ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 195 ครึ่งหนึ่งของชีวิต... มีขึ้นก็ต้องมีลง
“มานั่งนี่สิ!” เฉินฟู่เฉิงตบเตียงเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนไม่พูดอะไรเพียงแต่ลุกขึ้นไปนั่งที่ข้างเตียงอย่างว่าง่าย เขามองเฉินฟู่เฉิงและตั้งใจฟังสิ่งที่เขาต้องการจะพูดอย่างเงียบ ๆ เพราะเย่เชียนรู้ดีว่าสำหรับเฉินฟู่เฉิงในตอนนี้นั้นสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้
“เป็นเวลานานมากแล้วล่ะที่ฉันเคยได้พูดคุยกับคนดี ๆ สักคนหนึ่ง ที่จริงส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฉันเองนี่แหละไม่มีเวลา ฉันเลยไม่มีโอกาสที่จะได้คุยกับใคร ว่าก็ว่าเถอะฉันไม่เคยได้คุยกับใครอย่างสบายใจเลย โชคดีที่ฉันมาเจอเธอในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนี้ เย่เชียนเอ๋ย! อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมเหมือกันตอนที่ฉันเห็นเธอครั้งแรก ฉันรู้สึกคุ้นเคยและดีใจมาก ลูกสาวของฉันน่าจะอายุพอ ๆ กันกับเธอนี่แหละ” ดวงตาของเฉินฟู่เฉิงเป็นประกายด้วยความคิดถึงเมื่อเขาเอ่ยถึงลูกสาวของเขา มันมีทั้งความรักและความรู้สึกผิดลึก ๆ อยู่ภายใน
เย่เชียนไม่แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่าการที่เฉินฟู่เฉิงเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมานั่นก็หมายความว่าลูกสาวของเขาไม่ได้มาอยู่เคียงข้างเขา
“บรรพบุรุษของฉันเป็นชาวนามาหลายชั่วอายุคน… พวกเขาใช้ชีวิตกันแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน พวกเขาต่างก็เกิดมาและตายไปในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลแห่งนั้น ส่วนพวกคนรุ่นใหม่ ๆ ทั้งหลายต่างก็ต้องการที่จะบินทะยานออกไปสู่โลกกว้างภายนอกและอยู่เหนือคนอื่น ๆ แต่สำหรับชาวนาอย่างพวกเราแล้วสิ่งเหล่านั้นมันยากยิ่งกว่าการปีนขึ้นไปบนยอดเขาเสียอีก มีผู้คนจากหลายรุ่นหลายชั่วอายุคนเคยได้ออกไปสู่โลกภายนอกอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับความสิ้นหวัง มันทำให้ผู้คนเลยพยายามไปตั้งความหวังไว้กับการเรียนแทน เพราะหวังว่าการร่ำเรียนหนังสือจะช่วยให้พวกเขาสามารถออกไปจากภูเขาลูกนั้นได้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย เพราะความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเรานั้นแย่มาก อีกอย่างค่าเล่าเรียนก็แสนแพง แถมยังต้องเดินทางไกลอีกหลายสิบกิโลเพื่อข้ามภูเขาไปโรงเรียน ระหว่างทางพวกเขาได้แต่กินแค่มันเผาและหาดื่มน้ำจากภูเขาเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะคนที่ไม่มีความฝันมันก็ไม่ต่างอะไรไปกับซอมบี้ที่ไม่มีจิตวิญญาณ”
“มีฉันนี่แหละที่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนแรกในหมู่บ้านของเรา… เมื่อก่อนฉันเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยหนานจิง ฮ่า ๆ ๆ ฉันน่ะเป็นนักเรียนอันดับต้น ๆ เชียวนะจะบอกให้ ฉันจำได้เสมอว่าตอนที่ฉันออกจากหมู่บ้านมา ชาวบ้านต่างก็พากันจุดประทัดเพื่อเฉลิมฉลองแสดงความยินดีให้กับฉัน และค่าเล่าเรียนของฉันมันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้านทั้งหมดที่รวบรวมกันมาให้ ถึงมันจะไม่พอก็เถอะ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของพวกเขาที่มีต่อฉันคนนี้ ฉันรู้ว่าพวกเขาฝากความหวังไว้กับฉันให้พาทุกคนออกจากความยากจนและความยากลำบาก แต่ก็นะ… นักศึกษาธรรมดา ๆ คนนึงจะทำอะไรได้มากมายขนาดนั้นล่ะ ? แต่จะให้ฉันบอกพวกเขาว่าฉันทำอะไรไม่ได้ มันก็คงเป็นสิ่งที่น่าเศร้ามาก ตั้งแต่เกิดมาก็มีแค่ตอนที่ชาวบ้านช่วยกันรวบรวมเงินส่งฉันมาในครั้งนั้นแหละที่สวยงามและวิเศษที่สุดในชีวิต ฉันเป็นหนี้พวกเขาและมันก็คือความรักที่ไม่มีวันจ่ายได้หมด”
“พอฉันเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันก็เริ่มทำงานพาร์ทไทม์และงานล่วงเวลาจนกระทั่งได้รับบรรจุ ตอนนั้นรัฐวิสาหกิจถือว่าเป็นงานที่ดีเลยทีเดียว เพราะมันเพียงพอที่จะทำให้ฉันอยู่เหนือคนอื่น ๆ ได้และฉันก็พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ แต่ฉันก็ทำงานอย่างสิ้นหวัง เพราะฉันรู้ว่าฉันไม่เพียงแค่ต้องรับผิดชอบต่อโชคชะตาของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชะตากรรมของคนทั้งหมู่บ้านอีกด้วย พวกเขามอบความไว้วางใจให้กับฉันและฉันก็ไม่สามารถที่จะทำให้พวกเขาผิดหวังได้”
