ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1047 เปลี่ยนแผนไม่ทันตามสถานการณ์ (2)
ตอนที่ 1047 เปลี่ยนแผนไม่ทันตามสถานการณ์ (2)
……….
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นซูซี่พาจ้าวหยาไปที่สนามบิน ส่วนเย่เชียนกับจินเหว่ยห่าวก็เตรียมตัวและขับรถของจ้าวหยาไปยังห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง
ระหว่างทางไปสนามบินจ้าวหยาก็มักจะเมินเฉยเมื่อซูซี่คุยกับเธอเพราะเธอก็ดูหมกมุ่นและเหม่อลอยจนซูซี่งุนงงว่าจ้าวหยานั้นคิดอะไรอยู่ จากนั้นซูซี่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มันก็แค่การจากกันชั่วคราวเท่านั้นเดี๋ยวอีกไม่นานก็ได้เจอกันแล้ว..คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้หรอก..เฮ้อ..ถ้าหลี่เหว่ยของฉันดีเหมือนเย่เชียนได้ครึ่งหนึ่งฉันก็ดีใจแล้ว” ซูซี่จงใจพูดปลอบใจเธอเพราะเธอไม่ต้องการให้จ้าวหยาต้องกังวลเพราะท้ายที่สุดแผนการของเย่เชียนครั้งนี้ก็อันตรายมากเพราะถ้าเธอไม่ปลอบใจจ้าวหยาจะต้องกังวลอย่างแน่นอน
จ้าวหยาก็ฝืนยิ้มอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดด้วยความขมขื่นว่า “ฉันเสียใจมาก..ทำไมฉันถึงต้องเรียกเขามาที่นี่ด้วย..ฉันเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า?”
ซูซี่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้หญิงที่มีความรักจะได้รับอนุญาตให้เห็นแก่ตัวกับคนรักรู้มั้ย?..นี่เป็นสิทธิของผู้หญิงอย่างเราเพราะงั้นคุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก”
จ้าวหยาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและหันไปมองที่หน้าต่างอีกครั้งแล้วซูซี่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นบรรยากาศในรถก็ดูเงียบไปและซูซี่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนโยนดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหรือพูดอะไรกับจ้าวหยาดี ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลยเพราะยิ่งพูดมันก็ยิ่งทำให้จ้าวหยาเป็นกังวลเท่านั้น
ก่อนที่จ้าวหยาจะรู้ตัวรถก็มาถึงที่สนามบิน JFK แล้ว และซูซี่ก็เดินไปส่งจ้าวหยาที่เค้าท์เตอร์เพื่อซื้อตั๋วและหลังจากเห็นจ้าวหยาเข้าไปในทางเดินของไฟลท์บินแล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจและหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆซูซี่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาแล้วโทรไปที่สำนักงานหน่วยข่าวกรอง CIA แล้วพูดตามที่เย่เชียนวางแผนเอาไว้
เมื่อผู้อำนวยการสำนักข่าวหน่วยข่าวกรอง CIA ได้ยินคำพูดของซูซี่แล้วเขาก็โกรธเกรี้ยวทันทีและหลังจากพูดไม่กี่คำเขาก็วางสายไป ในที่สุดหาเหตุของสุดยอดทหารที่เขาทำการทดลองมาที่ตายในประเทศจีนครั้งก่อนก็มีเบาะแสแล้ว ซึ่งสิ่งนี่ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอย่างมากแต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้โกรธจนเสียสมาธิไปเพราะเนื่องจากเย่เชียนมีความสามารถในการกำจัดสุดยอดทหารของเขาได้นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงถึงความสามารถของเย่เชียน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถประมาทได้และเกรงว่าการใช้เพียงสายลับของ CIA เหล่านี้จะไม่มีทางจับตัวเย่เชียนได้เลย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็โทรออกทันที
สิ่งที่ผู้อำนวยการ CIA ทำนั้นซูซี่ไม่ทราบและมันไม่ได้อยู่ในแผนการเลย หลังจากวางสายแล้วซูซี่ก็มองดูเครื่องบินบินออกจากรันเวย์และหลังจากที่เครื่องบินค่อยๆหายไปบนท้องฟ้าเธอก็เดินออกจากสนามบินไป แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าในสนามบินแห่งนี้จะมีร่างคนร่างหนึ่งมองดูเธอที่กำลังจะจากไปอย่างเงียบๆและนั่นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจ้าวหยานั่นเอง
