ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 589 ตกตะลึงแล้วตกตะลึงอีก
ตอนที่ 589 ตกตะลึงแล้วตกตะลึงอีก
คนที่มานั้นเป็นใคร? เขาคือเด็กกำพร้าคนแรกที่ชายชรารับมาเลี้ยงและนั่นก็คือพี่ใหญ่จ้าวกังนั่นเอง ซึ่งเขาได้เข้าร่วมกองทัพเมื่ออายุได้สิบหกปีและไม่ได้พบหน้าเย่เชียนมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว เขานั้นได้รับโทรศัพท์จากหลี่ฮ่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนโดยหลี่ฮ่าวบอกว่าพ่อของเขาป่วยหนัก อย่างไรก็ตามงานที่เขารับผิดชอบนั้นก็มีมากมายจนเขาไม่สามารถหนีพ้นได้ ซึ่งเขานั้นได้พยายามไปหาหัวหน้าเพื่อขอลาแต่หัวหน้ากลับไม่อนุมัติเพราะงั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้และต้องตกอยู่ในความเจ็บปวด
เมื่อสองวันก่อนเขาก็ได้รับสายโทรศัพท์ของหลี่ฮ่าวอีกครั้งว่าพ่อของเขาเสียชีวิตแล้วจนหัวใจของจ้าวกังเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงและน้ำตาก็ไหลออกมา ในฐานะชายชาติทหารเหลือเหล็กคนนี้นั้นก็ไม่สามารถควบคุมน้ำตาของเขาได้อีกต่อไปและเขาก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังอยู่ในภารกิจฝึกแต่จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วเพราะเขาต้องการกลับไปหาพ่อของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงไม่ขอการอนุมัติจากหัวหน้าอีกต่อไปและแอบหลบหนีออกมาจากค่ายทหารอย่างลับๆ และไม่มีแม้แต่เวลาที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่อย่างใดเพราะเขาต้องรีบขึ้นเครื่องบินเพื่อบินมายังเมืองเซี่ยงไฮ้ในทันที
เขานั้นรู้ดีว่าคราวนี้เขาจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างหนักหนาสาหัสแต่เขาก็ยอมเพราะชายชราคือคนที่เลี้ยงดูเขาเหมือนกับบิดาผู้ให้กำเนิดเขาเองหากเขาไม่สามารถมาหาพ่อเป็นครั้งสุดท้ายได้ล่ะก็เขาคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรเพราะถ้าหากเขาพลาดแม้แต่การพบพ่อครั้งสุดท้ายล่ะก็เขาคงจะทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป
จ้าวกังนั้นร้องไห้และคุกเข่าลงใกล้ๆ ร่างของชายชราและหลายคนที่อยู่ด้วยก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเพราะการกระทำของจ้าวกังโดยเฉพาะเหล่าผู้หญิงและคุณนายต่างก็สะอึกสะอื้นร่ำไห้อย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นจ้าวกังแล้วคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ซึ่งเมื่อหลี่ห่าวเห็นสิ่งนี้เขาก็รู้ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นดังนั้นเขาจึงรีบคว้าเย่เชียนเอาไว้และพูดว่า “พี่สองอย่าเลย”
หลินโรวโร่วก็รู้สึกถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเย่เชียนเธอจึงจับแขนอีกข้างหนึ่งของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “เย่เชียนอย่าทำแบบนี้เลย..อย่างน้อยๆ ก็รอจนกว่าจะเสร็จพิธีก่อนได้มั้ย? ”
แต่เย่เชียนนั้นไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปเขาก็สะบัดมือของทั้งสองออกและยืนขึ้นจากนั้นก็เดินไปข้างหน้าจ้าวกัง ซึ่งจ้าวกังนั้นไม่ได้พบเย่เชียนมาสิบปีแล้วดังนั้นเขาจึงจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าของเขาคือเย่เชียน “ปัก!” เย่เชียนต่อยจ้าวกังอย่างดุเดือดและคว้าคอเสื้อของจ้าวกังจากนั้นก็จับเขากระแทกลงกับพื้นแล้วตะโกนว่า “ไอ้พี่บ้า! ..พี่รู้ไหมว่าพ่อคิดถึงพี่มากตอนที่พ่อกำลังจะตาย! ..พ่อถามหาแต่พี่แต่พี่กลับไม่โผล่หน้ามาให้พ่อเห็นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยให้พ่อจากไปด้วยความเสียใจแบบนี้ได้ยังไง!”