“อย่างไรก็ตามความจริงมันแสนโหดร้าย เพราะคนที่เข้ามาทำงานในบริษัทพร้อม ๆ กันกับฉันพวกเขาได้นับการเลื่อนตำแหน่งและเติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฉันยังคงอยู่ที่เดิม… มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบกับเพื่อนดี ๆ สักคนหนึ่งจากที่ทำงาน เพราะคนที่ฉันรู้จักนั้นต่างก็ไม่เคยจริงใจต่อกันเลย”
“ตอนนั้นฉันทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน เขาต่อยฉันและด่าว่าฉันเป็นแค่ชาวนา ให้กลับไปใช้ชีวิตชาวนาซะ อย่าได้คิดจะมาเป็นใหญ่แข่งกับเขาที่นั่น ฉันตกใจมากกับคำพูดเหล่านั้น เพราะฉันน่ะไม่เคยคิดที่จะอยากไปทัดเทียมกับพวกเขาเลย”
“ฉันเพิ่งจะไปหาเขามาเมื่อไม่นานมานี้เอง เพื่อนร่วมงานของฉันที่ต่อยฉันคนนั้นน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้เขาเป็นรองผู้อำนวยการของบริษัทนั้น แต่แค่ตำแหน่งผู้อำนวยการมันไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมานั่งเท่าเทียมกับฉันได้อีกต่อไปแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรเขานะ ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังขอให้เขามากินข้าวเย็นกับฉันอีกต่างหาก ฉันปลื้มเขา ฮ่า ๆ ๆ เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่เตือนสติฉันในวันนั้น ฉันเกรงว่ามาวันนี้ฉันอาจจะยังคงอยู่ที่เดิมตรงนั้นและต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต”
“ชีวิตคนเรานั้นมีทางเลือกมากมายเสมอ… มันไม่มีสิ่งใดที่ผิดหรือถูก ตราบใดที่เราคิดว่ามันคุ้มค่าเราก็ควรลงมือทำซะ”
“เย่เชียนเอ๋ย… เธอสัญญากับคำขอสุดท้ายจากฉันได้มั้ย ? ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำขอจากชายชราที่กำลังจะตายก็ตาม”
“สัญญาอะไรครับ ?” เย่เชียนถามพร้อมกับระงับความเศร้าของเขาเอาไว้ ประสบการณ์ชีวิตของเย่เชียนที่เป็นตำนานมันดูเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับชีวิตของชายชราที่มีชื่อว่าเฉินฟู่เฉิงผู้นี้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฉินฟู่เฉิงก็ตาม แต่การที่เฉินฟู่เฉิงสามารถเป็นพี่น้องกับฉินเทียนได้นั้น มันก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ๆ ที่สามารถไต่เต้ามาจากก้นบึ้งของสังคมจากสามัญชนสู่ผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นจะต้องเต็มไปด้วยขวากหนามและชีวิตที่ขึ้น ๆ ลง ๆ เสมอเรื่อยมาแน่นอน
“สืบทอดเจตนารมณ์ของฉัน!” เฉินฟู่เฉิงพูดอย่างหนักแน่น
เย่เชียนถึงกับผงะและแน่นิ่งไป เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและประหลาดใจในคราวเดียวกัน เขาเพิ่งพบกับเฉินฟู่เฉิงเป็นครั้งแรกแท้ ๆ แต่เฉินฟู่เฉิงกลับต้องการมอบโลกของเขาที่ได้มาอย่างยากลำบากและฝ่าฟันมาตลอดทั้งชีวิตให้แก่เย่เชียน ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย
เฉินฟู่เฉิงยิ้มและพูดว่า “อย่าคิดอะไรมากนักเลย… ฉันน่ะได้ทำตามสัญญาช่วยพาคนทั้งหมดในหมู่บ้านของเราออกมาแล้วและสนับสนุนให้พวกเขายืนได้ด้วยขาของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉันแค่หวังว่าจะมีใครสักคนช่วยฉันรักษาสัญญานี้ต่อไปได้ถึงฉันจะไม่รู้ความเป็นมาและตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเธอนั้นเหมือนฉัน เธอเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นและความทะเยอทะยานเหมือนกันกับฉัน!”
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อย เพราะแท้จริงแล้วศรัทธาที่เขายึดมั่นก็คือพี่น้องของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า พี่น้องที่เขาจะไม่มีวันลืม แต่เย่เชียนรู้สึกอยากที่จะช่วยสืบทอดเจตนารมณ์ของเฉินฟู่เฉิงด้วย ถึงแม้ว่าหนทางเหล่านั้นมันอาจจะยากมากก็ตาม
“เย่เชียนเอ๋ย… เธอเต็มใจหรือเปล่า ?” เฉินฟู่เฉิงถาม
เย่เชียนรู้สึกชื่นชมและเคารพการตัดสินใจของเฉินฟู่เฉิงมาก เขาหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ครับ ผมขอให้สัญญากับคุณ!”
เฉินฟู่เฉิงแสดงรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา ในที่สุดหัวใจที่ไม่ยอมปล่อยวางมานานแสนนานของเขาก็สงบลง ชีวิตของเขาคือการเสี่ยงโชค ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักเย่เชียนก็ตาม แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความพากเพียรและความทะเยอทะยานของเย่เชียนได้ บางอย่างในตัวของเย่เชียนทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวของชายหนุ่มผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก