ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 519 คำถาม
ตอนที่ 519 คำถาม
เย่เชียนนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีคนมีปัญหากับฮัวซงเจี๋ยนั่นก็เพราะว่าฮัวซงเตี๋ยนั้นต้องการใส่ร้ายเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขามาที่มณฑลเหอหนานเช่นนี้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ชัดเจนว่าเขาเป็นศัตรูของฮัวซงเจี๋ยและตอนนี้ก็มีคนช่วยเขาจัดการกับฮัวซงเจี๋ยดังนั้นเย่เชียนจึงมีความสุขมาก แต่เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าคนเหล่านี้จะกล้าถึงขนาดก่อปัญหาในภัตตาคารอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ในตอนกลางวันแสกๆ และยิ่งไปกว่านั้นภัตตาคารแห่งนี้ก็เป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ ของฮัวซงเจี๋ยดังนั้นต่อให้คนเหล่านั้นสร้างความวุ่นวายที่นี่มากแค่ไหนก็ตามแต่มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาเลือกที่จะก่อความวุ่นวายที่สถานที่แห่งนี้มันก็อาจจะมีเหตุผลของพวกเขาที่ต้องทำเช่นนี้
“เพลี้ย!” คนที่เริ่มก่อปัญหาตบเย่เหวินอย่างรุนแรงและตะคอกว่า “เธอเป็นใคร..เธอมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาคุยกับฉัน? ..ไปเรียกผู้จัดการมารับผิดชอบซ่ะ”
เห็นได้ชัดว่าการตบนั้นไม่เบาเลยจนใบหน้าของเย่เหวินก็เริ่มบวมขึ้นและเป็นรอยสีแดงอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนเลยและหลังจากพูดขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเธอก็หันกลับไปหาผู้จัดการของร้านอาหาร ซึ่งถ้าหากนี่ไม่ใช่ภัตตาคารของฮัวซงเจี๋ยล่ะก็บางทีเย่เชียนอาจจะเข้าไปช่วยเธอและถึงแม้ว่าตอนนี้เย่เชียนจะมีบางอย่างที่รู้สึกได้กับเธอแต่มันก็ไม่เหมาะนักที่จะเข้าไปช่วยเธอและนอกจากนี้บางทีเธออาจไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือของตัวเองเลยก็เป็นได้เพราะอิทธิพลของฮัวซงเจี๋ยในมณฑลเหอหนานนั้นยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นฮัวซงเจี๋ยก็จะเพิกเฉยต่อการยั่วยุที่โจ่งแจ้งของคนอื่นเป็นแน่
เย่เหวินก็หันกลับมาและเห็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบต้นๆ และรายล้อมไปด้วยกลุ่มคน ซึ่งชายวัยกลางคนที่เดินนำมานั้นสวมชุดสูทแบรนด์เนมและแว่นตาที่หรูหรามาก ดังนั้นเย่เชียนจึงสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้คือฮัวซงเจี๋ยกับผู้บริหารระดับสูงของเขา ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา นั่นก็เพราะว่าพวกเขารู้ว่าฮัวซงเจี๋ยมาที่นี่ในวันนี้นั่นเอง
ฮัวซงเจี๋ยก็เดินไปที่ด้านข้างของเย่เหวินและหันไปมองที่แก้มที่บวมๆ ของเธอจากนั้นก็หันไปมองคนที่ตบเย่เหวินเมื่อครู่นี้แล้วก็ยิ้มเบาๆ “คุณเหล่ย..มีปัญหาอะไรหรือเดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง”
“คุณฮัว! ..ธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคารมันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถทำได้นะ..เพราะงั้นก็อย่าทำมันเลยถ้าคุณบริหารจัดการไม่ดี! ” เหลยเจียงพูด
“ผมชอบที่จะท้าทายอะไรที่มันยากๆ ..และสิ่งไหนที่มันยากๆ ผมก็จะยิ่งทำมันได้ดีมากขึ้นเท่านั้น” ฮัวซงเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรยากเลยจนธุรกิจของผมค่อยๆ ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน”
“มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะบางทีพายุลูกใหญ่อาจจะพัดเข้ามาวันไหนก็ได้สักวัน..และแม้แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็อาจจะกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ไปเลยก็ได้” เหล่ยเจียงพูด
“พายุแรงลมก็ยิ่งดีและลมยิ่งแรงมากเท่าไหร่ไฟก็ยิ่งรุ่งโรจน์มากขึ้นเท่านั้น” ฮั่วจี้กล่าว
“แต่ไฟนั้นมันจะใหญ่เกินกว่าที่จะควบคุมได้และมันก็จะเผาไหม้ตัวเอง” เหล่ยเจียงพูด
“เหล่ยเป็นห่วงคนที่เล่นกับไฟด้วยหรือ..คุณเหล่ยทำให้แขกของผมกลัวกันไปหมดแล้ว..มันคงไม่ดีในฐานะแขกหรอกน่ะ..ว่าแต่คุณเองก็ชวนผมไปที่ภัตตาคารของคุณอยู่ไม่ใช่เหรอ” ฮัวซงเจี๋ยพูด
“ถ้าประธานฮัวมีเวลาผมก็ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ..แต่คุณต้องบอกก่อนล่วงหน้านะเพื่อที่ผมจะได้เตรียมต้อนรับ” เหล่ยเจียงพูด
พวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดเรื่องโง่ๆ เช่นนี้และดูเหมือนจะสุภาพมากแต่คนที่มีวิจารณญาณก็สามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเย่เหวินก็ก้มหน้าลงและปิดแก้มเธอและยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างและไม่ขยับตัวไปไหน
“บอสอยากเข้าไปร่วมสนุกด้วยหรือเปล่า? ” ชิงเฟิงโน้มตัวไปที่ด้านหน้าของเย่เชียนและพูด
“นายจะเข้าไปสนุกอะไร..ดูสิตอนนี้สถานการณ์เริ่มเดือดดาลกันแล้วและกลิ่นของดินปืนก็รุนแรงมาก..เพราะงั้นเรามาดูกันดีกว่าว่ามันจะเป็นยังไงต่อ!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ชิงเฟิงก็เบะปากและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “บอส! ..บอสไม่เห็นสิ่งที่ผู้หญิงของบอสเจอหรอ..ทำไมเราไม่เข้าไปและจัดการกันเองเลยล่ะ? ”
“ผู้หญิงของฉันอะไรอย่ามาไร้สาระ..อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายแค่ต้องการสร้างความวุ่นวาย..มันยังไม่ใช่ตอนนี้..เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” เย่เชียนเหลือบมองชิงเฟิงและพูด
ชิงเฟิงก็รีบปิดปากของเขาไปอย่างเชื่อฟัง
“อย่าเพิ่งทำอะไรเพราะเรายังไม่รู้เรื่องของพวกเขามากนัก..เพราะงั้นตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลาม..ว่าแต่นายรู้ไหมว่าคนๆ นั้นเป็นใคร..นายรู้ไหมว่าเขาทำอะไร..มันคุ้มที่จะต่อสู้ๆ ไหม?” เย่เชียนพูดอย่างว่างเปล่าเพราะเขาไม่เคยต่อสู้กับการต่อสู้ที่ไม่มีความแน่นอนและเขาก็จะไม่ท้าทายคู่ต่อสู้ของเขาโดยไม่รู้อะไรเลยเพราะนี่ไม่ใช่สไตล์การต่อสู้ของเย่เชียนเลย
ในขณะที่คุยกันหลี่จื้อเทียนก็โทรมาหาเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนก็อึ้งไปชั่วขณะและหลังจากรับสายแล้วเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก..คุณโทรมาหาผมได้ทุกเมื่อ”
“ก็ตามมารยาทน่ะ” หลี่จื้อเทียนพูด “ยังไงก็ตามฉันเพิ่งได้ยินว่าน้องเย่ดูเหมือนจะมีความขัดแย้งเล็กน้อยกับหลัวป้อเมื่อเช้านี้ใช่ไหม..เป็นยังไงบ้าง? ”
เย่เชียนก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็คิดได้ว่าผู้จัดการของโรงแรมอาจจะไปรายงานสิ่งเหล่านี้ เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่เป็นไรครับ..แต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าที่นี่มันจะมีธุรกิจการซื้อและขายมากมาย”
“ไม่ต้องกังวล..ฉันจะโทรหาทีหลัง..ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่กลับมาอีกในอนาคต” หลี่จื้อเทียนพูด ด้วยความสัมพันธ์ของหลี่จื้อเทียนกับรัฐบาลกลางและถึงแม้ว่าหลัวป้อจะมีพี่เขยที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะก็ตามแต่เนื่องจากหลี่จื้อเทียนที่อยู่ในมณฑลมาเป็นเวลานานเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลใช่ไหม? ดังนั้นการจัดการกับคนตัวเล็กเช่นนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการโทรเพียงแค่ครั้งเดียว
“ฮ่าๆ ..ไม่เป็นไรๆ ..ผมเองก็เบื่อเหมือนกัน..วันนี้บังเอิญมีคนมาเล่นกับผมเพราะงั้นผมก็จะปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ..เพราะงั้นคุณก็วางแผนของคุณต่อและปล่อยให้ผมจัดการสิ่งเหล่านี้เอง..ไม่งั้นคุณจะถูกหุ้นส่วนว่าได้นะ”
หลี่จื้อเทียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็หัวเราะ ซึ่งเขาก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่เชียนเพราะงั้นคนอย่างหลัวป้อก็ไม่มีอะไรให้กัววล และเนื่องจากเย่เชียนต้องการทำสิ่งต่างๆ เองดังนั้นหลี่จื้อเทียนก็จะไม่ปฏิเสธโดยธรรมชาติ “อืม..ในเมื่อน้องเย่พูดแบบนี้ฉันก็สบายใจแล้ว..แต่ไม่ว่ายังไงน้องเย่ก็สามารถโทรมาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ” หลี่จื้อเทียนพูด
“ไว้เจอกัน! ” หลังจากที่เย่เชียนพูดจงเขาก็วางสายโทรศัพท์ไป
หลังจากฮัวเจี๋ยกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเขาก็ได้เดินขึ้นไปที่ชั้นบนโดยมีเหล่ยเจียงเดินตามไปและดูเหมือนเขาจะสนิทสนมกันมาก แต่คนอย่างพวกเขานั้นเก่งในด้านการเสแสร้งแกล้งทำ เพราะเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วพวกเขาพูดคุยกันและหัวเราะกันแต่อีกไม่กี่วินาทีพวกเขาอาจจะห้ำหั่นกันก็เป็นได้
หลังจากมองพวกเขาเดินขึ้นไปแล้วเย่เหวินก็เดินกลับไปหาเย่เชียนอีกครั้งพลางยิ้มออกมาและพูดว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ..เมื่อครู่นี้คุณจะถามอะไรนะคะ? ”
เย่เชียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วยื่นให้เธอพร้อมกับพูดว่า “เช็ดน้ำตาของเธอออกก่อนสิ..เพราะเวลาสาวๆ ร้องไห้น่ะดูไม่สวยเลย”
“ขอบคุณค่ะ! ” เย่เหวินหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเบาๆ และพูด
“ผมแค่อยากจะถามคุณว่าคุณมีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่า..ทำไมคุณถึงแอบมองผมอยู่บ่อยๆ ล่ะ..ตอนที่คุณเห็นผมคุณก็บอกผมว่าผมเหมือนเพื่อนเก่าของคุณ..แต่ผมนั้นไม่รู้จักคุณเลย..นอกจากนี้ผมก็ได้ตรวจสอบข้อมูลของคุณแล้วคุณมีแม่ที่นอนป่วยติดเตียงมานานแล้วใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดช้าๆ
เย่เหวินก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเห็นได้ชัดว่าเธอไม่คาดคิดว่าเย่เชียนจะสืบค้นประวัติและข้อมูลของเธอหลังจากที่ได้พบกันเพียงครั้งเดียว “ฉัน…ฉันอยากถามว่าพ่อและแม่ของคุณเย่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” เย่เหวินถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ซึ่งมันเป็นคำถามที่ไม่สุภาพนักและถ้าหากแขกเอาความเธอล่ะก็เธออาจจะไม่สามารถทำงานที่นี่ได้อีกและเธอจะไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อีก แล้วเธอจะเก็บเงินเพื่อรักษาอาการป่วยแม่ของเธอได้อย่างไร
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและจ้องมองเย่เหวินด้วยความประหลาดใจ การที่เธอถามเช่นนี้นั้นมันหมายความว่าอย่างไร? เธอมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับตัวเองจริงๆ หรือ? เย่เชียนคิดอย่างลับๆ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ตกใจและตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งตอนนี้เย่เชียนเองก็แน่ใจแล้วว่าฮัวซงเจี๋ยนั้นไม่ได้ส่งเธอมาให้เข้าใกล้เขา แต่เขาก็จะไม่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟังง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงทำให้จิตใจของเขามั่นคงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมคุณถึงถามอย่างนั้น? ”
“ฉัน…” เย่เหวินกำลังจะพูดแต่จู่ๆ พนักงานเสิร์ฟอีกคนก็เดินเข้ามาพูดว่า “เสี่ยวเหวิน..เสี่ยวเหวิน..แย่แล้วๆ ” ขณะที่เธอพูดเธอก็วิ่งไปหาเย่เหวินแล้วพูดว่า “เพื่อนบ้านของเธอโทรมาเมื่อกี้..เขาบอกว่าแม่ของเธออยากฆ่าตัวตาย..เธอรีบกลับไปเร็ว”
เย่เหวินก็ถึงกับผงะไปและพูดอย่างร้อนรนว่า “เสี่ยวหยวน..เธอไปบอกผู้จัดการให้ทีว่าฉันขอลาครึ่งวัน..ฉันต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ขอโทษนะคะ..พอดีฉันต้องรีบกลับบ้านด่วน” หลังจากพูดจบเธอก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที
ชิงเฟิงก็เหลือบมองไปที่เย่เชียน ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าและหลังจากนั้นเขาก็พูดกับสาวเสิร์ฟที่ชื่อเสี่ยวหยวนว่า “คุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเย่เหวินมานานหรือยัง?”
เสี่ยวหยวนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นมองชิงเฟิงและเย่เชียนจากนั้นเธอก็พูดว่า “คุณเป็นใคร..ทำไมถึงถามเกี่ยวกับเสี่ยวเหวินล่ะ”
“อ๋อ..ผมเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานประกันสังคมของรัฐบาล..นี่คือผู้อำนวยการเย่เชียนของเรา..เราเห็นรายละเอียดการสมัครจากสำนักงานเขตและรู้ว่าชีวิตครอบครัวของเธอลำบากมาก..เราจึงต้องสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้..เมื่อครู่นี้เราก็กำลังคุยกับเธอเรื่องนี้เช่นกัน” ชิงเฟิงพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ จากนั้นเขาก็หยิบใบรับรองออกมาจากกระเป๋าของเขาและพูดว่า “นี่คือใบรับรองของเรา..ผมต้องการถามคุณเกี่ยวกับข้อมูลของเธอ..คุณก็น่าจะรู้ว่ายิ่งพวกเราเข้าใจรายละเอียดต่างๆ มากเท่าไหร่เราก็จะสามารถอนุมัติและเพิ่มจำนวนเงินเยียวยาให้เธอมากขึ้นเท่านั้น”
.
.
.
.
.
.
.