ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 497 โกรธ ฆ่า
ตอนที่ 497 โกรธ! ฆ่า!
เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าศัตรูเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจเขาคิดว่าเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนคนนั้นเป็นแน่ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ใช่คนที่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ เขาเชื่อมั่นว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะได้แต่เขาก็ต้องสู้
เมื่อต้องต่อสู้สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคือการสูญเสียสมาธิก่อนการต่อสู้เพราะถ้าเราไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้แล้วเราจะเอาชนะคนอื่นได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามนี่ไม่เหมือนกับการตีก้อนหินด้วยก้อนกรวดดังนั้นเราต้องชั่งน้ำหนักและตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้าและตัดสินใจอย่างเหมาะสม
เมื่อเห็นการแสดงออกของเฉินยี่แล้วเย่เชียนก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ง่ายอย่างแน่นอนและต้องเป็นคนที่เฉินยี่รู้จักเพราะไม่เช่นนั้นเฉินยี่จะไม่มีการแสดงออกเช่นนี้อย่างแน่นอน “มีใครบางคนเข้ามาระวัง! ” เย่เชียนตบบ่าของม่อหลงและตะโกนเตือนสติ
เห็นได้ชัดว่าเฉินยี่รู้สึกประหลาดใจแต่เมื่อพิจารณาว่ามีคนจำนวนมากเฝ้าดูอยู่ข้างนอกบ้านของเขาและเย่เชียนก็ได้รับโทรศัพท์ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้โดยธรรมชาติ หลังจากหยุดไปชั่วขณะเฉินยี่ก็พูดว่า “พวกเอ็งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา..รีบหนีไปเร็วๆ!”
“อีกฝ่ายเป็นใครคุณเฉินรู้จักไหม” เย่เชียนถาม
“อย่าถามอะไรอีก..รีบหนีไป! ” เฉินยี่พูด “ม่อหลง! ..จำคำพูดของข้าเอาไว้ไม่อย่างนั้นเอ็งจะเสียใจไปจนวันตายและเอ็งจะไม่ใช่แต่ขอโทษข้าเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงครอบครัวของเอ็งด้วย” เหตุผลที่เขาไม่ถูกเรียกว่าผู้สืบทอดเหมือนตอนแรกนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกังวลเกี่ยวกับการปล่อยให้คนนอกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อหลงก็ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้แต่เขาก็แอบเดาความคิดของเฉินยี่อยู่ในใจสำหรับเหตุผลที่เฉินยี่ไม่เรียกตัวเองว่าผู้สืบทอดเพราะมีหลายเหตุผลมากเกินไปจนม่อหลงคิดไม่ออกเลย
“แต่…”
ม่อหลงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เฉินยี่ขัดจังหวะเขาแล้วพูดว่า “รีบหนีไปซะไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว..โชคดีไอ้หนู!”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ตึงเครียดของเฉินยี่เช่นนั้นเย่เชียนก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขาจึงรีบดึงแขนม่อหลงขึ้นมาและพูดว่า “ไปเร็ว! ” นี่ไม่ใช่การเพิกเฉยหรือความหวั่นเกรงของเย่เชียนแต่อย่างใดเพราะจากการสังเกตผ่านการแสดงออกของเฉินยี่นั้นเย่เชียนก็ชัดเจนมากว่าคนที่กำลังจะมานั้นไม่ใช่ตัวตนที่ธรรมดาดังนั้นต่อให้เขาอยู่ที่นี่ไปถึงยังไงเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีและอาจกลายเป็นตัวถ่วงเฉินยี่ด้วยซ้ำ
