ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 402 ราชินีโรงเรียนอนุบาล
ตอนที่ 402 ราชินีโรงเรียนอนุบาล
สำหรับคนที่คอยศึกษาของเก่าของโบราณมาตลอดทั้งชีวิตนั้นเมื่อเห็นมีดโลหิตหมาป่าในมือของเย่เชียนจึงดึงดูดความสนใจอย่างมากและถึงแม้ว่าจะมีโบราณวัตถุจำนวนมากที่ตกทอดมาสู่ประเทศจีนก็ตามแต่ก็มีจำนวนไม่มากนักที่สามารถเก็บรักษามันไว้ได้ในระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้
นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นไม่สามารถเก็บรักษาและปกป้องสภาพของโบราณวัตถุเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์เลยโดยเฉพาะอาวุธประเภทนี้นั้นซึ่งมีหลายชิ้นที่มักจะขึ้นสนิมเมื่อสัมผัสกับอากาศยกตัวอย่างเช่นอาวุธจำนวนมากที่ขุดได้จากหลุมฝังศพของราชวงศ์ฉินที่ได้รับการเก็บรักษาอย่างไม่เหมาะสมและกลายเป็นวัตถุขึ้นสนิม อย่างไรก็ตามคลื่นโลหิตหมาป่านี้ดูเหมือนจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเลยเพราะมันยังคงคมมากและรูปลักษณ์ของมันก็ยังคงเหมือนกับสิ่งที่อยู่ในบันทึกทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
หมินเว่ยเหวินก็แบมือรับมีดโลหิตหมาป่าจากมือของเย่เชียนด้วยความสั่นสะท้านและมองดูมันอย่างระมัดระวังและตื่นเต้นอย่างจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงเมื่อหมินเว่ยเหวินบอกที่มาที่ไปของมีดโลหิตหมาป่าเล่มนี้
คลื่นโลหิตหมาป่านั้นเดิมถูกเรียกว่าฉีจือที่บ่งบอกถึงความภักดีอย่างแท้จริง,ความกตัญญูกตเวที,ความเมตตากรุณา,ความเที่ยงธรรม,ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง,ความมุมานะ,และศรัทธาที่แท้จริง! ครั้งหนึ่งเมื่อราชวงศ์ฉินปกครองโลกนั้นก็มีขุนนางอยู่หลายคนที่ทรยศหักหลังและทำลายประเทศดังนั้นเขาจึงมองหามือสังหารที่จะทำการลอบสังหารราชวงศ์ฉิน และเขาคนนั้นก็คือหนึ่งในลัทธิเต๋าที่เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของโลกโดยมีคลื่นโลหิตหมาป่าเป็นอาวุธที่เขาใช้ในการลอบสังหารราชวงศ์ฉินแต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จเพราะเต๋าคนนั้นถูกฆ่าตายในที่นั่นและคลื่นโลหิตหมาป่าก็ตกอยู่ในมือของราชวงศ์ฉินนับตั้งแต่นั้นมา
แต่ตำนานก็เล่าขานกันว่าเมื่อการต่อสู้เหนือห้องโถงใหญ่ที่ร่ำลือกันในช่วงเวลานั้นพลังและแสนยานุภาพของคลื่นโลหิตหมาป่าก็ปรากฏขึ้นในขณะนั้นเพราะแทบจะไม่มีอาวุธใดๆ ที่สามารถสัมผัสขอบคมมีดของมันได้เลยแม้แต่น้อยเพราะก่อนที่จะได้สัมผัสกับอาวุธประเภทอื่นนั้นอาวุธนั้นๆ ก็จะแตกสลายทันทีเมื่อสัมผัสกับคลื่นโลหิตหมาป่า ซึ่งในเวลาต่อมาราชวงศ์ฉินก็ได้พกคลื่นโลหิตหมาป่าเอาไว้ข้างๆ เขามาเสมอและฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วนจนคลื่นโลหิตหมาป่าดูดซับกลิ่นอายแห่งความโทสะและความโหดร้ายของราชวงศ์ฉินจนทำให้คลื่นโลหิตหมาป่ามักจะเผยกลิ่นอายแห่งเจตนาฆ่าออกมาเสมอ
ในบันทึกตามประวัติศาสตร์นั้นโลกและทุกสรรพสิ่งจะไม่ทอดทิ้งผู้ที่แข็งแกร่ง!