หลี่ฮ่าวก็รีบเข้าไปคว้าเอวของเย่เชียนเอาไว้แล้วพูดว่า “พี่สองอย่าทำแบบนี้เลย..พี่ใหญ่คงไม่ได้ต้องการแบบนี้เหมือนกัน..พี่สองยกโทษให้พี่ใหญ่เถอะเพราะถึงยังไงเขาก็มาแล้ว”
“ใช่! ..ฉันมันลูกอกตัญญู..ฉันมันไอ้สารเลว..ฉันขอโทษ! ..ฉันขอโทษ! ..ฉันขอโทษ!” จ้าวกังพูดขณะที่เขากระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างรุนแรงเสียงดังจนแขกที่มาร่วมงานถึงกับตกตะลึงเพราะนี่มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ
หลังจากนั้นไม่นานหน้าผากของจ้าวกังก็แดงบวมและเลือดก็เริ่มไหลออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่ฮ่าวก็รีบห้ามจ้าวกังเอาไว้และเกลี้ยกล่อมเขาว่า “พอแล้ว..พี่ใหญ่อย่าทำแบบนี้”
เย่เชียนนั้นโกรธมากและถึงแม้ว่าเขาและจ้าวกังจะไม่ได้พบกันมานานกว่าสิบปีแต่พวกเขาต่างก็เป็นเด็กกำพร้าที่ชายชรารับมาเลี้ยงเหมือนกันและพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเมื่อเห็นจ้าวกังทำเช่นนี้เย่เชียนก็เป็นห่วงและสูญเสียอาการเล็กน้อยแต่เขายังคงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ผมคิดว่าพี่คงจะไม่กลับมาแล้ว..เพราะถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็พี่จะไม่ใช่พี่ชายของผมอีกต่อไป..พ่ออยู่ที่นี่แล้วเพราะงั้นเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าพ่อซะ”
จ้าวกังสะบัดมือของหลี่ฮ่าวออกแต่เขาก็ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นและค่อยๆ คลานเข่าไปข้างหน้าสองสามก้าวและทุกๆ ครั้งที่เขาคลานเข่าเข้าไปเขาก็กระแทกหัวลงกับพื้นจนทำให้เกิดเสียงดังอย่างมาก
“แขกผู้มีเกียรติมาแล้ว! ” ในเวลานี้เสียงของโฆษกก็ดังขึ้นอีกครั้งและเมื่อสิ้นเสียง ซึ่งครั้งนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกับทารกอยู่ในอ้อมแขนซึ่งทุกคนก็หันมามองและเมื่อเย่เชียนเห็นเธอเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นเพราะแม้แต่จ้าวหยา,หูวเค่อและหลินโรวโร่วต่างก็ประหลาดใจด้วยความตื่นเต้นและมีอาการงุนงงบนใบหน้าของพวกเธอ
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นจ้าวกังคลานเข่าเข้าไปสีหน้าของเธอก็ตกตะลึงเล็กน้อยและจากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนและพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเธอก็เดินไปที่รูปถ่ายของชายชราและโค้งคำนับ
เย่เชียนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะถามเธอแต่ในขณะนี้เขาไม่รู้ว่าจะถามอะไรหรือจะถามยังไงดี จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เดินไปหาจ้าวหยาและพูดเบาๆ ว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! ”
จ้าวหยาก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและพูดว่า “อาเจ๊..เด็กคนนี้คือ..ลูก..”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฉินหยูที่ไปสอนหนังสือในพื้นที่ภูเขาห่างไกลและเธอก็กลับมาพร้อมกับเด็กทารก ซึ่งเมื่อเห็นพฤติกรรมของฉินหยูแล้วเย่เชียนก็คิดอย่างลับๆ และหัวใจของเขาก็สั่นหวั่นไหวทันทีเพราะเด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกของเขาเองใช่ไหม?
“ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง..ขอกระดาษเงินกระดาษทองให้ฉันสองแผ่น! ” ฉินหยูพูด
จ้าวหยาก็พยักหน้าและหันกลับมาหยิบกระดาษเงินกระดาษทองสองแผ่นให้ฉินหยูจากนั้นฉินหยูก็หยิบหนึ่งแผ่นเอาไว้กับตัวเองและอีกหนึ่งแผ่นวางเอาไว้กับเด็กในอ้อมแขนของเธอ เด็กตัวเล็กๆ ที่ลืมตาโตๆ คู่หนึ่งและกำลังมองไปรอบๆ อย่างไม่รู้เรื่องสิ่งต่างๆ “คุณเดินทางเหนื่อยไหม..ทำไมคุณถึงไม่ไปพักผ่อนก่อนล่ะ” เย่เชียนเดินไปที่ด้านข้างของฉินหยูและพูดเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง
ฉินหยูก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ฉันขอโทษนะ! ”
เย่เชียนก็อยู่ในสภาวะงุนงงเพราะเขาไม่เข้าใจว่าคำขอโทษที่ฉินหยูพูดนั้นหมายถึงอะไร เขาทำได้เพียงแค่เหลือบมองเธออย่างว่างเปล่าเพราะหลังจากที่ฉินหยูพูดจบเธอก็หันหน้าไปและดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการพูดคุยตอนนี้จนเย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระงับความสงสัยในหัวใจของเขาเอาไว้โดยไม่ตั้งคำถามเพิ่มเติมเพราะในเวลานี้บรรดาแขกต่างก็มาทักทายกันเยอะมากและเป็นงานศพของพ่อดังนั้นเขาจึงไม่อยากคิดเรื่องอื่นในตอนนี้
อันที่จริงการกระทำของฉินหยูนั้นก็ได้อธิบายทุกอย่างแล้วเพราะถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเย่เชียนหรือถ้าเด็กไม่ใช่ลูกของเย่เชียนล่ะก็เธอก็คงจะไม่พาเด็กทารกมาด้วย ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนี้คือลูกของเย่เชียนและนั่นเป็นเพราะเธอร่วมรักกับเย่เชียนก่อนที่เธอจะเดินทางไปยังพื้นที่ภูเขาห่างไกลนั้นเอง เพียงแค่ว่าทุกคนยังคงมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในใจ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามมันก็ไม่เหมาะสมที่จะถามในตอนนี้และดูเหมือนว่าทุกคนจะต้องรอให้พิธีต่างๆ เสร็จสิ้นก่อนถึงจะถามได้
“แขกผู้มีเกียรติมาแล้ว! ”
ทุกคนก็หันหน้าไปมองอีกเช่นเคยและเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวเดินเข้ามา ซึ่งครั้งนี้ทำให้เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะทั้งคู่เกินความคาดหมายของเย่เชียนไปมาก ซึ่งเย่เชียนไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาด้วยเพราะผู้ชายคือหมาป่าผีไป๋ฮวยในขณะที่หญิงสาวคือหวังยู่ที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน
ไม่เพียงแค่เย่เชียนเท่านั้นแต่หวังปิงเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าหวังยู่ลูกสาวของเขาชอบเย่เชียนและเขาก็หวังว่าหวังยู่จะสามารถอยู่กับเย่เชียนได้แต่เรื่องแบบนี้ในฐานะพ่อนั้นเขาจะเข้าไปยุ่งมากก็ไม่ได้และถึงแม้ว่าเขาจะมีเจตนาที่ดีแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเธอ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเห็นได้ชัดเจนว่าหวังยู่นั้นกำลังคบหากับหมาป่าผีไป๋ฮวยด้วยท่าทางที่กำลังมีความรักเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปและเขาก็มองไปที่หมาป่าผีไป๋ฮวยอย่างสงสัยแต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักหมาป่าผีไป๋ฮวยและไม่รู้ภูมิหลังและประวัติครอบครัวของหมาป่าผีไป๋ฮวยเลย
หวังปิงสามารถเห็นได้เพราะงั้นเย่เชียนเองก็เห็นได้โดยธรรมชาติเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงแปลกใจอย่างมากเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยจะมาพร้อมกับหวังยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้คุยกับชิงเฟิงเกี่ยวกับการหาผู้หญิงสักคนให้กับหมาป่าผีไป๋ฮวยซึ่งแผนนี้อาจจะทำให้ความคิดและแผนการต่างๆ ของหมาป่าผีไป๋ฮวยยุติลงแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้เย่เชียนกับชิงเฟิงเป็นกังวลนั้นมันจะได้รับการแก้ไขเสียแล้ว
