ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 427 หมาล่าเนื้อต้องตายบนภูเขา
ตอนที่ 427 หมาล่าเนื้อต้องตายบนภูเขา
ถังเหวยซวนนั้นก็รู้ดีว่าวันนี้จะต้องเป็นวันที่เลวร้ายสำหรับเขาอย่างแน่นอนแต่เขาก็ยังคงมีความหวังลมๆ แร้งๆ อยู่ในใจว่าเขาจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ แต่ทว่าเขาจะเต็มใจมอบมีดคลื่นโลหิตหมาป่าให้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้อย่างไรเพราะเขาถึงกับจะก่ออาชญากรรมฆาตกรรมเพื่อขโมยมันมาเช่นนี้
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ยิ้มก็อย่างเย็นชาและพูดว่า “ถังเหวยซวนคุณคิดว่าผมเป็นคนโง่อย่างงั้นเหรอ? ..คุณคิดว่าผมจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดจริงๆ เหรอ?” จึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุและไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับสมบัติโบราณเลยก็ตามแต่เขายังสามารถรับรู้ได้ว่ามีดในมือของถังเหวยซวนนั้นมันไม่ใช่มีดธรรมดาๆ เลยเพราะเมื่อถือมีดนั้นเอาไว้ในมือแล้วดูเหมือนว่ามันจะมีอากาศที่เย็นยะเยือกผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกอย่างยิ่ง
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าและยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สามารถเดาได้จากท่าทีและการแสดงออกของถังเหวยซวนเช่นนี้เขาก็คิดว่าเหตุผลที่เย่เชียนมาตามหาถังเหวยซวนก็เพื่อที่จะหามีดเล่มนี้อย่างแน่นอน
ถังเหวยซวนก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “หัวหน้า..หัวหน้าหลวน..ผมจะกล้าไปโกหกต่อหน้าคุณได้ยังไง..ผมก็แค่อยากหาอะไรมาป้องกันตัวน่ะ..ผมคิดว่าบ้านของหัวหน้าหลวนไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไหร่น่ะ”
“หืม..ไหนบอกฉันมาซิว่านี่มันคืออะไร..คุณคงจะไม่พูดว่ามันเป็นมีดธรรมดาๆ หรอกใช่มั้ย?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดอย่างเย้ยหยัน
“มันก็…แน่นอนสิ” ถังเหวยซวนพูด “มีดเล่มนี้คือของที่ปู่ของผมทิ้งเอาไว้ให้..มันเป็นแค่มีดธรรมดาๆ ..เพราะงั้น”
“คุณไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตาสินะ!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ตะคอกอย่างเย็นชาหลังจากนั้นลูกน้องของเขาสองคนก็เดินไปหาถังเหวยซวนทันทีและคว้าถังเหวยซวนลงมาและจับคุกเข่าลงต่อหน้าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่
ถังเหวยซวนก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สามารถหลบหนีไปจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เป็นคนยังไงดังนั้นในตอนนี้ที่เขาจึงมีความคิดอื่นๆ อีกเพราะมันจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้ “หัวหน้าหลวน..ผมจะพูด! ..ผมจะพูดทุกอย่าง..ฉันขอร้องให้หัวหน้าหลวนไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ” ถังเหวยซวนอ้อนวอนร้องขอชีวิต
“บอกมาซิว่ามีดเล่มนี้คุณขโมยมาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ใช่มั้ย? ..และที่เย่เชียนมาเยือนที่นี่ก็เพื่อมาตามหามันใช่มั้ย?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถาม
“นี่…มีดนี้มีชือว่าคลื่นโลหิตหมาป่า..มันถูกสร้างขึ้นโดยช่างตีดาบในตำนานและเป็นผู้ที่ลอบสังหารราชวงศ์ฉิน..ผมขโมยมันมาจากบ้านของหมินเว่ยเหวิน..เดิมทีผมนึกว่ามันเป็นของเขา..แต่ปรากฎว่ามันกลับเป็นของคนอื่น” ถังเหวยซวนพูดอย่างหดหู่ ถ้าเขาเลือกได้เขาจะไม่เลือกหนีมาทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเพราะเขาควรจะหนีไปต่างประเทศทันที ไม่เช่นนั้นเขาคงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปเสียแล้ว
