ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 173 คนจริงไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ (3)
บอดี้การ์ดทั้งสองขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหนึ่งในสองคนก็พูดขึ้นมาว่า “ผมต้องขอโทษด้วย… แต่พวกเรารับเงินของคุณมาเพื่อที่จะปกป้องและคุ้มกันคุณเพียงเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อใช้กำลังเหมือนเป็นอันธพาลของคุณ”
“หือ! แกคิดว่าแกเป็นใครกันน่ะ การใช้กำลังเหมือนอันธพาลมันคือหน้าที่ของพวกแกไม่ใช่รึไง” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างเหยียดหยามต่อ “จะให้ฉันพูดมั้ยว่ายังมีคนอีกตั้งมากมายที่อยากจะมาทำหน้าที่นี้แทนพวกแกน่ะหา”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะยากจน แต่ขอล่ะ… อย่ามาดูถูกพวกเราแบบนี้เลย เพราะพวกเราก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน” บอดี้การ์ดคนนั้นพูด
“ศักดิ์ศรีเหรอ ? แกยังมีศักดิ์ศรีอยู่อีกเหรอ ? ต้องให้ฉันบอกพวกแกมั้ยว่าบนโลกนี้น่ะ ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ย่ะ มีศักดิ์ศรีแล้วไงถ้าไม่มีเงิน? ถ้ามีไม่มีเงินก็อย่ามาพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีเลยจะดีกว่า” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“นังแม่มดเฒ่าเอ้ย! รู้มั้ยว่าพวกเราอดทนกับคุณมามากขนาดไหนน่ะ ไม่มีเงินแล้วไง ? ชีวิตเราก็ยังดิ้นรนได้ในวันข้างหน้าล่ะวะ!” บอดี้การ์ดอีกคนพูดขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“นี่แก! แกกล้าเรียกฉันว่าแม่มดเฒ่างั้นเหรอ ?” หญิงวัยกลางคนตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก ไขมันบนร่างกายของเธอกระเพื่อมไปมาเป็นคลื่นเพราะแรงสั่นอันมหาศาลนั้น
“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ? อย่าคิดว่าแค่คุณมีเงินแล้วจะมาทำตัวยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าได้นะ พอกันทีผมลาออก!” หลังจากพูดแบบนี้แล้วบอดี้การ์ดคนนั้นก็เดินออกไปด้วยความโกรธ
“ผมก็ไม่อยากทำแล้วเหมือนกัน! ผมหมดความอดทนกับคุณแล้ว ถุย!” บอดี้การ์ดอีกคนพูดพร้อมกับถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็หันหน้าหนีและเดินจากไปเช่นกัน
“นี่แก! พวกแก!!!” หญิงวัยกลางคนตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าพวกแกไม่ทำ ฉันขอเตือนเลยนะว่าพวกแกจะไม่มีที่ยืนและไม่มีอนาคตในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้อีกต่อไป!”
เมื่อเห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนจากไป เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “อย่าคิดว่าคุณจะสูงส่งและยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าเหนือคนอื่นนะ คุณมันจอมโอหัง!” พูดจบเย่เชียนก็เดินไปหาหลินโรโร่วและพูดขึ้นว่า “เที่ยงแล้ว… เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“ได้สิ!” หลินโรโร่วพยักหน้าและตอบกลับ
เมื่อเย่เชียนและหลินโรโร่วกำลังจะเดินผ่านเซินหยวนไป เย่เชียนก็หยุดมองเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “ดูเหมือนว่าสมองคุณนี่มันจะเลอะเลือนสินะ คุณคงลืมสิ่งที่ผมบอกคุณไปเมื่อวานนี้แล้วใช่มั้ย ?”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในออฟฟิศของเขาเมื่อวานนี้ เซินหยวนก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและมองไปที่เย่เชียนด้วยความหวาดกลัว “จำเอาไว้ว่าอย่าให้ผมเห็นอะไรแบบนี้อีก!” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา
หลังจากพูดแบบนี้แล้วเย่เชียนกับหลินโรวโร่วก็กำลังจะเดินออกไป แต่ทว่าหญิงวัยกลางคนตะโกนไล่หลังมาว่า “นี่แก… แกจะเดินหนีไปแบบนี้น่ะเหรอ”
เย่เชียนหยุดเดินและหันไปมองหญิงวัยกลางคนแล้วถามว่า “อะไร… โดนตบไปขนาดนั้นยังไม่พอใจอีกเหรอ ?”
