ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 229 เปลี่ยนแผน
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเคยพูดถึงฝีมือของหมาป่าผีไป๋ฮวยให้จื่อจุนฟังมาก่อน เขาจึงพอที่จะรู้มาบ้างว่าไป๋ฮวยนั้นมีฝีมือที่เก่งฉกาจขนาดไหน ขนาดที่ว่าราชาหมาป่าเย่เชียนอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมาป่าผีไป๋ฮวยเลยก็ว่าได้ จื่อจุนคิดไปคิดมาเขาก็รู้สึกเกรงว่าตัวเองนั้นอาจจะไม่มีความสามารถมากพอใจการจับตัวไป๋ฮวยคนนี้ และถ้าเทียบกันระหว่างตัวเขาเองกับเย่เชียนแล้ว มันก็มีโอกาสมากกว่าที่เย่เชียนจะสามารถจับไป๋ฮวยได้ เพราะเย่เชียนนั้นรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไป๋ฮวยมามากกว่าเขา
ขณะนั้นเองที่มีชายชาวจีนสามคนเดินเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่บริเวณนั้น ทว่าจู่ ๆ พวกเขาก็เดินเข้าไปหากลุ่มชาวต่างชาติร่างกำยำ ในมือของชายชาวจีนคนหนึ่งถือผ้าสไบซึ่งห่อสิ่งของบางอย่างเอาไว้ในมือด้วย
เย่เชียนและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันจับตามองคนเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เย่เชียนก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ไป๋ฮวยไม่ได้มาด้วย อันที่จริงแล้วเขารู้สึกสับสนนิดหน่อย เพราะใจหนึ่งเขาก็รู้สึกอย่ากให้ไป๋ฮวยมา ส่วนอีกใจกลับไม่อยากให้มาสักเท่าไหร่
“เขาไม่มาเหรอ ?” อู๋หวนเฟิงถามด้วยความงุนงง
“เขาอยู่ที่นี่แหละ!” เย่เชียนพูด เขารู้สึกได้ว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยจะต้องมาด้วยอย่างแน่นอนและอาจจะอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้เป็นแน่ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมเหมือนกัน
จื่อจุนและเซียวหวันต่างก็หันไปมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ พวกเขาสงสัยว่าทำไมเย่เชียนถึงได้แน่ใจนักว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยอยู่ที่นี่ด้วย
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นอย่างที่เย่เชียนว่า เพราะจากระยะไกลนั้นไป๋ฮวยกำลังมองผ่านกล้องส่องทางไกลอินฟาเรดสำหรับมองกลางคืนอยู่ เขาคอยสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ แต่ไม่คลาดสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้ฉายาว่า หมาป่าผี เพราะว่าเขานั้นมักจะซ่อนตัวอยู่อย่างลับ ๆ ในสถานที่แปลก ๆ ซึ่งการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนของกันกับหน่วยซีไอเอในครั้งนี้นั้น ไป๋ฮวยไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่ถูกคนอื่นใช้ให้เป็นเบี้ย แต่มันเป็นไปในทางกลับกันเสียมากกว่า
และมันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ไป๋ฮวยก็รู้สึกได้เช่นกันว่าเย่เชียนนั้นอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกได้แบบนั้น
ชายชาวจีนสามคนกับกลุ่มสายลับซีไอเออีกห้าคนกำลังยืนคุยกันอยู่เงียบ ๆ และเนื่องจากอยู่ไกลพวกเย่เชียนจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดกัน
“ใช่! มันเป็นการซื้อขายพระบรมสารีริกธาตุนั่นแหละ” เซียวหวันพูดขึ้น
เย่เชียนจ้องมองเซียวหวันอย่างงุนงง เขารู้สึกสงสัยมากว่าเซียวหวันรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่เมื่อเซียวหวันเห็นความสับสนในแววตาของเย่เชียน เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันอ่านปากได้น่ะ”