ในขณะที่เครื่องบินกำลังจะปิดประตูห้องโดยสารจู่ๆจ้าวหยาก็ไปหาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและโกหกว่าเธอมีอาการโรคหัวใจกำเริบและต้องลงจากเครื่องบินทันทีเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งหลังจากได้รับอนุญาตแล้วเธอก็รีบลงจากเครื่องบิน สาเหตุก็เพราะถ้าเธอไม่บอกให้เย่เชียนมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเองดังล่ะก็เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ดังนั้นจ้าวหยาก็รู้สึกว่าเธอเห็นแก่ตัวเกินไปและถ้าเธอจากไปแบบนี้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเย่เชียนล่ะก็เธอก็พร้อมที่จะตายไปพร้อมกับเย่เชียนจะดีกว่า
บางครั้งผู้หญิงก็ได้รับอนุญาตให้เห็นแก่ตัวกับคนรักและจ้าวหยาก็ต้องการที่จะเห็นแก่ตัวอีกครั้งโดยการโน้มน้าวให้เย่เชียนล้มเลิกความคิดนั้นและไปจากประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมกับเธอเพราะเธอไม่ต้องการให้เย่เชียนเสียงอันตรายใดๆ แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจะต้องมีบุคลากรในด้านนี้อยู่แล้วที่ต้องรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้เย่เชียนเข้าไปเสี่ยงชีวิตเพื่อมีส่วนร่วมในเรื่องนี้
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากเดินไปรอบๆห้างสรรพสินค้ากับจินเหว่ยห่าวสักพักซูซี่ก็โทรเข้ามาโดยบอกว่าจ้าวยาวขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้วอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะถ้าจ้าวหยาอยู่ที่นี่ด้วยเขาก็จะไม่สามารถทำอะไรได้อย่างสบายใจ
จากนั้นซูซี่ก็บอกว่าเธอได้แจ้ง CIA ไปแล้วและบอกให้พวกเขาเตรียมระดมพลอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากในห้างสรรพสินค้าก็ตามแต่เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินห้ามสรรพสินค้าจะถูกปิดล้อมและมันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเย่เชียนที่จะหนีออกมาได้ หลังจากที่ซูซี่วางสายไปเย่เชียนก็บอกกับจินเหว่ยห่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดและทั้งสองก็เดินออกจากห้างสรรพสินค้าไป
ในเวลานี้นอกห้างสรรพสินค้ามีรถ Maserati จอดอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆและแรนดี้บูนร์ก็กำลังนั่งอยู่ข้างในพร้อมกับซิการ์และยิ้มอ่อนๆที่มุมปากของเขา เขาดูพอใจอย่างมากแล้วมองไปที่คนขับและแรนดี้บูนร์ก็ถามว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย?”
“ไม่ต้องกังวลไปครับหัวหน้า..ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” คนขับรถพูด “ผมสั่งให้คนตามจ้าวหยาไปที่สนามบินเมื่อเช้านี้ตอนแรกผมคิดว่าเธอจะขึ้นเคื่องบินไปแต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะแอบออกมาในนาทีสุดท้าย..หัวหน้าครับผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลยแต่น่าเสียดายที่เราต้องฆ่าเธอ”
แรนดี้บูนร์ยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย..ใช่!..เธอมีเสน่ห์มากจริงๆแต่ผู้หญิงก็มักจะเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของผู้ชายเพราะงั้นฉันถึงไม่ชอบยุ่งกับผู้หญิงเหมือนพี่ชายของฉัน..นี่เป็นโอกาสที่ดีเพราะถ้าหากจ้าวหยาเป็นอะไรไปทุกอย่างจะต้องมุ่งเป้าไปที่เรกอย่างแน่นอนและเดอะมัวร์กรุ๊ปก็จะไม่ยอมกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะมีโอกาสทำผลงานดีๆและเมื่อตระกูลบูนร์และเหล่ามาเฟียอยู่ในกำมือของฉันมันจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน..มีเพียงฉันเท่านั้นที่สามารถนำตระกูลบูนร์ไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้”
“ความคิดและไหวพริบของหัวหน้านั้นดีกว่าพี่ใหญ่ของคุณมาก..มันเป็นเพราะผู้อาวุโสในตระกูลโปรดปรานเขาแท้ๆไม่อย่างนั้นเขาจะมีอย่างที่มีในทุกวันนี้ได้ยังไง?”
