ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 530 เย้ยหยัน
ตอนที่ 530 เย้ยหยัน
เพื่อจัดการกับหลัวป้อที่อาศัยอำนาจของครอบครัวในการวางตัวอย่างหยิ่งผยองและข่มเหงผู้อื่นนั้นเย่เชียนจึงต้องทรมานเขาทีละเล็กทีละน้อยและขจัดความหยิ่งผยองของหลัวป้อออกไปทีละเล็กทีละน้อยเช่นกัน ซึ่งเริ่มจากการเย้ยหยันก่อนเป็นอันดับแรก
ที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นไม่สนใจว่าหลัวป้อจะทำอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็มีคนจำนวนมากในประเทศจีนที่เหมือนกับหลัวป้อ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถไล่ทำความสะอาดทุกคนได้โดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามกำไรของวัสดุก่อสร้างนั้นก็สูงมากและถ้าหากหลัวป้อนั้นทำกำไรเพียงเล็กน้อยจากการซื้อขายเกี่ยวกับธุรกิจวัสดุก่อสร้างล่ะก็เย่เชียนก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปแต่ทว่าหลัวป้อกลับขายสินค้าที่ด้อยคุณภาพเป็นวัสดุก่อสร้างซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดการสูญเสียและผลกระทบที่เลวร้ายอาจจะตามมาซึ่งมันมากเกินกว่าที่จะปล่อยผ่านไปได้
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ประธานหลัวคุณต้องการท้าทายผมเหรอ? ”
“หือ? ..ท้าทายเหรอ..ในเมืองเจิ้งโจวแห่งนี้ไม่มีใครที่กล้าท้าทายหรือทำให้ผมคนนี้ต้องขุ่นเคือง..แต่คุณเป็นคนแรกที่กล้ายั่วยุผม..ผมก็ไม่อยากเอาเรื่องคุณหรอกเพราะฉะนั้นก็คุกเข่าลงและขอโทษและยอมรับความผิดซะ! ..แล้วผมจะลืมมันไปไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษว่าผมหยาบคายกับคุณก็แล้วกัน” หลัวป้อพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
ก่อนหน้านี้หลัวป้อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยคิดว่าเขาจะจับปลาตัวใหญ่ได้แต่ทว่าเขากลับต้องหัวเราะท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ
“นายเห็นไหมว่าเขาขู่ฉันน่ะ..ฉันกลัวมาก!” เย่เชียนกุมหน้าอกของเขาและหันหน้าไปพูดกับชิงเฟิง เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเย่เชียนนั้นเต็มไปด้วยการเย้ยหยันและล้อเลียนและเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจคำพูดของหลัวป้อเลย
“ผมเห็นแล้ว..ผมชอบสั่งสอนคนแบบนี้ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร..ผมจะให้บทเรียนเขาจนกว่าเขาจะเข้าใจ” ชิงเฟิงพูด
เย่เชียนหันหน้าไปมองที่หลัวป้ออีกครั้งและพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมรู้ว่าคุณมีอิทธิพลเมืองเจิ้งโจวไม่น้อยเลยและผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางของเมืองก็เป็นพี่เขยของคุณ..แต่ก็นะนับประสาอะไรกับผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางเพราะแม้แต่ราชาแห่งสวรรค์ผมก็ไม่กลัว! ”
“ถ้างั้นก็ว่ากันตามนั้น! ” หลัวป้อตะคอกว่า “วันนี้พวกคุณสองคนจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่!”