เมื่อสัมผัสกับดวงตาอันแหลมคมดุจดั่งใบมีดของเย่เชียนแล้ว หญิงวัยกลางคนก็ผงะและถอยกลับออกไปพร้อมกับความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจของเธอ แต่อย่างไรก็ตามการอาศัยอิทธิพลของเหว่ยตงเซียนผู้เป็นพี่ชายของเธอก็ทำให้เธอหยิ่งผยองและโอหังได้โดยตลอด ในสายตาเธอนั้นเหว่ยตงเซียนเป็นพี่ชายที่ดีและคนที่ดีที่สุดในโลกของเธอ
“แกจะหนีไปหลังจากที่ตบฉันแล้วเนี่ยนะ ?” หญิงวัยกลางคนพูด
มุมปากของเย่เชียนโค้งขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็พูดว่า “แล้วคุณหยุดผมได้มั้ยล่ะ ?”
“ถ้าแกเป็นลูกผู้ชายจริงก็อย่าหนีสิ” หญิงวัยกลางคนพูดเย้ยหยัน
“ผมไม่จำเป็นที่จะต้องพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมเป็นลูกผู้ชายจริง ๆ หรือเปล่าหรอก” เย่เชียนพูด “ถ้าคุณต้องการที่จะเคลียร์ปัญหาล่ะก็ ผมจะอยู่เล่นกับคุณจนถึงที่สุดก็ได้ แต่ตอนนี้ผมหิวมาก ผมคงต้องไปหาอะไรกินก่อน คุณรอผมอยู่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะกลับมาเล่นด้วยหลังจากกินข้าวเสร็จ” เย่เชียนรู้ดีว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้เป็นน้องสาวของเหว่ยตงเซียน และคนที่เธอเรียกมาช่วยนั้นก็ต้องมาจากตงเซียนกรุ๊ปอย่างแน่นอน ซึ่งเย่เชียนก็สนใจที่จะทำสิ่งนี้ในเซี่ยงไฮ้อย่างมากอยู่แล้ว เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องของคืนที่ผ่านมาอีก เย่เชียนมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นตงเซียนกรุ๊ปแน่ ๆ ที่พยายามทำการลอบสังหารเขาเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะชำระแค้นและคิดบัญชีในคราวเดียวกันไปเลย
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็จับมือของหลินโรโร่วและออกจากโรงพยาบาลไป
เมื่อเห็นเย่เชียนจากไป ผู้คนที่คอยมุงดูเหตุการณ์นี้ทั้งหมดก็ทยอยแยกย้ายกันไป ส่วนหญิงวัยกลางคนก็มองเซินหยวนอย่างดุร้ายและพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “คุณนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ ภรรยาของคุณถูกตบตีขนาดนี้ แต่คุณก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเลยด้วยซ้ำ คุณมันไม่ใช่ผู้ชาย!”
เซินหยวนเข้ามาหาเธออย่างสุภาพและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “โธ่ทูนหัว คุณอย่าโกรธไปเลยนะ การโกรธแค้นคนที่ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติผู้ดีมันไม่คุ้มกันหรอก ถ้าคุณโกรธ… คิ้วของคุณจะย่นนะ ยิ้มหน่อยสิเดี๋ยวคุณจะไม่สวยเอานะ”
หญิงวัยกลางคนตะคอกกลับอย่างไม่แยแสและพูดว่า “ฉันกลืนมันลงไปไม่ได้หรอก! ฉันมีอำนาจและยิ่งใหญ่ขนาดนี้แต่กลับมีคนกล้ามาตบหน้าฉัน! ฉันจะโทรหาพี่ชายของฉันเดี๋ยวนี้แหละ ฉันอยากให้ไอ้เด็กบ้านั่นมันทรมานเจียนตายไปซะตั้งแต่ตอนนี้เลย!” หลังจากพูดจบหญิงวัยกลางคนก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและโทรออกไปยังหมายเลขของเหว่ยตงเซียน
ไม่นานเสียงของเหว่ยตงเซียนก็ดังมาจากในโทรศัพท์มือถือว่า “นี่เธอเป็นอะไรอีก ?” น้ำเสียงของเหว่ยตงเซียนดูไม่ดีและร้อนรนเล็กน้อย เพราะในความเป็นจริงแล้วเหว่ยตงเซียนนั้นไม่ค่อยชอบน้องสาวคนนี้ของเขามากเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงพวกเขาทั้งสองก็เป็นพี่น้องกัน และเธอก็เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา เขาถึงต้องยอมอดทนกับเธอ
“พี่ชาย… ฉันถูกตบ! หน้าฉันมันแสบไปหมดเลย” หญิงวัยกลางคนแสร้งทำตัวเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ และบอบบาง แต่สารรูปของเธอนั้นดูน่าอึดอัดอย่างมาก มันทำให้ผู้คนที่เห็นเธอนั้นต่างก็ส่ายหัวและแทบจะเดินหนีไป