ม่อหลงก็กัดฟันมองเฉินยี่และเดินตามเย่เชียนไปที่ประตูอย่างรวดเร็วและในทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกและประตูไม้ทั้งบานก็ลอยขึ้นซึ่งเย่เชียนก็รีบเตะสวนประตูไม้ที่ลอยเข้ามาไปข้างๆ แต่เขาก็หายใจไม่ออกและหัวใจของเขารู้สึกอึดอัดอย่างมากในตอนนี้
ภายในชั่วพริบตาก็มีชายหนุ่มสามคนเข้ามาจากทางประตูและยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ซึ่งออร่าที่ทรงพลังบนร่างกายของพวกเขาทำให้เย่เชียนสูญเสียอาการเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนว่าเลือดในร่างกายของเย่เชียนจะเดือดพล่านด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
“หือ? ” ชายทั้งสามเห็นได้ชัดว่ามีความสงสัยเล็กน้อยและพวกเขาก็มองไปที่เย่เชียนด้วยประหลาดใจ
“เด็กๆ พวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรด้วยปล่อยพวกเขาไปซะ” เฉินยี่ลุกขึ้นยืนและพูด หลังจากพูดจบเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและม่อหลงอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปทันที
เย่เชียนก็ระงับเจตนาฆ่าในใจของเขาเอาไว้และดึงม่อหลงแล้วเดินออกไปด้านนอกประตู “จะไปไหน!” ชายร่างผอมคนหนึ่งตบเย่เชียนด้วยฝ่ามือ ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ดีว่าทักษะของเขานั้นไม่ดีเท่าคู่ต่อสู้แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายำเช่นนี้ได้เพราะในขณะที่ชายคนนั้นเหวี่ยงฝ่ามือเข้ามาเย่เชียนก็สวนกลับไปด้วยหมัด
“ออกไปให้พ้น!” ขณะที่เย่เชียนและชายคนนั้นกำลังจะปะทะกันจู่ๆ เฉินยี่ก็ตะโกนและพุ่งเข้ามาและในทันใดนั้นชายร่างผอมก็ถอยออกไปสองสามก้าว “อย่าลืมกฎเหล็กของสำนักสิ..พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาถ้าพวกคุณทำแบบนี้คุณจะมีค่าพอที่จะถูกเรียกว่าสาวกเหรอ!” เฉินยี่พูดอย่างเดือดดาล
“หือ..คนธรรมดาเหรอ..ไม่เห็นจะมี” ชายหน้าซีดคนหนึ่งเหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วพูด ใบหน้าของเขาซีดและน่ากลัวราวกับว่าเขาเป็นคนป่วยที่กำลังจะตายและอายุสั้น
เย่เชียนและม่อหลงก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะจากการสนทนาระหว่างเฉินยี่และอีกฝ่ายนั้นมันก็ไม่ยากเลยที่จะบอกได้ว่าอีกฝ่ายก็คือสาวกม่อจื๊อเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นเฉินยี่กำลังจะถูกฆ่าซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีบางอย่างในสำนักม่อจื๊อในปัจจุบันไม่เช่นนั้นพวกเขาจะมาฆ่าฟันกันเองได้อย่างไร?
มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นหรือไม่? เป็นไปได้ไหมว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในสำนักและมีคนยึดอำนาจ? ม่อหลงคิดอย่างลับๆ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เขาก็คิดถึงความเป็นไปได้นี้เท่านั้นและบางทีสิ่งต่างๆ ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสำนักม่อจื๊อในปัจจุบันได้ใช่มั้ย?