เมื่อเสียงของหลัวป้อจบลงลูกน้องทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็กำลังจะลงมือกับชิงเฟิงแต่ทว่าชิงเฟิงนั้นเร็วกว่าเขาจึงหยิบเก้าอี้ขึ้นมาฟาดเข้าไปที่หน้าอกของหลัวป้ออย่างรุนแรง ซึ่งชิงเฟิงนั้นรอคอยช่วงเวลาแบบนี้มานานแล้วดังนั้นเขาจึงใช้แรงที่สะสมมานานจนทำให้หลัวป้อกระเด็นตีลังกาและอาเจียนทุกอย่างในท้องของเขาออกมา
เนื่องจากลูกน้องของหลัวป้อนั้นมีเพียงแค่สี่คนดังนั้นเย่เชียนจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานชิงเฟิงก็จัดการนังเลงเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายและเมื่อมองไปที่นักเลงทั้งสี่ที่นอนอยู่บนพื้นแล้วก็ดูเหมือนชิงเฟิงจะยังไม่สาสมใจเขาจึงตะโกนว่า “บอส! ..เราเผาร้านนี้ทิ้งกันเถอะ! ”
เย่เชียนกลอกตาไปมาและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“พวกแกรู้ไหมว่าชะตากรรมของคนที่ทำให้ฉันต้องขุ่นเคืองน่ะมันเป็นยังไง! ..ถ้าพวกแกไม่ฆ่าฉันในวันนี้ล่ะก็พวกแกจะไม่สามารถอยู่ในเมืองเจิ้งโจวได้อีกต่อไป” หลัวป้ออดทนกับความเจ็บปวดและพูดอย่างเดือดดาล
“นี่แกขู่พวกเราอีกแล้วเหรอ..คิดว่าพวกเราไม่กล้าหรือไง? ” ชิงเฟิงเตะหลัวป้ออย่างรุนแรงจากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นจากเอวของเขากำลังจะแทงลงไปจนหลัวป้อตะโกนด้วยความตกใจและรีบหลับตา อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปสักพักหลัวป้อก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยเขาจึงตกตะลึงและลืมตาขึ้นมาและเห็นชิงเฟิงมองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้า
“ทำไมล่ะ? ..แกไม่กล้าฆ่าฉันรึไง? ..แกจะทำอะไรฉันได้” หลัวป้อนั้นพูดอย่างปากแข็งแต่ใจของเขานั้นกำลังกลัวถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
เย่เชียนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและหยิบบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อของเขาและจุดไฟและเดินไปที่ด้านข้างของหลัวป้อและนั่งยองๆ พลางตบหน้าของหลัวป้อและพูดว่า “ไม่เชื่อหรอว่าผมสามารถฆ่าคุณได้? ..รู้ไวซะด้วยนะว่าคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งผยองต่อหน้าผม..ชิงเฟิง! ..ถอนฟันทั้งหมดในปากของเขาออกมา!”
หลัวป้อก็สั่นสะท้านไปทั่วร่างกายเขาเพราะเห็นได้ว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นดูไม่เหมือนเรื่องโกหกและความรู้สึกหนาวสั่นในใจของเขาก็ผุดขึ้นมา อย่างไรก็ตามถ้าเขาขอความเมตตาตอนนี้มันจะไม่น่าอายไปหน่อยเหรอ?
เมื่อเห็นหลัวป้อกำลังสูญเสียอาการอยู่ชิงเฟิงก็ตบปากของหลัวป้ออย่างไร้ปรานีจนทำให้ฟันหลายซี่หลุดออกมาและมีเลือดไหลออกจากปากของหลัวป้อ “ไอ้พวกหยิ่งผยองแบบนี้ฉันล่ะชอบจริงๆ ” ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่า..อย่าทำฉัน! ” หลัวป้อวิงวอนพร้อมกับน้ำตา แต่เนื่องจากปากของเขาชาและมีเลือดไหลอยู่เต็มปากเช่นนั้นชิงเฟิงจึงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเลย ซึ่งชิงเฟิงก็ตบไปเรื่อยๆ และเมื่อผ่านไปสักพักใบหน้าของหลัวป้อก็บวมจนเหมือนหัวหมูและฟันหลายซี่ก็หลุดออกมาและปากของหลัวป้อก็เต็มไปด้วยเลือด
“หยุดทำไม? ..ถ้านายถอนฟันของเขาไม่หมดล่ะก็ฉันจะถอนฟันของนายแทน” เย่เชียนพูดหลังจากมองไปที่ชิงเฟิง
“โถ่บอส! ..มือของผมเจ็บไปหมดแล้ว..เดี๋ยวผมไปหาประแจมาดีกว่า..มันน่าจะใช้ได้fu!” ชิงเฟิง
