ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 628 มื้อเที่ยง
ตอนที่ 628 มื้อเที่ยง
ข้อโต้แย้งนั้นไม่จำเป็นว่าผู้ชนะจะชนะและผู้แพ้จะต้องแพ้เพราะมันอยู่ที่วิธีการที่เฉพาะเจาะจงมาก
หากย้อนเวลากลับไปได้เย่เชียนก็คงไม่โง่พอที่จะพูดอะไรแบบนี้อีกเพราะเขาไม่นึกเลยว่าคาเอดะจะไร้สาระจนไม่ยอมเรื่องแบบนี้ สำหรับคนที่ฉลาดเขาก็จะไม่สนใจเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก อย่างไรก็ตามคาเอดะก็ยังคงมีสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามและยังสวมหน้ากากแสดงออกของสถภาพบุรุษอย่างไร้ยางอาย
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้สึกหดหู่เพราะคำพูดนั้นเหล่านั้นได้พูดออกไปแล้วและเขาไม่สามารถเอามันกลับคืนมาได้ ดังนั้นเมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนแล้วหลินเฟิงกับซ่งหลันก็อยากที่จะหัวเราะออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้นหลินเฟิงก็เอนตัวเข้าไปข้างๆหูของเย่เชียนและกระซิบเบาๆว่า “นายทำตัวเองฮ่าๆ!”
เย่เชียนก็เหลือบมองหลินเฟิงอย่างหมดหนทางและไม่สนใจเขาอีก
หลังจากออกจากสำนักงานใหญ่เครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่คาเอดะและถามว่า “คุณคาเอดะคุณชอบอาหารแบบไหนหรอ..อาหารตะวันตก..อาหารจีนหรืออาหารญี่ปุ่น?”
“ผมรู้จักร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่และบังเอิญผมเป็นแขกVIPของที่นั่น..เพราะงั้นเราไปลองอาหารที่นั่นกันดีไหม..ในฐานะเจ้าบ้านผมจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อนี้เอง” คาเอดะพูด
“คุณคาเอดะชอบอาหารญี่ปุ่นหรอ..ถ้างั้นผมก็ขอรบกวนด้วย..แต่ผมชอบอาหารจีนมาก” เย่เชียนพูด
“อืม..คุณเย่อยากทานอาหารจีนหรอ..คุณเย่มาในฐานะแขกเพราะงั้นเลือกตามใจคุณได้เลย” คาเอดะนั้นตั้งใจที่จะทำเช่นนี้เพราะเขาต้องการทำให้เย่เชียนเสียหน้า
“ไปกันเถอะ” เย่เชียนส่ายหัวเบาๆแล้วพูด
“ผมจะขับรถไปเองคุณช่วยขับรถนำทางให้ผมหน่อยก็แล้วกัน” คาเอดะพูด
เย่เชียนก็ไหล่เบาๆและพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาไม่จำเป็นต้องเชิญชวนคาเอดะให้ขึ้นรถไปกับเขาเพราะเขาได้เรียนรู้ถึงความอัปยศและความผยิ่งผยองของคาเอดะแล้ว ดังนั้นคาเอดะจะต้องรักศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างมาก
ก่อนลงไปที่ชั้นล่างซ่งหลันก็ได้โทรหาอู๋หวนเฟิงแล้วและรถก็จอดรอที่ประตูแล้วเพราะเขาเป็นบอดี้การ์ดของซ่งหลันดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการขับรถด้วย ซึ่งรถมีเกียร์อัตโนมัติเพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะมีเพียงแขนเดียวก็ตามแต่เขาก็ไม่มีปัญหาในการขับขี่ใดๆ
เมื่อเปิดประตูรถและเข้าไปข้างในรถแล้วเย่เชียนก็ทักทายอู๋หวนเฟิงจากนั้นอู๋หวนเฟิงก็ขับรถออกไป ซึ่งหลินเฟิงนั้นนั่งในตำแหน่งข้างคนขับส่วนเบาะหลังจะเป็นเย่เชียนและซ่งหลัน เมื่อเห็นหลินเฟิงเช่นนี้อู๋หวนเฟิงก็ถึงกับตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเพราะมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณและสัญชาตญาณที่สัมผัสถึงผู้ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากแขนของอู๋หวนเฟิงขาดไปข้างหนึ่งดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังตัวเพื่อความปลอดภัยของซ่งหลันอย่างมากและต้องมีสมาธิมากกว่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าคนอื่นๆทุกคน