เย่เชียนพยักหน้าและคิดกับตัวเองว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมไปเลย
“พวกเขากำลังจะเริ่มการซื้อขายกันแล้ว… คุณต้องการที่จะลงมือเลยหรือเปล่า ?” เซียวหวันถาม แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้เห็นว่าเย่เชียนเป็นผู้บัญชาการในปฏิบัติการนี้ เพราะเธอถามจื่อจุน
จื่อจุนมองไปทางเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าตอบ แต่เมื่อทุกคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะลงมือ จู่ ๆ เย่เชียนก็เห็นร่างดำ ๆ หลายร่างอยู่ใกล้ ๆ กับการทำธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยน แต่ทว่าเนื่องจากเวลามันผ่านไปเร็วเกินไป เย่เชียนจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าและร่างของคู่ต่อสู้ได้อย่างชัดเจนมากนัก
“เดี๋ยว!” ก่อนที่เซียวหวันจะกระโดดลงไป เย่เชียนก็คว้าตัวเธอมากอดเอาไว้แน่น
“อะไรเล่า !? มันจะไม่ทันเวลานะแบบนี้!” เซียวหวันพูดพลางพยายามเอามือของเย่เชียนออกจากตัวเธอด้วยความโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย
ในช่วงเวลาวิกฤตและคับขันเช่นนี้เย่เชียนไม่อยากที่จะทะเลาะกับเธอเลย เขาจึงพูดเพียงว่า “มีบางอย่างผิดปกติ… รอดูสิ”
เซียวหวันไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจถึงลำดับความสำคัญ เพราะเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดแล้ว เซียวหวันก็ระงับความฉุนเฉียวของตัวเองเอาไว้และยอมอยู่กับเขาอย่างเชื่อฟัง
จู่ ๆ ก็มีคนประมาณเจ็ดถึงแปดคนวิ่งออกมาจากทางด้านหลังของศาลาจูซิงอย่างรวดเร็ว พวกเขายกปืนขึ้นและกราดยิงไปยังกลุ่มที่กำลังทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอยู่โดยไม่ลังเล
ชายชาวจีนทั้งสามคนอยู่ในอาการตื่นตระหนก พวกเขาพยายามมองหาที่หลบวิถีกระสุนเพื่อเอาตัวรอด ชายหนึ่งในสามคว้าห่อผ้าสไบมาแนบไว้ที่อกแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเขาก็ชักปืนออกมายิงตอบโต้กลับไปด้วย ความเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นแสดงให้เห็นว่าชายสามคนนี้คงไม่ใช่พวกอันธพาลข้างถนนธรรมดา ๆ เพราะดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว พวกเขานั้นเหมือนกันพวกทหารมืออาชีพที่ได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดีต่างหาก
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เย่เชียนรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าไป๋ฮวยนั้นจะมีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เจนสนามรบอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ถึงขนาดนี้แล้วไป๋ฮวยก็ยังคงไม่ปรากฎตัวออกมาให้เห็นอีก
ไป๋ฮวยที่ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ผ่านกล้องส่องทางไกลอยู่ห่าง ๆ ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างพอใจราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นได้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้แล้วยังไงยังงั้น
“คนพวกนี้เป็นใครกันน่ะ ?” เซียวหวันถามด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะมาจากญี่ปุ่นนะ” อู๋หวนเฟิงพูด
“ญี่ปุ่น ?” เซียวหวันพูด “พวกเขาต้องการที่จะชิงพระบรมสารีริกธาตุกลับไปงั้นเหรอ ?”
“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” เย่เชียนพูด “แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไป๋ฮวยถึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวอีก ผมรู้สึกว่าเขาอยู่แถวนี้นี่แหละ แล้วทำไมเขาถึงยังเงียบอยู่ในเมื่อมีคนต้องการแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุไปน่ะ”
เซียวหวันจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนและพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นายยังไม่ได้เห็นไป๋ฮวยสักหน่อย แล้วทำไมนายถึงบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ล่ะ ? บางทีนายอาจจะเห็นผีก็ได้”
เย่เชียนยิ้มอย่างหมดหนทางกับเธอและพูดเปลี่ยนประเด็นว่า “เหตุการณ์ที่นี่มันชักจะบานปลายแล้ว… อีกเดี๋ยวพวกตำรวจก็คงจะแห่กันมา”
“ไม่มาหรอก… เพราะวันนี้พวกเราได้ไปประสานงานกับกรมตำรวจส่วนกลางเอาไว้แล้วว่าพวกเราจะลงพื้นที่ปฏิบัติการพิเศษ เพราะงั้นพวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวและไม่มาแทรกแซงพวกเรา แต่ว่าเราไม่สามารถปล่อยสถานการณ์ให้มันบานปลายนานเกินไปได้ ไม่งั้นฝูงชนจะแตกตื่นและสื่อมวลชนต่าง ๆ ก็จะพาดหัวข่าวเรื่องนี้อย่างแน่นอน” จื่อจุนพูด
โชคยังดีที่ในบริเวณศาลาจูซิงนั้นไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลยสักคน เลยไม่มีใครมีโอกาสถูกลูกหลงจากเหตุการณ์อุกฉกรรจ์ในครั้งนี้ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาจูซิงได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดติดต่อกัน พวกเขาจึงเกิดอาการตื่นตระหนกและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจสิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นเพื่อเอาตัวรอด
เย่เชียนเห็นด้วยกับสิ่งที่จื่อจุนพูดมาทั้งหมด เพราะต่อให้พวกตำรวจจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องในวันนี้ แต่เรื่องมันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว และถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรเลยล่ะก็ มันคงจะทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายมากพออยู่แล้วย่ำแย่ขึ้นไปอีก
“เราจะทำยังไงกันดี ?” เซียวหวันถามด้วยความสับสน
“รอก่อน!” เย่เชียนพูด “เพราะถ้าเราลงไปในตอนนี้มันจะทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้นไปอีก”
“แต่…!” เซียวหวันต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าจื่อจุนกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “รอก่อน! ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอก เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันอยู่เหนือความคาดหมายของเราไปแล้ว มันยังมีใครอีกหลายคนที่จับตามองพระบรมสารีริกธาตุอยู่”
“เป็นเพราะกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติของพวกคุณเองนั่นแหละที่บกพร่องและทำผิดพลาด… พวกคุณไม่รู้เรื่องสำคัญ ๆแบบนี้เลยได้ยังไง ?” เย่เชียนตำหนิ
“ใช่… ผมยอมรับว่าพวกเราบกพร่องในเรื่องนี้ เราเกือบทำให้คุณต้องเดือดร้อนแล้วด้วย!” จื่อจุนพูดด้วยความรู้สึกผิดอย่างมาก
เซียวหวันเม้มปากของเธอและพูดว่า “ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบมันนี้เกิดขึ้นหรอก… แต่ตอนนี้มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี”
เย่เชียนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เพราะสิ่งที่กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติทำมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูสถานการณ์ที่ดุเดือดเช่นนี้ต่อไป
และแล้วสายลับซีไอเอสี่คนก็เสียชีวิตลงและมีเพียงคนเดียวที่ยังเหลือรอด ขณะที่ชายชาวจีนของหมาป่าผีไป๋ฮวยทั้งสามคนนั้นเสียชีวิตไปทั้งหมด และกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ทราบฝ่ายก็เสียชีวิตไปอีกสี่คน ดูเหมือนว่าการยิงปะทะอันนองเลือดที่ดุเดือดนั้นกำลังจะจบลงในไม่ช้า
