ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 23 ดาบสองคม
ตอนที่ 23 ดาบสองคม
บนฟลอร์เต้นรำ…
หลินโรโร่วยิ้มกว้างให้เย่เชียนแล้วพูดแซวเขาว่า
“เมื่อตะกี๊นี้คุณเพิ่งพูดอะไรออกมานะ ? ฉันได้ยินมันไม่ชัดเลย… คุณช่วยพูดอีกครั้งได้ไหมคะ ?”
“อะไร ? ผมพูดว่าอะไรเหรอ ?” เย่เชียนแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา
แน่นอนว่าเขารู้ว่าหลินโรโร่วต้องการให้เขาพูดประโยค ‘โรโร่วเป็นแฟนของผม’ ให้เธอฟังอีกครั้ง แต่เขาต้องการที่จะหยอกล้อกับผู้หญิงที่น่ารักคนนี้สักหน่อยจึงทำทียึกยัก
“คุณรู้!” หลินโรโร่วบุ้ยปากอย่างเขินอาย
“ไม่… ผมไม่รู้จริง ๆ!” เย่เชียนตอบพร้อมมองไปทางอื่นอย่างน่าสงสัย
“คุณนี่มัน… กะล่อนจริง ๆ!” หลินโรโร่วด่าอย่างน่ารักและทุบอกของเย่เชียนด้วยกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอ
เย่เชียนจับมือเธอและสัมผัสได้ว่ามือของเธอนั้นช่างเล็กน่ารักและที่สำคัญคือ มันนุ่มมาก อีกทั้งผิวของเธอก็ขาวใสอย่างแท้จริง เขายิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า
“หลินโรโร่วเป็นแฟนผม… ไม่มีทางที่ใครจะแย่งคุณไปจากผมได้”
หลินโรโร่วยิ้มแย้ม เธอมีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ขณะที่ซบอยู่ในอ้อมกอดของเย่เชียนอย่างเต็มใจ…
แต่ทว่าในอีกมุมหนึ่ง อู่หยางเทียนหมิงที่ได้เห็นฉากนี้รู้สึกหมั่นไส้ เขาตะโกนบางอย่างออกมาด้วยความไม่พอใจทันที เขาไม่ได้อิจฉาเพราะเขาชอบหลินโรโร่วเป็นพิเศษแต่เพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้
เขาไม่สามารถปล่อยให้หนุ่มบ้านนอกอย่างเย่เชียนมาทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้ได้ เพราะมันเป็นเหมือนกับเป็นการตบหน้าราชสีห์อย่างเขา!
กลุ่มคนอวดดีที่ชอบเสแสร้งเหล่านี้ เย่เชียนไม่อยากจะสนใจและให้ความสำคัญอะไรกับพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะคนพวกนี้เพียงแค่อาศัยเอาอำนาจและอิทธิพลของครอบครัวมาใช้กดขี่ข่มเหงคนอื่นก็เท่านั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่พวกหนุ่มสาวผู้เย่อหยิ่งและเผด็จการจอมปลอมที่ทำกร่างไปทั่ว คนที่เขาสนใจและห่วงใยจริง ๆ คือหลินโรโร่วเพียงคนเดียว
ในขณะที่เย่เชียนและหลินโรโร่วกำลังเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่แสนหวานและความสุขอันเปี่ยมล้นของพวกเขา จู่ ๆ ซูย่าหยิงก็ดึงหลินโรโร่วไปพูดด้วย