นักเลงสามคนที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้นเมื่อเห็นเจ้านายของพวกเขาถูกกระทำเช่นนี้แล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว ซึ่งเดิมทีพวกเขาเคยอาศัยอำนาจและอิทธิพลของหลัวป้อมาโดยตลอดและโดยปกติพวกเขาก็มักจะรังแกและเอาเปรียบผู้คนและไม่มีใครกล้าที่จะตอบโต้เลยและยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่เก่งในการต่อสู้ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะไปช่วยหลัวป้อและพวกเขาก็อดใจไม่ไหวที่จะหนีไปจากที่นี่แต่เย่เชียนกับชิงเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วพวกเขาจะกล้าทำอะไรที่ไหนซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือการปิดปากเงียบ
“อย่าทำผม..พวกคุณต้องการอะไรก็พูดออกมาได้เลย..ผมยินดีจะทำทุกอย่าง! ” หลัวป้อหมดความอดทนและพูดด้วยเสียงที่โอดครวญ
“คุณหมายความว่าไงผมไม่เข้าใจ” ชิงเฟิงถามพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้า เนื่องจากหลัวป้อปากชาไปหมดเขาจึงพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำจนชิงเฟิงไม่ได้ยินเขาจริงๆ หลังจากพูดอีกครั้งชิงเฟิงก็เข้าใจและหันไปหาเย่เชียนและพูดว่า “บอส! ..เขาบอกว่าเขายินดีที่จะทำทุกอย่าง”
เย่เชียนก็โยนก้นบุหรี่ของเขาทิ้งและหันกลับมาพูดว่า “ถ้าผมหยุดตีคุณแล้วคุณจะยอมทำทุกอย่างใช่ไหม? ..ถ้างั้นก็ตามราคาที่ผมบอกไป..แต่มันเป็นคุณที่ต้องจ่ายผม 4.2 ล้านหยวน..ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“สะ…สี่ล้าน? ” หลัวป้อถึงกับตกใจและอุทานและคิดว่านี่มันโหดร้ายเกินไปเพราะจำนวนวัสดุก่อสร้างทั้งหมดที่เขาขายให้เย่เชียนนั้นมีมูลค่าแค่หนึ่งล้านหยวนแต่ตอนนี้เขากลับต้องสูญเสียมากกว่าสี่ล้านหยวนซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระเกินไป
“อะไร? ..มีปัญหาเหรอ? ” เย่เชียนพูด “ชิงเฟิงจัดการต่อเลย..เอาให้หนักกว่านี้และถ้าเขาขอความเมตตาก็อย่าไปสนใจเขา! ”
“ไม่! ..ไม่มีปัญหา 4.2 ล้านก็ 4.2 ล้าน! ” หลัวป้อพูดอย่างร้อนรน “แต่ตอนนี้ผมไม่ได้มีเงินมากถึงขนาด..ผมขอเวลาสักสองสามวันได้ไหม” เขาไม่อยากทนทุกข์ทรมานจากการถูกทรมานเช่นนี้เขาจึงจำใจยอมไปก่อนไม่เช่นนั้นถ้าเขายังคงฝืนต่อเช่นนี้ล่ะชีวิตของเขาอาจจะจบลงที่นี่จริงๆ ซึ่งหลัวป้อนั้นต้องการรอดออกไปจากที่นี่ก่อนและหลังจากนั้นเขาจะโทรหาพี่เขยของเขาเพื่อขอให้เขาล้างแค้นเย่เชียนให้ เพราะไม่ว่าเย่เชียนจะเก่งแค่ไหนแต่เย่เชียนก็คงจะไม่กล้าต่อหน้าตำรวจใช่ไหม? หลัวป้อคิดอย่างลับๆ
“ประธานหลัวคุณล้อผมเล่นเหรอ..อย่างคุณเนี่ยนะจะมีเงินไม่ถึงสี่ล้าน..อย่ามาโกหก! ” เย่เชียนพูด “เพราะงั้นภายในสองสามหลังจากนี้คุณต้องให้ใครสักคนนำเงินมาให้ผมและอย่าให้ผมรอนานเกินไปก็แล้วกัน..ผมไม่ค่อยมีความอดทนสักเท่าไหร่”
“ก็ได้..ก็ได้!” หลัวป้อพูดขณะที่เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าเสื้อและหยิบบัตรเครดิตออกมาและยื่นให้ลูกน้องคนหนึ่งและพูดว่า “แกเอาบัตรนี้ไปถอนเงินจากธนาคารมาซะ..จำนวนสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นแล้วรับเอามาให้ฉันทันที..นอกจากนี้จำเอาไว้ว่าอย่าโทรแจ้งตำรวจ..ขับรถของฉันไปก็แล้วกัน”
นักเลงคนนั้นมองไปที่เย่เชียนและชิงเฟิงเพื่อรอคำตอบของพวกเขา เพราะหากไม่ได้รับอนุญาตจากเย่เชียนหรือชิงเฟิงล่ะก็เขาก็ไม่กล้าขยับ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ไปซะ..หรือแกจะไม่ให้เงินฉันงั้นเหรอ?”