“สำนักม่อจื๊อมีกฎเหล็กเจ็ดข้อประการ..ซึ่งนี่คือประการที่หนึ่งคือไม่ทำร้ายผู้อื่นและประการที่หกคือความชอบธรรมอันสูงส่ง..ดูเหมือนพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้นสิสนะ” เย่เชียนหัวเราะอย่างเย็นชาและพูด
“รนหาที่ตาย! ” ชายหน้าซีดตะคอกและปล่อยหมัดใส่เย่เชียนทันที
“หยุด! ” เฉินยี่ตะโกนและต้องการหยุดเขาแต่อีกสองคนกลับเข้ามาขวางเอาไว้เขาอย่างรวดเร็วทำให้เขาไม่สามารถไปไหนได้และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฉินยี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเพราะเขารู้ดีว่าเย่เชียนกับม่อหลงนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเหล่านี้เลยและถ้าม่อหลงตายไปต่อหน้าเขามันจะเป็นอย่างไร
ด้วยเสียง “ปัง” หมัดของเย่เชียนและฝ่ายตรงข้ามก็เข้าปะทะกันและเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงแรงผลักดันอันทรงพลังที่พุ่งเข้ามาหาเขา นี่เป็นเหมือนความรู้สึกทุกครั้งที่เย่เชียนฝึกฝนกับหลินจินไท่อาจารย์ของเขา อย่างไรก็ตามหลินจินไท่ก็มักจะผ่อนแรงเอาไว้เสมอเมื่อฝึกซ้อมแต่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจที่จะผ่อนแรงเลย ซึ่งเย่เชียนก็ได้ยินเพียงเสียงกระดูกและแขนทั้งสองข้างของเขาก็ไร้เรี่ยวแรงและเย่เชียนก็กระเด็นออกไปและล้มลงกับพื้นอย่างแรงจนเลือดที่เดือดพล่าอยู่ในร่างกายเริ่มปั่นป่วน
“เหือก!” เย่เชียนกระอักเลือดออกมาเต็มปากและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่เชียนถูกทำร้ายจนอาเจียนเป็นเลือด เพราะเมื่อเขาต่อสู้กับคนอื่นมันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธอย่างช่วยไม่ได้
“บอส!” ม่อหลงอุทานและรีบวิ่งไปทางชายหน้าซีดและได้ยินเพียงเสียง “ปัง” ร่างของม่อหลงก็บินออกไปเหมือนว่าวและกระแทกกำแพงอย่างแรง
“หือ? ..พวกนี้เป็นเด็กธรรมดาจริงๆ เหรอ? ” ชายหน้าซีดก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ แต่นี่คือกรกฎที่ทำโดยคนอย่างพวกเขาเอง ดังนั้นพวกเขาจะต้องไม่ใช้กำลังมหาศาลกับคนธรรมดาและถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ ก็ตามถึงยังไงพวกเขาก็ห้ามใช้พลังแฝงใดๆ ทั้งสิ้น
“พี่ม่อหลง! ” เย่เชียนตะโกนและหันหน้าไปมอง ซึ่งม่อหลงก็พยายามพยุงร่างกายของเขาและยิ้มให้เย่เชียนและส่งสัญญาณว่าเขาไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาอ้าปากเขาก็กระอักเลือดออกมาและนี่ก็เป็นเรื่องน่าอับอายเพราะเย่เชียนไม่เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเพราะพวกเขาไม่เคยถูกทำร้ายเช่นนี้ ซึ่งความโกรธเกรี้ยวในใจของเขานั้นไม่สามารถจินตนาการได้เลย
เจตนาฆ่าและจิตสังหารของเย่เชียนนั้นก็เดือดพล่านยิ่งขึ้นราวกับว่ามีกระแสอากาศกระทบร่างกายของเขาอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนมันจะระเบิดออกมาทางร่างกาย จากนั้นดวงตาของเย่เชียนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยราวกับว่าเขาเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตและความบ้าคลั่ง จากนั้นเย่เชียนก็จับแขนขวาของเขาแล้วบิดมันแรงๆ จนมีเสียง “กึก” จากนั้นกระดูกช่วงไหล่ของเขาก็กลับเข้าที่
เย่เชียนก็มองไปที่ชายหน้าซีดอย่างเย็นชาและตะคอกว่า “แกทำฉันได้แต่ห้ามทำร้ายพี่น้องของฉัน! ..ฉันจะฆ่าแก!”