ที่เรียกว่าคนตายไม่มีการกลับใจนั้นมันเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ทว่าเมื่อสิ่งต่างๆ พัฒนามาถึงจุดนี้แล้วเขาก็ยังคิดว่าเขานั้นได้ทำผิดลงไปตั้งแต่แรกเพราะถ้าเขาไม่ได้ขโมยมีดคลื่นโลหิตหมาป่ามาล่ะก็สิ่งต่างๆ จะบานปลายมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ดวงตาของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ดูละโมบขึ้นมาทันทีและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องของโบราณวัตถุเลยก็ตามแต่ทว่าสมบัติที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ฉินนั้นจะต้องมีค่าอย่างมากมายมหาศาลเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมูลค่าเลยเพราะอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีมูลค่าหลายร้อยล้านใช่ไหม? แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นมันไม่ใช่ว่ามีดเล่มนี้มีมูลค่าเท่าไรเพราะความหมายของมีดนั้นคือของโบราณแห่งราชวงศ์ฉินดังนั้นมันจึงมีความหมายมากกว่าเงินตราอย่างมาก นอกจากนี้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ไม่ใช่คนที่โปรดปรานของเก่าหรือเป็นคนที่มีรสนิยมสูงมากนัก และเขาเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินใดๆ เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นก็ครุ่นคิดมาโดยตลอดว่าจะมอบของขวัญอะไรให้กับคนคนนั้นดีซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่ามีดเล่มนี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
ทุกวันนี้เหตุผลที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่กล้าที่จะโจมตีแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นก็เพราะว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากคนคนหนึ่งซึ่งความแข็งแกร่งขององค์กรของพวกเขานั้นก็ทรงพลังอย่างมากและพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เองก็ยังเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายก็ต้องการยืมพลังของตัวเองเพื่อเข้ามาพัฒนาสู่ประเทศจีนเช่นกัน แต่ความคิดของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่คืออีกฝ่ายนั้นจะต้องมีฐานที่มั่นที่มั่นคงก่อนและกำจัดแม่หมายดำจือเหวินไปและหลังจากนั้นเขาก็จะเข้ายึดขั้วอำนาจทั้งหมดในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ได้
อย่างไรก็ตามพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ได้มองข้ามจุดจุดหนึ่งไปเพราะเมื่อเขาเข้ายึดครองดินแดนฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างแท้จริงแล้วล่ะก็มันจะทำให้อำนาจและพลังของฝ่ายสามารถเจาะทะลุเข้าในดินแดนของตัวเองได้เช่นกันและเมื่อถึงเวลานั้นการที่จะขับไล่อีกฝ่ายออกไปนั้นมันก็ไม่ง่ายเหมือนก่อนอีกต่อไป
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่า..เพราะงั้นมันมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับมีดเล่มนี้บ้างหรือเปล่า?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถามอย่างช้าๆ
“มันสามารถตัดทองและเหล็กได้โดยไม่มีรอยขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย” ถังเหวยซวนตอบอย่างตรงไปตรงมา
ในตอนนี้ถังเหวยซวนก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีกและเขาก็ไม่ต้องการที่จะเก็บมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเอาไว้อีกต่อไปและใช้ชีวิตที่อิสระและเรียบง่ายแบบเดิม เพราะคำอธิษฐานเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือการเอาตัวรอดจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ แต่ทว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็โหดร้ายมาโดยตลอดดังนั้นใครจะรับประกันได้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะไม่ฆ่าเขา?