“โรโร่ว เราไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแน่ะ มีเรื่องให้พวกเราคุยกันเยอะแยะเลย ฉันขอยืมตัวเธอซักพักนึงนะ…”
เย่เชียนขมวดคิ้วและรู้สึกเกลียดชังที่ซูย่าหยิงไม่รู้จักกาลเทศะ ความตั้งใจของผู้หญิงคนนี้นั้นเดาได้ไม่ยาก เขารู้ว่าเธอไม่ได้มีอะไรจะพูดกับหลินโรโร่วแต่เธอแค่อยากดึงหลินโรโร่วออกไปจากเขาก็แค่นั้น ด้วยเหตุนี้คงไม่ต้องคิดอะไรมาก เขารู้อยู่แล้วว่าอู่หยางเทียนหมิงคงกำลังจะก่อปัญหาขึ้น
ซูย่าหยิงไม่คิดว่าหลินโรโร่วจะโง่และไร้เดียงสาได้ขนาดนั้น เธอกลัวว่าการกระทำของตัวเองจะถูกคาดเดาได้โดยง่าย ดังนั้นเธอจึงพูดเสแสร้งเยินยอว่า
“โอ้ย… พวกเธอสองคนน่ะช่างน่ารักกันซะจริงนะ ไงก็รักกันนาน ๆ อย่าเลิกกันล่ะ… ฉันนี่อยากจะใช้กาวมาติดพวกเธอทั้งสองเข้าด้วยกันให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย” ซูย่าหยิงยิ้มอย่างเสแสร้ง
เย่เชียนยิ้มให้หลินโรโร่วและพูดว่า
“ผมไม่เป็นไร… คุณและเพื่อนของคุณไปคุยกันให้สบายใจเถอะ เสร็จแล้วค่อยกลับมาหาผมก็ได้”
เมื่อหลินโรโร่วเห็นการแสดงออกที่มั่นใจของเย่เชียน เธอก็พยักหน้าตอบรับก่อนที่จะเดินไปกับซูย่าหยิง ส่วนเย่เชียนนั้นเดินไปยังที่นั่งของเขาและเทไวน์ใส่แก้ว เขานั่งไขว่ห้างแล้วค่อย ๆ จิบไวน์อย่างสบายใจ…
“นี่ไอ้น้องชาย… ให้ฉันบอกความจริงกับนายไหมว่านายน้อยอู่หยางน่ะตกหลุมรักแฟนของนาย เพราะงั้นนายน่ะ ระวังตัวไว้ให้ดีเข้าใจไหม ?” หลินเจียนเอ่ยขึ้นพร้อมมองเย่เชียนเหยียด ๆ
“อือ” เย่เชียนตอบอย่างเฉยเมย
เพียงคำพูดคำเดียวที่ออกมาจากปากเย่เชียนทำให้หลินเจียนแปลกใจอย่างมาก เพราะในตอนแรกเขาคิดว่าวิธีนี้จะกดดันเย่เชียนได้ แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะง่ายถึงเพียงนี้ หลินเจียนจึงมั่นใจว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าคนขี้ขลาดที่ไม่มีความกล้าหาญเลยแม้แต่นิด
“ดี…! อันที่จริงนายควรติดตามนายน้อยอู่หยางนะ เพราะในอนาคตนายจะได้สบายเหมือนฉันคนนี้ ฮ่า ๆ ๆ” หลินเจียนพูดอย่างภาคภูมิใจ
“อือ… พี่ชาย… พี่ช่วยไปบอกเขาให้ทีว่าผมเห็นแม่ของเขาสวยมากก็เลยอยากจะ… เอาเป็นว่าถ้าเขาเชื่อฟังก็ให้เขาส่งแม่ของเขามาที่เตียงของผมหน่อย พี่เข้าใจใช่ไหม ?” เย่เชียนพูดเบา ๆ อย่างเยือกเย็นทว่ายังคงรักษาท่าทีที่ไม่แยแสของเขาเอาไว้ ซึ่งท่าทีเช่นนี้มันไม่ยากเลยที่จะกระตุ้นและทำให้เกิดเรื่องบาดหมางขึ้น
“เวรเอ๊ย! แกพูดอะไรออกมาวะ! ไอ้เด็กนี่… อยากตายหรือไงวะ ?”