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์นั้นมันก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าคลื่นโลหิตหมาป่านั้นเป็นผลมาจากการครอบครองโลกในทางที่ผิดของราชวงศ์ฉินเป็นเวลาหลายพันปีแต่ทว่าคลื่นโลหิตหมาป่าก็ยังคงสามารถรักษาสภาพเอาไว้ได้ซึ่งเพียงพอที่จะอธิบายคุณค่าของมันได้แล้ว ซึ่งในฐานะของโบราณนั้นคลื่นโลหิตหมาป่าเล่มนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อยๆ ก็หลายร้อยล้านหยวนและแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นสมบัติที่พ่อค้าทั้งโลกสนใจแต่สำหรับหมินเว่ยเหวินแล้วค่าของคลื่นโลหิตหมาป่าเล่มนี้นั้นไม่สามารถตีตราคุณค่าด้วยเงินได้เลย
หมินเว่ยเหวินก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้เห็นสิ่งอันล้ำค่าเช่นนี้หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เย่เชียนอย่างคาดหวังและพูดว่า “เอ่อ..คุณเย่! ..คุณอยากจะขายมีดเล่มนี้หรือเปล่า?”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรีบคว้ามีดคลื่นโลหิตหมาป่าออกมาจากมือของหมินเว่ยเหวินและเก็บใส่เสื้อของเขาไป และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหมิน..นี่คุณล้อผมเล่นเหรอ..อย่ามาพูดถึงคุณค่าของมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเลย..เพราะสำหรับผมแล้วมันมีความหมายมากกว่านั้น..น้องชายของผมต้องเสียแขนไปก็เพราะมัน..แล้วคุณคิดว่าผมจะขายมันมั้ยล่ะ?”
“เอ่อโทษที..ฉันตื่นเต้นเกินไปหน่อย” หมินเว่ยเหวินยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “เอาเถอะ..ถึงคุณเย่จะขายมันแต่ฉันก็ไม่รู้เลยว่าฉันจะมีเงินมากพอที่จะซื้อมันหรือเปล่าน่ะ..ถ้างั้นคุณเย่สัญญากับฉันจะได้มั้ย”
“พูดมาเลยครับ!” เย่เชียนพูด อาจเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จึงทำให้ทัศนคติของเย่เชียนเปลี่ยนไปมากเช่นกันและเขาก็ไม่เคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้
“คุณเย่ให้ฉันยืมมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเพื่อศึกษามันสักสองสามวันจะได้ไหม..ฉันสัญญาเลยว่ามันจะไม่มีอะไรเสียหายอย่างแน่นอน” หมินเว่ยเหวินพูดอย่างกระตือรือร้น ซึ่งเย่เชียนเองก็ยังคงเชื่อในสิ่งนี้เพราะสำหรับผู้ที่ศึกษาโบราณวัตถุแล้วพวกเขาจะไม่มีวันทำลายวัตถุโบราณที่มีค่าเช่นนี้อย่างแน่นอน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “ได้! ..หลังจากงานการประมูลจบลงคุณหมินสามารถนำมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปศึกษาสองสามวันได้เลย”
“ขอบใจ! ..ขอบใจ!” หมินเว่ยเหวินจับมือของเย่เชียนด้วยความตื่นเต้นและพูด ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเพราะถ้าเขารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้เขาคงไม่ต้องลำบากขนาดนี้เพราะถ้าหากเขานำมีดคลื่นโลหิตหมาป่าออกมาตั้งแต่แรกล่ะก็เรื่องต่างๆ ก็คงจะเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เย่เชียนจะขายมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปเพราะอู๋หวนเฟิงต้องจ่ายแขนข้างหนึ่งของเขาเพื่อให้ได้มันมาเช่นนั้น และมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรกับการให้มีดคลื่นโลหิตหมาป่ากับหมินเว่ยเหวินเพื่อไปศึกษาสักสองสามวัน ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้กังวลเลยว่าหมินเว่ยเหวินจะกล้าแอบหนีไปพร้อมกับมีดคลื่นโลหิตหมาป่า เว้นแต่หมินเว่ยเหวินจะมีความมั่นใจที่จะไม่ถูกเย่เชียนจับได้ทีหลัง อย่างไรก็ตามเย่เชียนเองก็เชื่อว่าหมินเว่ยเหวินนั้นมีคุณธรรมได้เรื่องนี้อย่างมาก