คนอย่างถังเหวยซวนจะโง่เขลาได้อย่างไร? เพราะเขามีความชัดเจนมากเกี่ยวกับพฤติกรรมและอารมณ์ของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และเขาก็คิดถูกเพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ ซึ่งถึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะไม่เกรงกลัวเย่เชียนหรือหวังหูก็ตามแต่ทำไมเขาถึงต้องหาเรื่องใส่ตัวและนำปัญญามาให้ตัวเองเช่นนั้น? ซึ่งมันคือความหายนะอย่างยิ่ง แล้วทำไมเขาถึงต้องรายงานสิ่งต่างๆ ให้กับเย่เชียนและหวังหูจนทำให้พวกเขาขุ่นเคืองกันล่ะ? เพราะตราบใดที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ฆ่าถังเหวยซวนและฝังเอาไว้ที่ไหนสักแห่งล่ะก็มันจะไร้ร่องรอยและจะไม่มีใครรู้ว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นได้ตกอยู่ในกำมือของตัวเองเสียแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็มีรอยยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่มุมปากของเขาและเป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรอย่างมาก แต่ทว่าหัวใจของถังเหวยซวนกลับสั่นสะท้านและเขาก็กรีดร้องว่า “อย่า!” ซึ่งเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในตอนนี้มันมีเจตนาฆ่าที่ออกมาจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และเมื่อเห็นเช่นนั้นถังเหวยซวนก็ไม่สามารถคิดสิ่งอื่ยใดได้อีก ดังนั้นเขาจึงตะโกนและพุ่งเข้าไปหาพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ เพราะแทนที่จะนั่งอยู่ที่นี่เพื่อรอความตายนั้นสู้ตอบโต้กลับเสียยังดีกว่าและถึงแม้ว่าจะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“ไปตายซะ!” คิ้วของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและดวงตาของเขาระเบิดออกมาด้วยเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกและมีดคลื่นโลหิตในมือของเขาก็แทงเข้าไปที่คอของถังเหวยซวนทันทีและหลังจากนั้นร่างของถังเหวยซวนก็ค่อยๆ ล้มลงพื้นไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็หยิบมีดคลื่นโลหิตขึ้นมาดูและเขาก็พบว่ามันไม่มีเลือดเปื้อนอยู่เลยแม้แต่น้อยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “มันวิเศษจริงๆ!”
หลังจากนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็มองลงไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของถังเหวยซวนที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดนั้นเขาก็โบกมือให้ลูกน้องแล้วพูดว่า “เอาร่างเขาออกไปและฝังเขาซะ” หลังจากพูดจบแล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง
เมื่อเขามาถึงห้องนั่งเล่นแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรออกจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณพุชกิน..ผมได้อะไรดีๆ มาคุณสนใจที่จะชื่นชมมันไหม..บอกเลยว่านี่เป็นของหายาก..แล้วเจอกันนะที่รัก..ผมสัญญาเลยว่าหัวหน้าของคุณจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน..นี่คือการแสดงความจริงใจของผมสำหรับการร่วมมือระหว่างพวกเรา…เอาล่ะไว้เจอกันวันหลังแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที”
เมื่อพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่วางสายโทรศัพท์ไปเขาก็ยิ้มสดใสมากขึ้นเพราะเขานั้นไม่เชื่อว่าด้วยสิ่งที่ดีเช่นนี้แล้วเขาจะไม่สามารถสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายได้และขอให้พวกเขาช่วยตัวเองให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ และเมื่อถึงเวลานั้นดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดนี้นั้นก็จะเป็นโลกของเขาเอง
สุนัขล่าสัตว์ต้องตายบนภูเขา ซึ่งในที่สุดถังเหวยซวนที่สับสนกับตัวเองมาตลอดชีวิตนั้นแม้แต่ความตายของตัวเองก็ยังไม่ชัดเจน และไม่ได้แม้แต่สิ่งที่ไม่ได้เป็นของเขาและแม้แต่ชีวิตของเขาเองก็ต้องสูญสิ้นไป
ในขณะนี้ทั่วทุกพื้นที่ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นต่างก็มีคนของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และแม่ม่ายดำจือเหวินอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเย่เชียนก็ยังไม่มั่นใจว่าพวกเขาทั้งหมดนั้นรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วหรือยังดังนั้นเย่เชียนจึงต้องรักษาความลับเอาไว้และพยายามไม่เคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งเกินไป อย่างไรก็ตามการเดินทางในครั้งนี้นั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะเขาต้องพบกับหยุนเหลาที่เคยเป็นดั่งผู้คุมกฏของดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือและยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลหวงฟู่ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย
เย่เชียนและโจวหยวนนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะกลางเมืองเสิ่นหยางตามที่อยู่ที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าแจ้งเอาไว้ ซึ่งถ้าหยุนเหลารู้จักตัวตนของเย่เชียนจริงๆ ล่ะก็นั่นแสดงว่าหยุนเหลานั้นกำลังหลอกใช้เย่เชียนซึ่งมันทำให้เย่เชียนอึดอัดใจอย่างมาก เพราะถึงยังไงหยุนเหลาคนนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเช่นนี้จึงทำให้เย่เชียนนั้นไม่สามารถทำการใหญ่อะไรได้มากจนเกินไปเพราะเขาควรจะไว้หน้าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนใช่หรือไม่? นอกจากนี้ก็ยังมีหวงฟู่ถิงเตี๋ยนที่เป็นถึงอธิการกรมทหารส่วนกลาง ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นอาจารย์ของหวงฟู่เส้าเจี๋ยลูกชายของหวงฟู่ถิงเตี๋ยนก็ตามแต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าหวงฟู่ถิงเตี๋ยนนั้นจะคิดเช่นไร
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังมั่นใจอย่างยิ่งว่าถ้าหากมีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างตัวเขากับหยุนเหลาเช่นนั้นถึงยังไงตระกูลหวงฟู่ก็จะต้องอยู่ตรงกลางอย่างดีที่สุดและไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เลย
แม้ว่าหยุนเหลาจะเกษียณและวางมือไปแล้วก็ตามแต่ถึงยังไงชื่อเสียงของเขาก็ยังคงอยู่ และถึงแม้ว่าผู้คนในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือจะไม่รู้ว่าตอนนี้หยุนเหลานั้นกำลังทำอะไรอยู่และถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณอายุไปแล้วในตอนนี้แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าที่จะไปยั่วยุเขาอยู่ดีและยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังมีแม่ม่ายดำจือเหวินที่อยู่ข้างหลังเขาซึ่งเป็นผู้สืบทอดของหยางเทียน ซึ่งแม้แต่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ยังไม่กล้าที่จะสบตาเขาแล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ ซึ่งใครๆ ก็ต้องเคารพเขาเมื่อเห็นเขา
ในดินแดนแห่งนี้นั้นมีกฎมากมายแต่ทว่าหลังจากที่หยุนเหลาวางมือไปนั้นจึงทำให้ความคับแค้นใจและความคับข้องใจจากอดีตทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมาและสถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่ดีไปกว่าเมื่อก่อนเลยเพราะพวกเขามักจะมองข้ามศีลธรรมกันจนแม่ม่ายดำจือเหวินต้องส่งคนไปปกป้องหยุนเหลาที่รอบๆ บ้านของเขา
เมื่อโจวหยวนขับรถมาถึงที่ด้านนอกของบริเวณบ้านของหยุนเหลาแล้วเขาก็หยุดรถและรีบลงจากรถแล้วเปิดประตูให้เย่เชียนซึ่งเย่เชียนก็เดินออกมาอย่างช้าๆ และเงยหน้าขึ้นและเขาก็เห็นคนอย่างน้อยๆ หนึ่งโหลหรือยี่สิบคนที่ยืนเฝ้ารอบบริเวณบ้าน เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วเดินเข้าไปข้างใน
บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ขวางเย่เชียนเอาไว้ซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “โปรดแจ้งให้เขาทราบว่าเย่เชียนมาเยี่ยมคุณหยุน!”
.
.
.
.
.
.
.