แรนดี้บูนร์ยิ้มและพูดว่า “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปเพราะเรกเองก็มีความสามารถเหมือนกัน..แต่ฉันจะต้องชนะเขาให้ได้และใครที่มาขวางทางฉันต้องตาย..เพราะงั้นถ้าเขาจะโทษใครก็โทษตัวเองเถอะ..บอกคนของเราให้ทำความสะอาดให้ดีและอย่างทิ้งร่องรอยเอาไว้เด็ดขาด..ถ้าเดอะมัวร์กรุ๊ปรู้ว่าพวกเราเป็นคนทำล่ะก็เราจะสูญเสียทุกอย่างไป”
“ครับผมไม่ต้องห่วงครับคนของเราทั้งหมดเป็นคนที่มีฝีมือที่ผมคัดเลือกมาอย่างดีและรับประกันว่าจะไม่มีใครสาวมาถึงตัวพวกเราได้” คนขับพูดอย่างมั่นใจ
แรนดี้บูนร์ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและหันไปมองที่หน้าต่าง
เมื่อเห็นเย่เชียนกับจินเหว่ยห่าวออกมาจากห้างสรรพสินค้าพวกเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเห็นร่างคนร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและเดินไปหาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “หยาเอ๋อร์ทำไมเธอถึง..เธอไม่ได้อยู่บนเครื่องบินหรอกเหรอ?”
“เย่เชียนเราจะออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยกันและเราจะไม่มาเหยียบที่ประเทศนี้อีก” จ้าวหยาเอนกายเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เชียนและสะอึกสะอื้นเบาๆ ความเห็นแก่ตัวก็คือความรักและจ้าวหยาก็ไม่สนใจเรื่องนี้เพราะในสายตาของเธอเย่เชียนสำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่างและเธอก็ไม่สนใจเรื่องของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติหรือ CIA เลย เธอเพียงหวังว่าผู้ชายของเธอจะออกจากที่นี่ไปอย่างปลอดภัยและถ้าหากมีโอกาสเริ่มต้นใหม่จ้าวหยาก็จะไม่ทำอีก เธอจะไม่โทรเรียกเย่เชียนให้มาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้อีก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจ้าวหยาแล้วเย่เชียนก็เข้าใจได้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องแอบฟังการสนทนาของเขากับซูซี่เมื่อคืนนี้และกังวลเกี่ยวกับเขา ดังนั้นเธอจึงไม่เต็มใจที่จะจากไปแต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆได้ดำเนินไปแล้วเพราะซูซี่ได้แจ้ง CIA ไปเรียบร้อยแล้วและสิ่งต่างๆก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป จากนั้นเย่เชียนจึงรีบโทรหาซูซี่และบอกว่าจ้าวหยายังอยู่ที่นี่และเมื่อได้ยินแบบนั้นซูซี่ถึงกับตกใจและบอกให้เย่เชียนหนีโดยเร็วที่สุดและเธอจะจัดช่องทางการหลบหนีให้พวกเขาออกจากประเทศนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
หลังจากขึ้นรถแล้วเย่เชียนก็นั่งเบาะคนขับส่วนจ้าวหยานั่งข้างคนจับและจินเหว่ยห่าวก็นั่งเบาะหลัง เพราะจ้าวหยาอยู่ที่นี่ด้วยดังนั้นเย่เชียนจึงไม่กล้ารอช้าอีกต่อไปเพราะอีกไม่นานคนจาก CIA ก็จะมาที่นี่และมันไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปแล้วเพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับจ้าวหยาล่ะก็เขาจะเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา
อย่างไรก็ตามเย่เชียนไม่ได้ตำหนิจ้าวหยาเพราะเขารู้ว่าจ้าวหยาไม่สามารถหยุดกังวลเกี่ยวกับตัวเขาได้และนั่นก็เป็นความรักที่เธอมีให้กับเขา นอกจากนี้ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะตำหนิเธอเพราะคนจาก CIA กำลังจะมาที่นี่ในเร็วๆและเย่เชียนก็ต้องออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ส่วนแผนก่อนหน้านี้จะถูกยกเลิกและไม่มีอะไรเสียหายเลยแม้แต่น้อย
เย่เชียนขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็วและเลี้ยวไปที่ทางหลวงจากนั้นก็ตรงไปยังชานเมือง โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่พอมองกระจกหลังแล้วก็เห็นรถปอร์เช่ 3 คันปรากฏขึ้นข้างหลังพวกเขาและไล่ตามพวกเขาราวกับสายฟ้า เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและคิดอย่างลับๆว่า “นี่มันเร็วเกินไปหรือเปล่า..ฉันเพิ่งจะออกจากห้างสรรพสินค้าได้ไม่นานแต่คนของ CIA ดันปรากฏตัวออกมาแล้ว..การเคลื่อนไหวของพวกเขาจะมีประสิทธิภาพเกินไปหรือเปล่า?” อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เวลาที่จะคิดมากเกินไปดังนั้นเย่เชียนจึงเร่งความเร็วและขับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหลังคากันแดดของรถปอร์เช่ที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออกและชายร่างใหญ่ชาวอเมริกันก็โผ่ลออกมาถือปืนกลอัตโนมัติแล้วกราดยิงใส่อย่างบ้าคลั่ง ในตอนนี้บนถนนที่ว่างเปล่าก็มีเสียงปืนดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง เมื่อเห็นแบบนั้นเย่เชียนก็ควบคุมพวงมาลัยและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงกระสุนจากด้านหลังและขับรถไปข้างหน้าโดยการหักพวงมาลัยซ้ายทีขวาที
จินเหว่ยห่าวก็เหลือบมองกลับมาแล้วขมวดคิ้วและพูดว่า “พวก CIA ไม่ทำอะไรบ้าระห่ำแบบนี้อย่างแน่นอน”
“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากหนี..พวกมันมาเพื่อฆ่าเราโดยเฉพาะ” เย่เชียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยวและดวงตาของเขาก็ฉายแววเจตนาฆ่าออกมา
คนจาก CIA จะไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งอย่างแน่นอนและการยิงปืนในสถานที่สาธารณะดังกล่าวจะถูกโจมตีโดยสื่อและสาธารณชนอย่างไม่ต้องสงสัย เย่เชียนเข้าใจเรื่องนี้ดีและถ้าหากไม่ใช่ CIA มันจะต้องเป็นคนของเรกบูนร์อย่างแน่นอน เพราะในความเห็นของเย่เชียนคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนของเรกบูนร์ที่จะมาแก้แค้นเขานั่นเอง
ถ้าจ้าวหยาไม่อยู่ในรถเย่เชียนก็สามารถตอบโต้ได้ทันทีแต่เพื่อความปลอดภัยของจ้าวหยาเย่เชียนก็ต้องหลบกระสุนอย่างระมัดระวังเพราะคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกอันธพาลและมาเฟียของจีน เพราะเย่เชียนเคยเห็นความบบ้าระห่ำของพวกมาเฟียในประเทศรัสเซียมาแล้วและมาเฟียในประเทศสหรัฐอเมริกาเหล่านี้ก็อยู่ในระดับเดียวกัน
ในตอนนี้จ้าวหยาก็รู้สึกขอโทษเย่เชียนอย่างมากเพราะเธอกลับกลายเป็นภาระอีกครั้งและทำให้เย่เชียนตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้ดีว่าถ้าหากไม่มีเธอเย่เชียนจะทำอะไรได้มากกว่านี้อย่างแน่นอนเพราะถ้าเธออยู่ด้วยเย่เชียนก็จะไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อปกป้องเธอและกังวลเกี่ยวกับเธอ แต่ตอนนี้เธอพูดอะไรไม่ได้เพราะการพูดมากเกินไปจะทำให้เย่เชียนเสียสมาธิมากขึ้น
.
.
.
.
.