ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 709 ยึดอำนาจ ตอนที่ 7
ตอนที่ 709 ยึดอำนาจ ตอนที่ 7
พฤติกรรมของคาเอดะก็เข้าใจได้เพราะถ้าหากอยากรอดชีวิตมันก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำได้เพียงแต่ว่าถ้าทำอย่างนี้ต่อหน้าศัตรูล่ะก็คนๆจะสูญเสียศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อแต่ก็ต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะและดูถูกเหยียดหยามไปตลอดชีวิต
เย่เชียนก็ส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เพราะคาเอดะนั้นโง่เขลามากและเขาก็ไม่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าของเขาเลย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าดันโซบายาชินั้นต้องการเย้ยหยันตระกูลฟูมะและต้องการเยาะเย้ยพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะยอมแพ้ถึงยังไงดันโซบายาชิก็ไม่ปล่อยพวกเขาไปอยู่ดี
ดันโซบายาชิก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขและพูดอย่างมีชัยว่า “ผู้อาวุโสฟูมะ!..ตอนนี้คุณมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าลูกหลานที่คุณภาคภูมิใจนักหนานั้นเป็นคนที่ขี้ขลาดกลัวตายแบบนี้” จากนั้นก็พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ฟูมะฮายาคุจิ..คุณลืมไปแล้วหรือยังว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่ลูกชายของผมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากคุณแล้วคุณพูดว่าอะไรนะ?..คุณดูถูกเหยียดหยามตระกูลของผมว่าตระกูลดันโซไม่คู่ควรกับการเป็นสมาชิกของสำนักอิงะ..แล้วเป็นไงล่ะ?..ตอนนี้หลานชายของคุณเองไม่ใช่เหรอที่คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างน่าสมเพช..เป็นยังไงบ้างรสชาติของการถูกเยาะเย้ย?”
ใบหน้าของฟูมะฮายาคุจิก็ดูขมขื่นอย่างมากและนี่ก็เป็นความทรงจำที่เขาไม่อยากนึกถึงเพราะครั้งหนึ่งลูกชายของดันโซบายาชิได้คุกเข่าลงต่อหน้าเขาและขอความเมตตาจากเขาแต่ลูกชายของดันโซบายาชิกลับถูกลงโทษจนถึงแก่ความตายและตระกูลดันโซก็ถูกเยาะเย้ยมาโดยตลอดและในทศวรรษต่อๆมาตระกูลดันโซก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีก นี่คือความอัปยศของดันโซบายาชิอย่างยิ่งและเขาก็ยังคงเก็บความแค้นนี้เอาไว้ในใจและไม่เคยคิดที่จะลืมมันไปและนับตั้งแต่วันนั้นมาดันโซบายาชิจึงได้วางแผนกวาดล้างตระกูลฟูมะเพื่อที่เขาจะทำให้ตระกูลฟูมะทั้งหมดได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นเดียวกับตัวเขาเอง หลังจากรอมานานถึงยี่สิบปีในที่สุดดันโซบายาชิก็ทำสำเร็จได้สักที
คนต้องการหน้าต้นไม้ต้องการเปลือกและสำหรับคนที่มีตำแหน่งที่สำคัญอย่างฟูมะฮายาคุจินั้นหน้าตาในสังคมก็มักจะสำคัญกว่าชีวิตเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายใจและน่าสมเพชอย่างยิ่งที่ผู้นำสำนักนินจาอิงะอันยิ่งใหญ่ต้องถูกผู้อื่นเย้ยหยันและเยาะเย้ยและที่สำคัญกว่านั้นถึงแม้หลานชายของเขาจะไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองจนทำให้ตระกูลฟูมะต้องเสื่อมเสียเขาก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมามองได้อีก ซึ่งทำให้ฟูมะฮายาคุจิละอายใจอย่างยิ่งเขาจึงมองไปที่คาเอดะอย่างดุเดือดและตะโกนว่า “เจ้าหลานชายไร้ประโยชน์..ฉันจะฆ่าเอ็งด้วยมือของฉันเองเพื่อที่ตระกูลฟูมะของเราจะได้ไม่ต้องเสื่อมเสียเกียรติ!..เอ็งคิดเหรอว่าตาเฒ่านั่นจะปล่อยเอ็งไป..เขามันก็แค่อยากที่จะดูถูกตระกูลของเราเท่านั้น”