เย่เชียนหายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า “เราทุกคนเตรียมพร้อมนะ… เราจะเริ่มเปิดเผยตัวและเข้าควบคุมตัวคนที่ยังเหลือรอดอยู่ จำเอาไว้นะว่าเท่าที่สามารถทำได้เท่านั้น ถ้าไม่ไหวก็จับตายซะ”
อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและตรวจสอบอุปกรณ์ของตัวเองอีกครั้ง
ไป๋ฮวยนั้นมองเห็นฉากนี้ได้จากในระยะไกลและรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เพราะทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว ความเป็นจริงนั้นไป๋ฮวยจงใจปล่อยข่าวการทำธุรกรรมของวันนี้ออกไป ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ว่าคนของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติต้องอยู่ที่นี่ด้วย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดก็คือเย่เชียนเข้ามาช่วยคนของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติในครั้งนี้ด้วย ทว่าถึงยังไงแล้วสำหรับไป๋ฮวยสถานการณ์ทั้งหมดก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี
ในที่สุดเหตุการณ์ยิงปะทะนองเลือดก็สิ้นสุดลง ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม แต่มันยังคงมีซากศพอยู่บนพื้นและมีรอยเลือดเปื้อนตามวิหารและศาลาของวัดขงจื๊ออย่างน่าสยดสยอง เอาไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้านักปราชญ์ขงจื๊อที่สนับสนุนความเมตตากรุณาและความยุติธรรมมาโดยตลอดต้องมาเห็นภาพและเหตุการณ์เหล่านี้
เวลาต่อมากลุ่มติดอาวุธชาวญี่ปุ่นก็ได้ถูกกวาดล้างทั้งหมด มีเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็คือสายลับจากซีไอเอ ส่วนคนของหมาป่าผีไป๋ฮวยทั้งหมดนั้นได้เสียชีวิตในสนามรบเมื่อครู่นี้ไปจนหมดแล้วและกล่องที่ห่อด้วยผ้าสไบก็ตกอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก
เย่เชียนรู้สึกสับสนอย่างมาก เขาเชื่อว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ? หรือว่าเขาจะไม่ได้สนใจเลยว่าพระบรมสารีริกธาตุที่เขาขโมยกลับมาอย่างยากลำบากจะถูกแย่งชิงไปโดยคนอื่น ?
แต่ในเวลานี้เย่เชียนไม่สามารถที่จะกังวลไปกับเรื่องนั้นได้ เพราะไม่ว่าไป๋ฮวยจะคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ก็ตาม เขาก็ต้องรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าก่อน เมื่อเย่เชียนเห็นสายลับของซีไอเอกำลังเดินไปที่กล่องที่ห่อด้วยผ้าสไบแล้ว เย่เชียนก็ทักทายเขาและทั้งสามคนก็กระโดดลงมาจากข้างบนอาคาร
ในการจัดการกับคน ๆ เดียวแต่ถึงกับต้องใช้คนถึงสามคนมันก็จะดูมากเกินไป เมื่อเห็นทั้งสามคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว สายลับซีไอเอคนนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะได้ตอบสนองอะไรใด ๆ เซียวหวันก็ยิงเขาอย่างไม่ลังเล จังหวะนั้นเธอช่างดูเหมือนสาวสวยที่ลงโทษคนชั่วในนามของดวงจันทร์ยังไงยังงั้น
เย่เชียนรู้สึกสับสนอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไม่ได้มองไปที่กล่องบนพื้นเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับมองไปรอบ ๆ ราวกับว่ากำลังมองหาร่องรอยของหมาป่าผีไป๋ฮวยเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานเซียวหวันก็หยิบกล่องขึ้นมาจากบนพื้นอย่างตื่นเต้น จริง ๆ แล้วเธอคิดว่ามันจะยากลำบากมากกว่านี้เสียอีก เธอไม่ได้คาดหวังเลยว่ามันจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ปฏิบัติการอันทรงเกียรตินี้มันดูง่ายดายมากเกินไป ทันใดนั้นเซียวหวันก็เปิดผ้าสไบด้านนอกและเผยให้เห็นกล่องไม้โบราณ ซึ่งเซียวหวันก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดมันและเมื่อเธอเปิดมันออกเธอก็ตกตะลึงอย่างมากในทันที!