“อ้าว ? แล้วบอดี้การ์ดสองคนนั้นล่ะ อีกอย่างใครจะกล้ามาตบตีเธอกัน ? อย่าบอกนะว่าเธอไปรังแกและข่มเหงคนอื่นอีก” เหว่ยตงเซียนพูดอย่างหมดหนทาง
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่ ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะไอ้สารเลวเซินหยวนคนเดียวแท้ ๆ ฉันได้ข่าวมาว่าเขาน่ะไปตามตอแยพยาบาลสาวในโรงพยาบาล ฉันก็เลยมาที่นี่เพื่อจัดการกับปัญหาเรื่องนี้ แต่ฉันกลับถูกแฟนของยัยพยาบาลนั่นตบเอา! ส่วนไอ้พวกบอดี้การ์ดเฮงซวยสองคนนั้นก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี พวกมันทำอะไรเขาไม่ได้เลย แถมตอนนี้ผู้คนก็พากันแตกตื่นกันไปหมดแล้ว พี่ชายต้องช่วยฉันนะ… แก้แค้นให้ฉันที” หญิงวัยกลางคนเสแสร้งอ้อนวอน
เหว่ยตงเซียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะเขานั้นรู้จัก เหว่ยตงฉิง ผู้เป็นน้องสาวเป็นอย่างดี และเขาก็เข้าใจหัวอกของเซินหยวนอีกด้วย เพราะมีเพียงเซินหยวนเท่านั้นที่สามารถฝืนทนกับรูปลักษณ์และอารมณ์ของน้องสาวของเขาได้ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ล่ะ ? ในเมื่อเธอเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา
“โอ้… ได้สิ เธอต้องการให้ฉันทำอะไรล่ะ” เหว่ยตงเซียนพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลเหรินหมิน พี่ส่งคนมาด่วนเลยได้มั้ย ? ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าไอ้เด็กนั่นอีกต่อไปแล้ว” เหว่ยตงฉิงพูด
“เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง ? เธอจะให้ฉันส่งคนไปฆ่าคนในโรงพยาบาลเนี่ยนะ เธอจะฆ่าฉันทางอ้อมหรือไงหา ?” เหว่ยตงเซียนพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“ถ้าพี่ฆ่ามันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันต้องการให้พี่หักมือและเท้าของมัน ให้มันคลานออกจากโรงพยาบาลเหมือนหมาไปเลย!” เหว่ยตงฉิงพูด
“ก็ได้ ๆ เดี๋ยวฉันจะให้เหว่ยเฉินหลงพาคนไป… พอใจรึยัง ?” เหว่ยตงเซียนพูด
“ขอบคุณมากพี่ชาย… พี่รีบส่งคนมาตอนนี้เลยนะ ฉันกลัวว่าพวกเขาจะมาไม่ทันแล้วพี่อาจจะต้องมาเก็บศพน้องสาวคนนี้ไปแทน” เหว่ยตงฉิงเสแสร้งพูด
ปกติแล้วเหว่ยตงเซียนไม่เคยได้ยินประโยคนี้จากน้องสาวของเขาอย่างจริงจังขนาดนี้ เขาจึงถอนหายใจอย่างหมดหนทางและวางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นจึงรีบโทรหาเหว่ยเฉินหลงลูกชายของเขาในทันที
“พ่อ! ทำไมพ่อต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย” เหว่ยเฉินหลงถามด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้อาของแกอยู่ที่โรงพยาบาลเหรินหมิน แกรีบพาคนไปหาเธอด่วนเลย!” เหว่ยตงเซียนพูดต่อ “เออ.. อย่าลืมพาพวกแนวหน้าทักษะดี ๆ ไปด้วยล่ะ”
เหว่ยเฉินหลงเองก็รู้จักนิสัยใจคอของอาของตัวเองเป็นอย่างดีเช่นกัน หลังจากที่ฟังพ่อของเขาพูดแล้ว เหว่ยเฉินหลงก็รู้ได้ในทันทีว่าอาของเขาต้องไปก่อปัญหาสร้างเรื่องอะไรอีกอย่างแน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก มันเกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราจนเหว่ยตงเซียนต้องจ้างบอดี้การ์ดสองคนให้เธอ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาอะไร และคราวนี้เขาโทรมาอีกครั้งซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนนั้นทนไม่ได้แล้วก็เลยไม่อยู่ที่นั่นกับเธอ จากนั้นเหว่ยเฉินหลงก็ตอบตกลงกับพ่อของเขาและรีบออกไปตามคำสั่งทันที