ดันโซบายาชิก็แสยะยิ้มแล้วเหลือบมองไปที่คาเอดะและพูดว่า “ปู่ของแกพูดถูก..ฉันก็แค่ล้อเล่น..แต่ถ้าแกทำงานบางอย่างให้มันก็น่าพิจารณาอยู่”
“ผมทำได้” คาเอดะพูดอย่างกระวนกระวาย “ผมจะทำทุกอย่างที่คุณสั่งให้ทำตราบใดที่คุณปล่อยผมไป”
“มันก็ง่ายๆ” ดันโซบายาชิพูด “ฆ่าฟูมะฮายาคุจิปู่ของแกซะแล้วฉันจะปล่อยแกไป..แกจะอยู่หรือตายมันก็ขึ้นอยู่กับตัวแกเอง”
คาเอดะก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวซ้ำแล้วพูดว่า “เอ่อ…คือ…ผม…ผมจะฆ่าปู่ของตัวตัวเองได้ยังไง..ไม่..ไม่มีทาง!”
ซ่งหลันที่ดูสิ่งต่างๆอยู่ข้างๆเห็นว่าคาเอดะนั้นเหมือนคนที่โง่เขลาเช่นนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เพราะเขาไม่เหมือนคนที่ดูเป็นสุภาพบุรุษก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้แน่นอนว่าคนเรามักจะกลัวความตาย แต่สิ่งที่สำคัญก็คือถ้าหากสำนักนินจาอิงะถูกทำลายไปมันจะส่งผลเสียต่อองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นซ่งหลันจึงหันไปมองเย่เชียนและต้องจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอก็คิดว่าเย่เชียนคงรู้อยู่แล้วว่าเธอจะสื่ออะไร เมื่อคิดเช่นนั้นเธอก็ยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับเย่เชียน
เย่เชียนก็รู้ดีว่าถ้าหากสำนักนินจาอิงะถูกทำลายไปมันก็จะบรรเทาความกดดันอันมหาศาลให้กับสมาคมมังกรดำ เพื่อที่สมาคมมังกรดำจะได้สามารถจัดการสิ่งต่างๆอย่างองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่า อย่างไรก็ตามมันก็เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะปล่อยให้ฟูมะฮายาคุจิอยู่ในอำนาจต่อไปเพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นท้ายที่สุดแล้วตระกูลฟูมะก็ต้องสงบศึกกับสมาคมมังกรดำเป็นแน่ ดังนั้นถ้าหากฟูมะฮายาคุจิยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำต่อไปมันก็เป็นผลเสียกับองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าเช่นกัน นอกจากนี้เย่เชียนก็ยังอยากรู้ว่านากาซาวะเคโกะต้องการจะทำอะไรและดูว่าผู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผู้หญิงคนนี้คือใคร
เนื่องจากเย่เชียนมีแผนการบางอย่างซ่งหลันจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ไปมากกว่านี้เพราะเธอสนับสนุนการตัดสินใจของเย่เชียนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเธออาจจะเก่งกว่าเย่เชียนในเชิงการจัดการธุรกิจแต่ในแง่ของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและใช้กลยุทธ์นั้นเธอไม่เก่งเท่าเย่เชียน
ฟูมะฮายาคุจิก็ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ดันโซบายาชิ!..ถ้าแกมีความสามารถก็ลงมือทำเองซะสิ..มาเจอกับฉันตัวต่อตัวหน่อยเป็นไง..อย่าทำให้จิตวิญญาณแห่งบูชิโดของชาติญี่ปุ่นต้องเสื่อมเสีย!”