ดังนั้นสัมผัสการรับรู้ถึงอันตรายของอู๋หวนเฟิงจึงดีกว่าคนอื่นมากเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าและจิตสังหารที่รุนแรงที่เล็ดลอดออกมาจากหลินเฟิงได้และถึงแม้ว่ามันจะอยู่ภายใต้การปกปิดของหลินเฟิงก็ตามแต่มันก็ยังรุนแรงอยู่ดีเพราะท้ายที่สุดหลินเฟิงก็เป็นถึงผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลที่ได้รับการฝึกฝนผ่านชีวิตและความตายมานับครั้งไม่ถ้วนจนมีกลิ่นอายแห่งความตายที่หลินเฟิงสะสมมาหลายปีมันจึงไม่สามารถปกปิดได้อย่างสมบูรณ์
“พี่หลัน..หวนเฟิง..ฉันจะแนะนำให้..เขาคือผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลในตำนาน..หลินเฟิง!” เย่เชียนพูด
“ตอนนี้ผมเป็นบอดี้การ์ดของประธานเย่แล้ว!” หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองซ่งหลันแล้วพูดว่า “สายฟ้าราตรีแห่งดาร์คลิลลี่..ผมได้ยินชื่อเสียงและเรื่องราวของคุณมานานแล้ว..เป็นโชคที่ดีของผมจริงๆที่ได้พบคุณ!”
“คุณหลินก็พูดเกินไป..ฉันไม่เหมาะสมกับฉายานั้นหรอก” ซ่งหลันพูดว่า “คุณหลินผู้นำแห่งองค์กรเซเว่นคิลในตำนาน..สาวน้อยคนนี้ชื่นชมคุณจริงๆ”
“อย่าสุภาพกันเลย..เราก็คนกันเอง” เย่เชียนพูดต่อ “พี่หลินมาที่นี่เพื่อช่วยฉันในครั้งนี้และเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเขี้ยวหมาป่าของเรา”
พันธมิตรเชิงกลยุทธ์? คำคุณศัพท์นี้ทำให้หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมขื่นเพราะยิ่งฟังมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรสองโลกและสองกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามมันก็ควรค่าแก่ชื่อนี้ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะอธิบายเช่นนี้
“หมาป่าเหินเวหาอู๋หวนเฟิง..ผู้ครอบครองทักษะมีดบินที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก..เมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันชอบดูหนังจอมยุทธและชอบมีดบินของเซียวหลี่เป็นพิเศษและอิจฉาทักษะมีดบินของเขามาก..ฉันไม่คิดเลยว่าในโลกใบนี้มันจะมีคนทำแบบนั้นได้จริงๆ..ตอนนี้อู๋หวนเฟิงคือเซียวหลี่ในชีวิตจริงฉันล่ะอิจฉาจริงๆ..ถ้ามีโอกาสน้องอู๋ต้องสอนให้ฉันด้วยละเพราะฉันสนใจทักษะมีดบินมาก” หลินเฟิงพูดอย่างจริงใจและหลินเฟิงก็กำลังพูดความจริงเพราะเขาเคยฝึกมีดบินแต่ผลที่ได้ก็ไม่น่าพอใจนักเพราะเขารู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไป ซึ่งทักษะการขว้างมีดบินนั้นไม่ง่ายนักที่จะฝึกฝนเพราะมันมีความพิเศษเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับการใช้ความแข็งแกร่งและความแม่นยำ ซึ่งมันมีหลายสิ่งหลายอย่างเกินกว่าจะเน้นไปที่การฝึกขว้างมีดบินอย่างเดียวดังนั้นหลินเฟิงจึงไม่สามารถบรรลุได้และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นทักษะมีดบินของอู๋หวนเฟิงด้วยตาของตัวเองก็ตามแต่จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นเขาก็เชื่อจริงๆว่าทักษะการขว้างมีดบินของอู๋หวนเฟิงนั้นทรงพลังตามคำร่ำลืออย่างยิ่ง
“คุณหลินก็ชื่นชมผมเกินไป..มันก็เป็นแค่เล่ห์เหลี่ยมของเด็กๆเท่านั้น..ว่าแต่ทักษะวิชาลับไร้เงาของคุณหลินน่ะผมเคยได้ยินวิชาลับไร้เงาขององค์กรเซเว่นคิลมานานแล้ว..ถ้างั้นเมื่อมีเวลาเรามาแลกเปลี่ยนทักษะกันเถอะ” อู๋หวนเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มที่ยินดี
หลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน..เพราะตอนนี้พวกเราทุกคนล้วนเป็นพรรคพวกกันและการเรียนรู้จากกันและกันคือสิ่งที่มันควรจะเป็น..เพราะการเรียนรู้เท่านั้นที่ทำให้เราสามารถก้าวหน้าและพัฒนาได้..คนอย่างพวกเราไม่สามารถหยุดนิ่งได้..เพราะงั้นน้องอู๋คราวหน้าเรามาแลกเปลี่ยนทักษะกันเถอะ..เอาล่ะเหมือนที่น้องเย่พูดก่อนหน้านี้ว่าอย่าสุภาพกันไปเลย..ถ้างั้นก็เรียกฉันว่าพี่หลินก็พอ..แต่ตัวตนปัจจุบันของฉันคือบอดี้การ์ดของประธานเย่และมันก็ไม่เหมาะสมที่นายจะเรียกฉันว่าคุณหลิน”
เย่เชียนก็พูดอย่างหดหู่ใจว่า “พี่หลินจะล้อเลียนคำพูดของผมไปถึงไหน..โถ่ผมไม่ได้เอาเปรียบพี่สักหน่อย”
หลินเฟิงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าๆ..ก็มันจริงไม่ใช่เหรอ”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็สนใจคำพูดของหลินเฟิงมากว่าคนอย่างพวกเขาไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะถึงแม้ว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขี้ยวหมาป่าในปัจจุบันจะไม่ได้อ่อนแอแต่มันก็ไม่ควรที่จะหยุดอยู่แค่นี้เพราะเขี้ยวหมาป่าเองก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนเป็นของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นหากสามารถชดเชยจุดอ่อนด้วยทักษะและกลยุทธ์ขององค์กรเซเว่นคิลได้ล่ะก็มันจะทำให้เขี้ยวหมาป่าพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น
เมื่อนึกถึงการที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าได้เรียนรู้ทักษะวิชาลับไร้เงาขององค์กรเซเว่นคิลนั้นมันไม่ใช่การเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขี้ยวหมาป่าเล็กๆน้อยๆเลยเพราะมันอาจจะพูดได้เลยว่านี่จะเป็นการปฏิรูปการสร้างยุคใหม่ของทหารรับจ้างเลยก็เป็นได้
ซึ่งเย่เชียนนึกถึงภาพที่หมาป่าผีไป๋ฮวยมาช่วยอีกแรงด้วยซึ่งบางทีมันอาจจะเหมือนกับตำนานในอดีตที่เมื่อสามนักรบมาบรรจบกันจนเกิดเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งนั้นโลกใบนี้คงจะเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
คาเอดะก็ขับรถตามหลังรถของเย่เชียนไปตลอดทางและไม่ได้รีบร้อนหรือช้าจนเกินไปโดยรักษาระยะห่างเอาไว้เสมอ หลังจากได้พบกับเย่เชียนแล้วเขาก็รู้สึกว่าเย่เชียนมีอะไรแปลกประหลาดอย่างยิ่งจนเขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียน ซึ่งในฐานะที่เป็นคาเอดะฝึกทักษะและวิชานินจามาตั้งแต่เด็กเขาจึงสามารถสัมผัสได้ถึงพลังความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเย่เชียนได้โดยธรรมชาติ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพลังที่อยู่ในตัวของเย่เชียนนั้นคืออะไรแต่เขาก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน
ถึงแม้ว่าอิงะกรุ๊ปและเครือน่านฟ้ากรุ๊ปจะมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันเชิงธุรกิจก็ตามแต่หลังจากผ่านมาหลายปีในวงการธุรกิจแล้วคาเอดะก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ความร่วมมือในเชิงธุรกิจนั้นไม่มีอะไรที่แน่นอนและอาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็เป็นคู่แข่งทางความรักของเขาด้วย ดังนั้นเขาจะไม่ระแวงเกี่ยวกับเย่เชียนได้อย่างไร? ซึ่งอย่างน้อยๆเขาก็ควรรู้ด้วยว่าสิ่งที่เย่เชียนแสดงให้เขาเห็นในตอนนี้คือของจริงหรือเสแสร้งใช่ไหม?
หลังจากหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาคาเอดะก็โทรออกและขอให้ใครสักคนตรวจสอบรายละเอียดของเย่เชียนจากนั้นก็อธิบายสั้นๆและสั่งให้คนเหล่านั้นทำบางสิ่งบางอย่างที่ตนขอแล้ววางสายไปอย่างพึงพอใจจนมีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างภาคภูมิใน เพราะเขาไม่เชื่อว่าเย่เชียนจะยังคงเสแสร้งแกล้งทำในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
เมื่อเห็นรถของเย่เชียนหยุดที่ร้านอาหารจีนแล้วคาเอดะก็ค่อยๆหยุดรถอย่างช้าๆ ซึ่งนี่คือไชน่าทาวน์ของเมืองโตเกียวและเขาก็เคยมาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับมันดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วเพราะท้ายที่สุดแล้วนี่คือเขตของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงและถึงแม้ว่าคาเอดะจะไม่เกรงกลัวแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงก็ตามแต่มันคงจะไม่ดีที่จะสร้างปัญหาในเขตดังกล่าวเพราะผลกระทบมันจะเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามคาเอดะก็ไม่มีเหตุผลที่จะสร้างความวุ่นวายในตอนนี้ยิ่งไปกว่านั้นบุคลิกของเขาก็เป็นแบบนี้เสมอมาเพราะตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจและมารู้ภายหลังว่ามันผิดเขาก็ยอมรับมันอยู่ดีเพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ ซึ่งอาจพูดได้ว่านี่เป็นความมั่นใจในตนเองและความเย่อหยิ่งของเขานั่นเอง
หลินเฟิงและอู๋หวนเฟิงนั้นลงจากรถก่อนและเปิดประตูให้เย่เชียนกับซ่งหลันและพวกเขาก็เดินออกไปช้าๆ เนื่องจากพวกเขาสวมบทบาทบอดี้การ์ดพวกเขาจึงต้องทำเช่นนี้
เย่เชียนก็เดินจับมือกับซ่งหลันและหันไปมองคาเอดะที่เพิ่งลงจากรถแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญครับคุณคาเอดะ!”
“คุณเย่เชิญเข้าไปก่อนเลยครับ!” คาเอดะยังคงเสแสร้งแสดงท่าทีเป็นสุภาพบุรุษและพูดอย่างเคารพ ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเป็นไปได้เขานั้นต้องการที่จะถลกหนังของเย่เชียนออกเสียตอนนี้
เย่เชียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเขาก็ยักไหล่และเดินเข้าไปในร้านอาหารพร้อมกับซ่งหลัน ส่วนคาเอดะนั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและขมวดคิ้วเพราะเขารู้สึกประหลาดใจไปกับพฤติกรรมของหลินเฟิงและอู๋หวนเฟิงเพราะพวกเขาดูไม่สุภาพและเคารพสักเท่าไหร่ ซึ่งพวกเขาเป็นเพียงบอดี้การ์ดของเย่เชียนและซ่งหลันเช่นนี้แต่พวกเขาจะเดินนำหน้าไปก่อนได้อย่างไร?
.
.
.
.
.
.
.