เฉินยี่ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนขณะที่เขารับมือกับการโจมตีร่วมกันของทั้งสองคนและทันใดนั้นเขาก็ถึงกับผงะไปและความหนาวเหน็บก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของเขาทันที ถึงแม้ว่าเฉินยี่จะรู้สึกถึงความผิดปกติของเย่เชียนเมื่อเขาเห็นเย่เชียนครั้งแรกแต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะน่าทึ่งเช่นนี้
เฉินยี่ก็ทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถทำอะไรได้เลยในตอนนี้และเขาก็ไม่มีเวลากังวลไปกับเย่เชียน แต่ถึงยังไงเขาก็ยังคงกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนที่เขาเห็นเย่เชียนครั้งแรกเฉินยี่จะรู้สึกว่าเย่เชียนมีคลื่นออร่าที่ชั่วร้ายมากแต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะทรงพลังถึงขนาดนี้เพราะเพียงแค่คลื่นอ่อร่าและแรกกดดันที่เย็นยะเยือกแบบนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว
ชายหน้าซีดก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากแต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในใจเพราะเนื่องจากเย่เชียนมีออร่าที่ทรงพลังเช่นนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนนั้นเหมือนกับตัวเขาเองและเขาก็จะไม่ผิดกฎเหล็กของสำนักอีกต่อไป
พลังแฝงคืออะไร? ในความเป็นจริงมันเกือบจะเหมือนกับศิลปะการต่อสู้โบราณของจีนแต่สิ่งที่เน้นไปกว่านั้นคือการฝึกฝนของชี่ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังการโจมตีให้กับตัวเอง ซึ่งมันแตกต่างไปจากศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบันเพราะส่วนใหญ่มันเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายและพลังระเบิดเพิ่มขึ้น ศิลปะการต่อสู้โบราณที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้โบราณจริงๆ เพราะขาดการฝึกฝนแบบชี่เช่นเดียวกับมวยไทชิ ซึ่งมวยไทชิในปัจจุบันนั้นแย่กว่ามากเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่สืบทอดมาส่วนใหญ่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวและไม่มีการฝึกชี่เลย
เมื่อเห็นเย่เชียนโจมตีเขาด้วยหมัดชายหน้าซีดก็ตะโกนว่า “รนหาที่ตาย! ” ทันทีที่สิ้นเสียงหมัดของพวกเขาก็พุ่งออกมา อย่างไรก็ตามความหมายของเจตนาฆ่าในดวงตาของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเย่เชียนก็ตะโกนและเล็งไปที่คอของชายหน้าซีดด้วยหมัด
” ชายหน้าซีดก็หลบศีรษะไปข้างหนึ่งดวงตาของเขายังคงเปิดกว้างด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ และทั้งคนก็ล้มลงอย่างกะทันหัน ชายสองคนที่มากับเขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงเห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจอย่างมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินยี่พวกเขาไม่กล้าที่จะละเลยพวกเขาจึงรีบสงบสติอารมณ์และโจมตีเฉินยี่อย่างต่อเนื่อง
“อา…” เย่เชียนรู้สึกปวดหัวราวกับว่ามันกำลังจะแตกและอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป “บอส! ” ม่อหลงก็ไม่รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นอะไรเขาจึงรีบเดินไปหาเย่เชียน
“อย่าไป! ” เฉินยี่รีบตะโกนเรียก
ม่อหลงก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเย่เชียนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา ซึ่งดวงตาของเย่เชียนนั้นดูเย็นชาและแปลกประหลาดอย่างมากจนม่อหลงตัวสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจและถามด้วยความหวาดกลัวว่า “บ..บอส! ..เป็นอะไรไหม?”
ผู้ฝึกชี่นั้นกลัวอะไรมากที่สุด? นั่นคือชี่ในร่างกายที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมนั่นเอง และตอนนี้สถานการณ์ของเย่เชียนก็เป็นแบบนั้นเพราะพลังในร่างกายของเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเลยและตอนนี้มันก็กำลังทำร้ายร่างกายของเย่เชียนราวกับนวนิยายกำลังภายในอย่างไงอย่างงั้น
.
.
.
.
.
.
.