ดันโซบายาชิก็หัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “ฮ่าๆ..คุณไม่สมควรตายด้วยน้ำมือของผมหรอก” จากนั้นเขาก็จ้องไปที่คาเอดะแล้วพูดว่า “แกจะไม่ทำอย่างงั้นเหรอ?..ถ้าไม่อยากตายก็ฆ่าเขาซะ!..ทำตามที่ฉันสั่งอย่างเชื่อฟังจะดีกว่าไม่อย่างนั้นแกเองที่จะต้องตาย..คิดให้ดีนะเพราะแกยังหนุ่มยังแน่นอนาคตของแกยังอีกไกล..ถ้าแกตายไปแบบนี้มันก็ไม่คุ้ม”
คาเอดะก็ถึงกับตกตะลึงเพราะเขาไม่อยากตายแต่มันก็น่าสลดใจอย่างมากที่ต้องฆ่าปู่ของตนด้วยน้ำมือของตัวเอง
“ทำไมเหรอ?..ถ้าแกไม่ทำฉันจะเป็นคนส่งแกลงนรกเอง” นากาซาวะเคโกะพูด หลังจากนั้นเธอก็ดึงมีดออกมาจากเสื้อและกำลังจะแทงไปที่คาเอดะ
“เดี๋ยวก่อน!” คาเอดะพูดด้วยความตื่นตระหนก “ผมจะทำ..ผมจะทำ”
นากาซาวะเคโกะก็ยิ้มอย่างมีชัยและเก็บมีดของเธอกลับไป เมื่อเห็นเช่นนั้นคาเอดะก็เหลือบมองไปที่ฟูมะฮายาคุจิแล้วพูดว่า “ท่านปู่ยกโทษให้หลานชายคนนี้ด้วย..ถ้าปู่ตายเราจะสามารถรักษาสายเลือดของตระกูลฟูมะของเราเอาไว้ได้..ท่านปู่จะไม่ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์” คาเอดะเดินไปทางฟูมะฮายาคุจิอย่างช้าๆ
“แม่งเอ๊ย!” ฟูมะฮายาคุจิตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ฉันเลี้ยงดูขยะอย่างเอ็งมาได้ยังไง..แทนที่จะยอมตายอย่างสมเกียรติแต่แกกลับทำให้ตระกูลฟูมะต้องเสื่อมเสีย..ถ้าเป็นแบบนั้นฉันยอมฆ่าเอ็งด้วยมือของฉันซะยังดีกว่า” ทันทีที่คำพูดจบลงฟูมะฮายาคุจิก็ยืนขึ้นและดาบคาตานะในมือของเขาก็แทงทะลุหน้าอกของคาเอดะในทันที
ถึงแม้ว่าฟูมะฮายาคุจิจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้แต่เขาก็ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้น นอกจากนี้ทักษะของเขาก็ยังสูงกว่าคาเอดะมากและเป็นคนสอนหลานชายของเขาเอง ดังนั้นคาเอดะจึงไม่มีทางที่จะตอบโต้ได้เลย ซึ่งดาบได้แทงทะลุหัวใจของเขาอย่างรุนแรงและเลือดก็ทะลักออกมาทางร่างกายของเขา
คาเอดะก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าปู่ของเขาที่รักเขามาโดยตลอดจะลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเอง ในเวลานี้ความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดของคาเอดะก็กระตุ้นให้เขาจับดาบเอาไว้แน่นและเลือดของก็ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องตามปลายนิ้วและใบมีด “ท่านปู่…ท่านทำแบบนี้ได้ยังไง?” คาเอดะพูดอย่างขมขื่น
ฟูมะฮายาคุจิก็พูดอย่างเศร้าใจว่า “ยอมตายเสียดีกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างอับอาย..ไม่ต้องกังวลไปฉันจะล้างแค้นโดยการฆ่าดันโซบายาชิให้เอง” หลังจากนั้นฟูมะฮายาคุจิก็ดึงดาบคาตานะออกมาแล้วมองดูคาเอดะล้มลงไปกับพื้นอย่างช้าๆ