เย่เชียนนั้นได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอีกครั้งและหมินเว่ยเหวินก็ได้ตอบตกลงทางอ้อมต่อคำขอของเย่เชียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“คุณหมินถ้างั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้ว..คุณทำต่อเถอะครับ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์
หมินเว่ยเหวินก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “เอ่อ..ฉันไม่ไปส่งหรอกนะ”
เมื่อเย่เชียนออกมาจากบ้านของหมินเว่ยเหวินแล้วอู๋หยางเทียนฉิงก็ไมได้อยู่ที่นี่แล้ว ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกันและหลังจากขึ้นรถแล้วเขาก็ขับรถตรงไปที่บ้านของผู้ประเมินราคาโบราณวัตถุคนอื่นๆ อีกสองคน
เมื่อเทียบกับหมินเว่ยเหวินแล้วอีกสองคนที่เหลือนั้นคุยง่ายกว่ามากเพราะเย่เชียนเพียงให้เงินพวกเขาเพียงเล็กๆ น้อยๆ และมันก็ง่ายดายอย่างมาก หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้แล้วเย่เชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะในที่สุดเขาก็สามารถออกไปกินมื้อเที่ยงอย่างสบายใจได้แล้วและรีบไปเลือกของขวัญให้ซ่งหลันอีกด้วย
เมื่อนึกถึงของขวัญที่ต้องมอบให้กับซ่งหลันแล้วเย่เชียนก็ปวดหัวไปกับการเลือกซื้อและใช้เวลาช่วงบ่ายไปทั้งหมดและเขาก็เลือกที่ถูกใจอย่างไม่เต็มใจเพราะเขาไม่รู้เลยว่าซ่งหลันจะชอบไหม และนี่ก็คือสิ่งที่เย่เชียนคิดเกี่ยวกับความจริงตราบใดที่เย่เชียนมอบให้เธอถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาๆ แต่มันก็มีค่ามากมายในสายตาของซ่งหลันอยู่ดี
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้วเย่เชียนก็คิดว่าเขายังไม่ได้ไปพบพ่อและเด็กน้อยเย่หลินเลย ซึ่งเมื่อนึกถึงเด็กน้อยเย่หลินแล้ว เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้างๆ เพราะเย่เชียนนั้นถือว่าเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาเองและถึงแม้ว่าชายชราจะคอยดูแลเธอมาตลอดก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะไม่รักและไม่คิดถึงเธอ
เย่หลินนั้นยังอยู่ในโรงเรียนอนุบาลแต่เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ได้เปิดเผยสถานะที่พิเศษของเธอแล้วเพราะเธอเป็นดั่งราชินีและเผด็จการในโรงเรียนอนุบาล อย่างไรก็ตามในสายตาของครูแล้วเธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและเขาก็รักเธอ ซึ่งจากมุมมองนี้เพียงอย่างเดียวนั้นแม้แต่ผู้ใหญ่หลายๆ คนก็ไม่สามารถทำเหมือนเธอได้เลย
ไม่น่าแปลกใจที่เย่หลินสามารถกลายเป็นบทบาทที่ทุกคนในโรงเรียนอนุบาลต้องเกรงกลัวและในอนาคตเธอก็จะถูกเรียกว่าราชินีที่แท้จริง
วันนี้เป็นวันเกิดของซ่งหลันและเย่เชียนก็อยากจะพาเย่หลินไปที่บ้านของซ่งหลันเพื่อฉลองวันเกิดด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงโทรไปหาพ่อของเขาและพูดถึงเรื่องนี้ซึ่งพ่อก็ไม่ได้มีความคิดเห็นใดๆ มากนักเขาเพียงบอกให้เย่เชียนดูแลเย่หลินดีๆ และอย่าปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและรีบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งเมื่อพ่อของเขาได้เล่าถึงเรื่องต่างๆ แล้วในท้ายที่สุดเย่เชียนก็แทบจะสำลักออกมาเพราะการที่ให้เย่หลินลองดื่มไวน์หนึ่งแก้วในช่วงตรุษจีนตอนนั้นจนหลังจากนั้นมาเธอจะร้องและขอดื่มหนึ่งแก้วในทุกๆ คืนเมื่อเธอกลับบ้าน ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็แอบคลายลิ้นออกมาอย่างลับๆ เพราะเธอทรงพลังมากตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วเมื่อเธอโตขึ้นล่ะเธอจะเป็นอย่างไร?