ไม่ต้องรอให้ถึงมืออู่หยางเทียนหมิง หลินเจียนลุกขึ้นยืนอย่างโกรธแค้น เขาตะโกนพร้อมกับหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาซึ่งเป้าหมายของเขาคงไม่พ้น…หัวของเย่เชียน
ที่เคาน์เตอร์บาร์ บาร์เทนเดอร์สาวเซียวหลงนูก็เห็นการกระทำนี้ เธอก็รีบปิดปากที่อ้าค้างของเธอจากอาการตกตะลึง การทะเลาะวิวาทในบาร์เป็นเรื่องปกติที่เธอเห็นบ่อย ๆ แต่วันนี้มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเพราะคนที่กำลังเจอปัญหานั่นคือคนที่เธอชื่นชมอยู่ในใจ แต่เธอเองรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีมาสักพักหนึ่งแล้ว
ในขณะเดียวกัน หลี่ตงและลูกน้องของเขาก็เพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในบาร์และเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี เมื่อหลี่ตงและลูกน้องเห็น ทุกคนต่างก็ขนลุกตัวสั่นขึ้นมา พวกเขาอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันวานแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้และได้แต่สวดภาวนาให้กับหลินเจียนอย่างลับ ๆ ในใจ
อนิจจา! ชายผู้นั้นช่างไม่รู้อะไรเสียแล้วว่าเขากำลังเอาตัวเองเขาไปติดพันกับปีศาจแห่งความตายดี ๆ นี่เอง
หลินเจียนที่ในมือกำขวดเบียร์ไว้แน่นเงื้อมือขึ้นเหนือหัว เพียงเสี้ยววินาทีจากนี้ มันคงจะถูกปาไปที่หัวของเย่เชียนเป็นแน่แท้ แต่เปล่าเลย! ร่างกายของเย่เชียนนั้นเคลื่อนตัวหลบอย่างว่องไว และจากนั้นเขาก็ใช้เท้าเตะขวดเบียร์ที่ตกอยู่บนพื้นให้มันเด้งขึ้นมาอย่างง่ายดายก่อนจะคว้าขวดไว้แล้วทุบมันเข้าใส่หัวของหลินเจียนอย่างรวดเร็ว!
ขวดแก้วใบนั้นกระแทกเข้ากับหัวของหลินเจียนและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที แต่ไม่เพียงแค่ขวดเท่านั้นที่แตก เพราะในตอนนี้หัวของหลินเจียนเองก็แตกเช่นเดียวกัน เลือดสด ๆ ไหลออกจากหัวของเขาอาบลงมาที่ใบหน้า ไม่พอเย่เชียนยังหมุนตัวเตะหลินเจียนเข้าไปอีกหนึ่งตลบจนทำให้หลินเจียนลอยขึ้นไปในอากาศอย่างสวยงาม
เย่เชียนสบถเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างเดือดดาลว่า
“บ้าเอ๊ย! จะต้องให้ลงไม้ลงมือกันเลยใช่ไหมถึงจะพอใจ! ฉันต่อสู้มาตั้งแต่ที่พวกแกยังดูดนมแม่กันอยู่ด้วยซ้ำ…”
หลินเจียนที่มักจะอาศัยอิทธิพลของพ่อตัวเองทำกร่างไปทั่ว และนอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ของเขากับอู่หยางเทียนหมิงแล้ว หลินเจียนมักจะชอบรังแกและเอาเปรียบคนธรรมดา ๆ อยู่เป็นประจำ แต่มาวันนี้กลับมีคนอื่นที่กล้าทำกับเขาเช่นนี้ได้
เมื่อเห็นเลือดบนหัวของตัวเอง เขาก็เริ่มกรีดร้องประหนึ่งเป็นตุ๊ด ความกลัวฉายชัดทั่วใบหน้าและในแววตาของเขา
“อ๊าาา… อ๊าาา… เลือด… เลือด!!!” หลินเจียนร้องออกมาอย่างน่าสังเวช
คนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่เชียนจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ดุเดือดแบบนี้และฝูงชนก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองดูเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวเซี่ยที่ทำงานในกระทรวงยุติธรรม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงข้าราชการพลเรือนระดับไม่สูงมากก็ตาม แต่ทว่าแม้ใคร ๆ ที่พบเขาก็ล้วนจะเคารพเขาอย่างง่ายดาย เมื่อเขาได้เห็นฉากต่อสู้ถึงขั้นเลือดตกยางออกเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากตัวสั่นเทาราวกับเจอผี
ลูกน้องที่เหลือของอู่หยางเทียนหมิงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีอีกคนเดินเข้าไปหาเย่เชียน พร้อมขวดเบียร์ในมือ
“พี่ใหญ่… พวกเราควรทำอย่างไรดี ?” เซียวตี่ ลูกน้องของหลี่ตงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากถามขึ้นมา
“เราไปช่วยเขาดีไหมพี่ ? แต่จะช่วยเขาได้อย่างไรล่ะ ?”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักเลง แต่พวกเขาก็เป็นคนสามัญธรรมดา นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้เห็นการกระทำของกลุ่มคนที่ร่ำรวยและเย่อหยิ่งเข้ามารุมล้อมเย่เชียนทุกด้าน พวกเขาก็รู้สึกค่อนข้างเดือดดาลกับความไม่ยุติธรรมนี้และอยากจะเข้าไปช่วยเย่เชียนแม้ว่าพวกเขาเองจะกำลังบาดเจ็บอยู่ก็ตาม
หลี่ตงเบิกตากว้างพร้อมถามกลับว่า
“แกบ้าไปแล้วเรอะ ?! เอาอะไรมาคิดวะว่าคนเก่ง ๆ อย่างเขาต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ห๊ะ?!”