พวกเขาทั้งสองก็คำนับต่อหน้ารูปถ่ายของชายชราและหยิบเครื่องหอมกับกระดาษเงินกระดาษทอง จากนั้นหมาป่าผีไป๋ฮวยและหวังยู่ก็เดินไปที่ด้านหน้าของเย่เชียน “นายไม่เหมือนกับเย่เชียนที่ฉันรู้จักเลยนะ..เพราะเย่เชียนที่ฉันรู้จักน่ะไม่มีอะไรที่จะเอาชนะหรือทำร้ายเขาได้..เพราะงั้นอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะไม่งั้นฉันจะไม่เมตตานายในอนาคต” หมาป่าผีไป๋ฮวยพูด
นี่เป็นคำปลอบโยนอย่างชัดเจนแต่หมาป่าผีไป๋ฮวยมักจะพูดแบบนี้เสมอบางทีนี่อาจเป็นวิธีพิเศษในการสื่อสารระหว่างเขากับเย่เชียนก็เป็นได้ ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้โกรธอะไรเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณมากพี่ไป๋ฮวย..ผมดีใจมากที่พี่มา”
หมาป่าผีไป๋ฮวยก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและไม่สนใจเย่เชียนอีกแต่กลับมองดูเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของฉินหยูแทนและพูดว่า “เด็กคนนี้คือลูกของนายงั้นเหรอ..เขาเหมือนนายมากโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นน่ะมันเกือบจะแกะสลักมาจากแม่พิมพ์เลยนะ” หลังจากพูดจบหมาป่าผีไป๋ฮวยก็หยิบจี้หยกที่เขาสวมเอาไว้ออกมาแล้วยัดใส่มือของเด็กทารกแล้วพูดว่า “ฉันรีบเกินไปจนไม่ได้เตรียมอะไรมาด้วย..เพราะงั้นนี่จะเป็นของขวัญให้หนุ่มน้อย”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะและรีบพูดว่า “พี่ทำแบบนี้ทำไม? ..จี้หยกนี้เป็นสมบัติของพี่ไม่ใช่เหรอ? ..มันล้ำค่าเกินไป! ” จี้หยกนี้เย่เชียนจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาหมาป่าผีไป๋ฮวยมักจะสวมมันเอาไว้และตั้งแต่การตายของไป๋ยู่พี่ชายของไป๋ฮวยและเขาก็ไม่ได้ถอดมันออกมาแม้ในขณะที่อาบน้ำก็เช่นกัน ซึ่งจี้หยกนี้ไม่เพียงแค่มีมูลค่าทางการเงินสำหรับหมาป่าผีไป๋ฮวยเท่านั้นแต่ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งทางใจอีกด้วย ดังนั้นเมื่อหมาป่าผีไป๋ฮวยนำจี้หยกนี้ใส่มือของเด็กทารกแล้วเย่เชียนจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“ฉันไม่ได้ให้นายสักหน่อย..เพราะงั้นถ้าเขาไม่ต้องการนายก็บอกให้เขาเอามาคืนให้ฉันในอนาคตก็แล้วกัน” หมาป่าผีไป๋ฮวยพูดต่อ “จี้หยกเส้นนี้เหมาะมากสำหรับเด็กคนนี้..เพราะเขาจะแข็งแกร่งกว่าพ่อของเขาในอนาคต!”
ในเมื่อหมาป่าผีไป๋ฮวยพูดเช่นนี้แล้วเย่เชียนก็ไม่มีอะไรที่จะต้องโต้แย้งอีกดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ขอบคุณ! ” เด็กน้อยก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากเช่นกันเพราะเขายิ้มให้หมาป่าผีไป๋ฮวยจนหมาป่าผีไป๋เองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะเขาเห็นมุมปากของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ฉีกยิ้มขึ้นอย่างชัดเจนเหมือนกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูคล้ายกับเย่เชียนอย่างสมบูรณ์แบบ
จากนั้นเย่เชียนก็หันหน้าไปและเหลือบมองไปที่หวังยู่แล้วพูดว่า “ผมไม่คิดว่าคุณจะมาด้วย..ขอบคุณนะ! ”
หวังยู่ก็ยิ้มและพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ส่วนหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ และหยุดอยู่ที่ร่างของหวังปิง จากนั้นเขาก็หันไปหาหวังยู่และพูดว่า “พ่อของคุณก็อยู่ที่นี่ด้วย..ไปทักทายท่านกันเถอะ”
.
.
.
.
.
.
.