหลาดใจอย่างมากจนทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ได้ตั้งใจและทั้งสองก็เห็นความคิดเดียวกันจากสายตาของกันและกันเพราะทักษะการต่อสู้ผสมผสานโยคะนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเพราะพวกเขาเพียงแค่ดูการแข่งขันบนเวทีพร้อมกับการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องและจ้องมองอย่างใกล้ชิดกับทุกเคล็ดลับและทักษะที่ดีห์ราห์ใช้ ซึ่งพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดแบบเดียวกันกับเย่เชียนเพราะถ้าหากพวกเขาสามารถผสมผสานทักษะโยคะของดีห์ราห์เข้ากับทักษะการต่อสู้ของพวกเขาได้มันจะเป็นอย่างไร?
ในขณะนี้การเคลื่อนไหวของเย่เชียนก็ดุเดือดขึ้นในทันทีและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและแม้แต่รูม่านตาของเขาก็ส่องแสงสีแดงจางๆจนมันน่ากลัวและทำให้ผู้คนที่ได้เห็นหนาวสั่นไปทั้งตัวลึกลงไปถึงกระดูก ซึ่งถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของเย่เชียนนั้นจะเรียบง่ายและตรงไปตรงมาก็ตามแต่พลังการโจมตีของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างมากและนี่คือการผสมผสานของพลังชี่และพลังกายของเย่เชียนนั่นเอง ซึ่งมันมาจากการฝึกฝนในการต่อสู้จริง ดังนั้นการโจมตีแบบตรงๆและเรียบง่ายมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรับมือได้ง่ายๆเสมอไป
ข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทักษะการโจมตีแบบนี้คือสามารถย่นระยะการโจมตีเป็นเส้นตรงได้และมันก็รวดเร็วและไม่เปลืองพลังงาน เนื่องจากเย่เชียนได้ผสมผสานศิลปะการต่อสู้หมัดหย่งชุนกับมวยไทยเข้าด้วยกันมันจึงทำให้พลังการโจมตีของเย่เชียนมีพลังอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้เย่เชียนนั้นไม่เคยคิดที่จะใช้การโจมตีแขนงนี้มาก่อนเลยเพราะพลังการทำลายล้างของมันรุนแรงเกินไปและการเคลื่อนไหวมันก็ดูดุร้ายอย่างมากซึ่งถ้าหากไม่ระมัดระวังล่ะก็มันสามารถทำให้คู่ต่อสู้ตายได้ภายในชั่วพริบตาเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามทักษะการต่อสู้แบบผสมผสานนี้นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะดีห์ราห์ เนื่องจากระยะทางที่สั้นลงและรวดเร็วที่สุดเท่าที่เย่เชียนสามารถทำได้นั้นจึงทำให้ดีห์ราห์ไม่มีโอกาสที่จะใช้ทักษะการต่อสู้โยคะตอบโต้จนดีห์ราห์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถโต้ตอบอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นฉากนี้ไป๋ฮวยก็ขมวดคิ้วแล้วแสดงรอยยิ้มที่โล่งใจออกมาเพราะทักษะการต่อสู้แบบผสมผสานของเย่เชียนในครั้งนี้นั้นแม้แต่ไป๋ฮวยเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาได้เห็นแล้วไป๋ฮวยก็อดแปลกใจไม่ได้แต่เขาก็โล่งใจมากซึ่งแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้หย่อนหยานและละเลยต่อการพัฒนาทักษะของเขาไปเพราะอำนาจและเงินจนไม่ลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการต่อสู้ไป
ส่วนหลินเฟิงนั้นก็จมดิ่งลงไปในห้วงลึกและเขาก็ไม่สามารถละสายตาได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้เขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเย่เชียนมาสักพักแล้วแต่เขากลับไม่เคยเห็นเย่เชียนใช้ทักษะการผสมผสานมวยจีนเข้ากับมวยไทยมาก่อนซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเคลื่อนไหวแบบตรงๆแต่ทว่ามันก็รวดเร็วรุนแรงและแม่นยำในคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้เห็นทักษัการต่อสู้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเขาก็ต้องแปลกใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าใครแข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่าเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ทั้งหมดทุกแขนง แต่ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือพลังการทำลายล้างของทักษะที่เย่เชียนใช้อยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าทักษะไหนๆที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมดอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับพลังที่ชั่วร้ายในร่างกายของเย่เชียนแล้วจึงทำให้การเคลื่อนไหวของเย่เชียนนั้นคมดุจดั่งมีด ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไอ้บ้าเอ๊ย!..นายซ่อนมันเอาไว้ตลอดเลยเหรอ..มีทักษะดีๆแบบนี้แล้วทำไมถึงไม่เอาออกมาใช้ตั้งแต่แรกล่ะ” หลินเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปที่ไป๋ฮวยและถามว่า “ไป๋ฮวย..นายเคยเห็นเย่เชียนใช้ทักษะการต่อสู้แขนงนี้มาก่อนหรือเปล่า?”
.
.
.