ซึ่งพ่อของเย่เชียนนั้นก็รักและเอ็นดูเย่หลินมากเกินไปและบ่อยครั้งที่เขาอดไม่ได้ที่จะไม่ตำหนิเธอ ซึ่งในฐานะพ่อแล้วเย่เชียนก็ควรทำหน้าที่ของเขาในฐานะพ่อเสียบ้างและถึงแม้ว่าการดื่มจะไม่เป็นอันตรายก็ตามแต่เย่เชียนก็กลัวว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะกลายเป็นคนติดเหล้าเมื่อเธอโตขึ้น
เมื่อเย่เชียนมาถึงทางเข้าของโรงเรียนอนุบาลนั้นโรงเรียนก็เพิ่งจะเลิกกันและมีกลุ่มเด็กๆ เต็มไปทั่วบริเวณ ซึ่งเด็กๆ ทุกคนนั้นดูตื่นเต้นกันอย่างมาก หลังจากนั้นเย่เชียนก็ออกจากรถและยืนพิงรถและรอให้เย่หลินออกมาพลางสูบบุหรี่ในปากของเขาและครู่หนึ่งไม่นานนักเย่เชียนก็เห็นเย่หลินเดินนำออกมาท่ามกลางกลุ่มเด็กผู้ชายที่ตามหลังเธอมา ซึ่งการกระทำของเธอนั้นเหมือนกับหัวหน้ามาเฟียสาวที่ยิ่งใหญ่และสง่างามอย่างมาก
เด็กๆ สมัยนี้ช่างมีพลังกันจริงๆ จนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มเพราะเขาคาดว่าเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นกำลังหลงใหลในความน่ารักของเย่หลินและต้องการให้เย่หลินชอบพวกเขา แต่ทว่าเย่หลินกลับมีเล่ห์เหลี่ยมที่เหลือร้ายและทำให้เด็กผู้ชายกลุ่มนั้นหลงเชื่อเธอและเดินตามเธอเหมือนลูกน้องมาเฟียอย่างไงอย่างงั้น
“หลินหลิน!” เย่เชียนตะโกนเรียก
เย่หลินก็หันหน้าไปมองและเธอก็เห็นเย่เชียนและในทันใดนั้นรอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏขึ้นที่ปากของเธอและเธอก็ตะโกนว่า “พ่อ!” หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ไงสาวน้อยผู้สง่างาม!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
เย่หลินก็ยิ้มและโน้มตัวเข้าไปข้างๆ หูของเย่เชียนและพูดว่า “พ่อคะ..เจ้าพวกนั้นเขาไร้ประโยชน์มากเลย” หลังจากนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่บุหรี่ในปากของเย่เชียนแล้วพูดว่า “พ่อสูบบุหรี่ที่นี่ได้ยังไง..หนูยังเป็นเด็กอยู่เลย..พ่อต้องการทำลายอนาคตของชาติหรอคะ?”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปและหลังจากนั้นเขาก็หัวเราะขณะที่โยนก้นบุหรี่ทิ้งและพูดว่า “ก็ได้ๆ ..ไม่สูบแล้ว..ไม่สูบแล้ว” จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่กลุ่มเด็กๆ ที่ตามมาและเย่เชียนก็ถามว่า “นั่นเพื่อนของหนูหรอ?”
“หลินหลิน..นี่พ่อของเธอเหรอ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งถามและไม่รอให้เย่หลินตอบแต่อย่างใดและเขาก็พูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับคุณลุง!”
“สวัสดีๆ!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่หลินก็หันกลับมาและมองไปที่พวกเขาและพูดว่า “พวกนายกลับกันไปเถอะ..และก็จำเอาไว้ด้วยว่าพรุ่งนี้อย่าลืมนำมันมาให้ฉันด้วย”
“ได้ๆ!” กลุ่มเด็กผู้ชายก็รีบตอบและพูดว่า “ถ้างั้นพวกเราไปก่อนนะ..พรุ่งนี้เจอกัน!”
“อ่าห๊ะ!” เย่หลินก็พยักหน้าและตอบอย่างสง่างามซึ่งรูปแบบในการตอบนั้นราวกับว่าเธอเป็นหัวหน้าขององค์กรใหญ่จนเย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยและเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าแบบนี้มันดีหรือไม่ดีสำหรับเย่หลินกันแน่แต่อย่างไรก็ตามอายุในปัจจุบันของเย่หลินนั้นเธอก็บริสุทธิ์และไร้เดียงสาอยู่แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะโตก่อนวัยอันควรเล็กน้อย อย่างไรก็ตามขนาดเธออยู่แค่อนุบาลเช่นนี้เธอยังสามารถควบคุมคนจำนวนมากได้แล้วในอนาคตเธอจะเป็นเช่นไร?
“ขึ้นรถเลย..วันนี้เป็นวันเกิดของพี่สาวหลัน..เราไปวันเกิดเธอกันเถอะ” เย่เชียนพูด สาวน้อยคนนี้มักจะเรียกซ่งหลันว่าพี่สาวอยู่เสมอ
“มีเค้กไหมหนูอยากกินครีม!” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มีความสุขมากและกระโดดขึ้นรถอย่างมีความสุข ซึ่งมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อครู่นี้เพราะตอนนี้เป็นความไร้เดียงสาที่เด็กๆ ควรจะมี
“ได้สิ..พ่อจะให้หนูกินครีมทั้งหมดเลยแมวน้อย!” เย่เชียนพูดและเกาจมูกของเย่หลินเบาๆ หลังจากนั้นก็ช่วยเธอล็อคเข็มขัดนิรภัยและสตาร์ทรถแล้วขับออกไปจากโรงเรียน “แล้วที่หนูบอกให้พวกนั้นเอาอะไรมาให้วันพรุ่งนี้น่ะคืออะไร..หนูไม่ได้เก็บค่าคุ้มครองหรอกใช่มั้ย?” เย่เชียนถามอย่างสงสัย
.
.
.
.
.
.
.