เซียวตี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็เข้าใจได้ในทันที เมื่อเขาเห็นด้วยตาของเขาเองถึงความแข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ของเย่เชียน เขาก็เบาใจและคิดว่า…มีหรือคนอย่างนั้นจะพ่ายแพ้
ถึงแม้ว่าระหว่างกลุ่มของหลี่ตงกับเย่เชียนจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถเกลียดเย่เชียนลงได้ เพราะบนเส้นทางของการเป็นนักเลง มักจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ท้าทายแฝงอยู่ ยิ่งเผชิญหน้ากันมาก่อนกลับยิ่งได้ใจกัน
การที่พ่ายแพ้แก่เย่เชียนในวันนั้นก็เพียงเพราะว่าพวกเขาไม่หยั่งรู้ถึงตัวตนของเย่เชียน คืนนี้พวกของหลี่ตงมาพร้อมกับเงินที่สัญญากับเย่เชียนเอาไว้ในวันนั้น แต่พวกเขาบังเอิญได้เข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาจึงทำได้แค่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ
ตรงหน้าของหลี่ตงนั้น ฝ่ายหนึ่งเป็นเย่เชียนที่ทรงพลังและกล้าหาญ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นบุตรชายของผู้มีอิทธิพลที่มีผู้หนุนหลังที่ทรงพลังอย่างมาก แน่นอนว่าหลี่ตงไม่สามารถขัดใจทั้งสองฝ่ายได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ถึงเขาอยากจะเข้าไปช่วยเย่เชียนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเย่เชียนเสียเปรียบแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะหัวใจของนักเลงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำผิดพลาดยกพวกไปรุมคนเพียงคนเดียว ณ ตอนนี้เขาจึงอยากจะแก้ไขมันให้อยู่บนเส้นทางที่แท้จริงด้วยความยุติธรรม ทว่ามันก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วที่จะไม่เข้าไปยุ่ง นอกจากนี้ ลึก ๆ แล้วเขาไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องกับเย่เชียนอีก
เขาคิดว่าเมื่อเขาส่งมอบเงินให้แก่เย่เชียนแล้ว เขาก็ไม่ต้องการเห็นเย่เชียนอีกในชีวิตนี้ สำหรับการแก้แค้นอะไรนั่น ลืมมันไปได้เลย…
“เฮ้ย!… ใครมันกล้ามาสร้างความวุ่นวายในที่ของข้าวะ อยากตายกันนักรึไง ?!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังสนั่นบาร์
อู่หยางเทียนหมิงและลูกน้องมองหน้ากันอย่างงุนงงแต่เย่เชียนไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้หลุดลอยไป เขาวิ่งกระโดดเข้าไปเตะพวกนั้นทั้งหมดในรวดเดียว แม้ว่าเย่เชียนจะไม่จำเป็นต้องเริ่มก่อน แต่ถ้าเขามีโอกาสแล้วล่ะก็ ทำไมจะต้องเสียมันไปอย่างไร้ค่าด้วย ? นอกจากนี้เย่เชียนก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่จะต้องรักษาภาพพจน์แต่อย่างใด
บางครั้งการทำสิ่งที่น่ารังเกียจก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มหนุ่มสาวจอมปลอมที่เสแสร้งแกล้งทำตลอดชั่วชีวิตเหล่านี้ คำว่าทีเผลอก็คงจะเทียบไม่ติด…