ฮัตโตริชิฮิโระก็ไม่มีท่าทีใดๆเพราะในความเห็นของเขานั้นฟูมะฮายาคุจิกับคาเอดะต่างก็เป็นคนที่ถูกสาปและสมควรถูกลงโทษเช่นนี้จริงๆและรู้ดีว่าวันนี้เขาเองก็คงจะไม่สามารถรอดชีวิตออกไปได้ดังนั้นเขาจึงไม่หวังอะไรมากเข้าเพียงเฝ้ามองด้วยสายตาที่เย็นชาและค่อยๆทำสมาธิอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาบาดแผลและประคองความบาดเจ็บเอาไว้ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะต้องตายแต่ถึงยังไงเขาก็ต้องลากฟูมะฮายาคุจิกับดันโซบายาชิไปลงนรกกับเขาด้วย
เมื่อมองร่างของคาเอดะที่กำลังล้มลงไปกับพื้นอย่างช้าๆด้วยความเศร้าโศก ซึ่งฟูมะฮายาคุจิก็สิ้นหวังอย่างมากเพราะการทำเช่นนี้ก็เท่ากับการทำลายอนาคตของตระกูลฟูมะเช่นกัน แต่ในกรณีนี้มันคงจะดีกว่าในแง่ของศักดิ์ศรีและเกียรติของวงศ์ตระกูล ซึ่งอย่างน้อยๆการทำแบบนี้ก็ไม่ทำให้บรรพบุรุษเสียใจ
หลังจากสลัดเลือดที่ดาบของเขาแล้วฟูมะฮายาคุจิก็ตะโกนอย่างเดือดดาลและรีบพุ่งไปที่ดันโซบายาชิพร้อมกับพูดว่า “ตายซะ!” ทันทีที่เสียงจบลงดันโซบายาชิก็ผลักนากาซาวะเคโกะออกไปแล้วคว้าดาบคาตานะจากศิษย์ของตระกูลดันโซข้างหลังเขาและโต้กลับฟูมะฮายาคุจิ
“ว่ากันว่าตระกูลฟูมะมีวิชาดาบที่สูงส่งที่สุดในสำนักอิงะ..ผมขอชมมันกับตาหน่อยและมาดูว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน” ดันโซบายาชิชักดาบคาตานะออกมาและเพื่อป้องกันการฟันของฟูมะฮายาคุจิแต่ทว่าดันโซบายาชิกลับพลิกข้อมือเพื่อเปลี่ยนทิศทางแทงสวนเข้าไปโดนหน้าอกของฟูมะฮายาคุจิ
ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะวิชาดาบและกระบวนท่าที่ดันโซบายาชิใช้นั้นไม่ใช่กระบวนท่าของประเทศญี่ปุ่นเพราะพื้นฐานวิชาดาบของประเทศญี่ปุ่นนั้นเน้นการฟันเป็นหลักและมีการเคลื่อนไหวแบบแทงเพียงเล็กน้อย แต่ทว่ากระบวนท่าของดันโซบายาชินั้นไม่ใช่การสับและฟันเพราะส่วนใหญ่เป็นการแทงและคล้ายกับวิชาดาบของประเทศจีน
วิชาดาบของประเทศญี่ปุ่นกับวิชาดาบของประเทศจีนนั้นไม่สามารถวัดได้ว่าของประเทศไหนดีกว่ากันและไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้ใดต่างก็มีข้อดีข้อเสียของการเคลื่อนไหวและไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะกำหนดชัยชนะ ซึ่งกุญแจที่สำคัญคือคนที่ใช้ไหวพริบและปัจจัยโดยรอบเสียมากกว่า
ฟูมะฮายาคุจิก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขาเองก็รู้จักดันโซบายาชิเป็นอย่างดีและรู้ว่าทักษะการต่อสู้ของตระกูลดันโซนั้นด้อยกว่าตระกูลของตนมากและไม่สามารถเทียบชั้นกับตนได้เลย แต่ทว่าในตอนนี้ทักษะการต่อสู้และวิชาดาบของดันโซบายาชินั้นไม่ได้อ่อนแอเลยซึ่งทำให้ฟูมะฮายาคุจิต้องประหลาดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
.
.
.
.
.
.