“ไม่..ไม่ใช่ครับ” นักเลงคนนั้นตอบและรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปอย่างร้อนรน
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของนักเลงคนนั้นแล้วเย่เชียนและชิงเฟิงก็ยิ้มให้กัน ซึ่งพวกเขาไม่ใช่คนโง่และพวกเขาก็ได้ยินสิ่งที่หลัวป้อพูดได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลัวป้อบอกเอาไว้ว่าอย่าโทรแจ้งตำรวจซึ่งเห็นได้ชัดว่าหลัวงป้อนั้นต้องการให้ลูกน้องคนนั้นแจ้งพี่เขยของเขาถึงสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะหยุดเขาแต่อย่างใด
หลังจากเดินไปที่เก้าอี้และนั่งลงเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่หลัวป้อและพูดว่า “ไปห้องน้ำแล้วไปล้างปากล้างหน้าซะ..มันช่างน่าสมเพชจริงๆ” จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่ชิงเฟิงและพูดว่า “เราต้องมีจิตใจที่เมตตา..เพราะงั้นก็ช่วยพยุงเขาขึ้นมาสิ”
ชิงเฟิงก็ผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นก็กลอกตาไปที่เย่เชียนแล้วฉีกยิ้มอย่างมีความและสุขโน้มตัวไปใกล้ๆ หลัวป้อและพยุงเขาขึ้นจากพื้นและพูดว่า “ประธานหลัวคุณเป็นอะไรไหม? ..ไปล้างปากของคุณก่อนดีกว่า” ขณะที่พูดเขาก็หยิบทิชชู่มาเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก “มาเดี๋ยวผมพาไป”
“ไม่! ..ไม่เป็นไร..ผมไปเองได้” หลัวป้อพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“ผมจะช่วยคุณเอง..คุณไม่ได้ฟังที่บอสพูดเหรอ..เราเป็นเพื่อนมนุษย์แล้วเราจะไม่ช่วยเหลือกันได้ยังไง” ชิงเฟิงพูด
หลัวป้อนั้นก็รู้สึกอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาเพราะชายตรงหน้าเขานั้นเสแสร้งแกล้งทำอย่างแยบยล ซึ่งเขาก็คิดอย่างโกรธเกรี้ยวว่าเขาจะแก้แค้นอย่างสาสมในภายหลังและถ้าหากเขาไม่ตัดมือตัดเท้าของเย่เชียนและชิงเฟิงออกล่ะก็จากนี้ไปก็อย่าเรียกเขาว่าหลัวป้ออีกเลย อย่างไรก็ตามในเวลานี้เขาก็ได้แค่คิดและเขาก็กล้าพูดมันออกมา
เย่เชียนก็เหลือบมองนักเลงทั้งสองคนที่เหลือแล้วพูดว่า “ไปซื้อของกินมาให้หน่อย” หลังจากพูดจบเขาก็หยิบเงินออกมาสองร้อยหยวนจากกระเป๋าและโยนมันให้นักเลงทั้งสอง
.
.
.
.
.
.
.