ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1043 เลี่ยงความเสี่ยง
ตอนที่ 1043 เลี่ยงความเสี่ยง
……….
อำนาจของสามตระกูลมาเฟียหลักประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างสมดุล อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าละเลยอำนาจและอิทธิพลของพวกเขา ซึ่งถึงแม้ว่าประวัติศาสตร์มาเฟียของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีมาเพียงแค่ร้อยปีก็ตามและพวกเขาก่อตั้งแก๊งค์มาเฟียตอนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อตั้งอาณานิคมและพวกเขาก็ได้ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ พลังของพวกเขาได้พัฒนาอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอิทธิพลอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและแม้แต่โลกทั้งโลก
“คุณเร็กบูนร์..คุณเป็นคนชนชั้นสูงมีฐานะแต่คุณไม่รู้เหรอว่าการบุกเข้าไปในบ้านของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่สุภาพเลย” จ้าวหยาพูดอย่างไม่พอใจ
เรกบูนร์ก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ และพูดว่า “คุณจ้าวทำไมคุณถึงปฏิเสธคนที่มีทุกอย่างแบบผมล่ะ? ..การให้โอกาสผมคือการให้โอกาสตัวคุณเองด้วย” เรกบูนร์คนนี้พูดภาษาจีนจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและพูดว่า “คุณไม่ได้ยินที่ผู้หญิงของผมพูดเหรอ ..ผู้หญิงของผมไม่ชอบที่คุณมารบกวนเธอ..เพราะงั้นได้โปรดอยู่ห่างจากเธอด้วยและผมก็ไม่ชอบที่คุณมารบกวนผู้หญิงของผม” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มันเป็นเรื่องของผู้หญิงของเขาดังนั้นเย่เชียนจะไม่ยอมอย่างแน่นอนและไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตามเขาก็ต้องเผชิญหน้า
ชายร่างกำยำที่อยู่เบื้องหลังเร็กบูนร์ก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความน่าสะพรึงกลัวและจ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างดุเดือดราวกับว่าเขาต้องการทำให้เย่เชียนหวาดกลัว ส่วนจินเหว่ยห่าวก็ฉีกยิ้มละมองไปที่เขาและพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณจะทำอะไร..ถ้าคุณกล้าก้าวมาข้างหน้าอีกเชื่อมั้ยว่าผมจะเพิ่มรอยแผลเป็นให้กับใบหน้าคุณอีกสองสามรอย” ท้ายที่สุดไม่ว่าจินเหว่ยห่าวจะเป็นใครแต่เขาก็มาจากตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณหลักและเขาก็ฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นหากชายร่างกำยำก้าวไปข้างหน้าจริงๆ เขาอาจจะไม่สามารถต้านทานจินเหว่ยห่าวได้เลย
เรกบูนร์ก็ดูเหมือนจะไม่โกรธความหยิ่งผยองของเย่เชียนและทัศนคติของเขาก็ยังสงบมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งเขามีความอดทนและการอำพรางความรู้สึกที่ดี ตระกูลมาเฟียต่างชาติเหล่านี้มักถือว่าตนเองเป็นขุนนางที่แตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไปดังนั้นแต่ละคนจึงดูเป็นสุภาพบุรุษท ซึ่งในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลบูนร์แล้วเขามีทักษะและการฝึกฝนที่ดี เมื่อเห็นฉากตรงหน้าเรกบูนร์ก็พูดว่า “ไม่มีสิ่งที่แน่นอนในโลกใบนี้รวมถึงสิ่งที่เรารักเราชอบ..ถ้าผมชอบอ่ะมันก็ไม่เคยหนีรอดไปจากมือของผมได้เลย” เขามองไปที่เย่เชียนและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความยั่วยุ
“ในโลกของผมไม่มีใครแย่งของของผมไปจากผมได้รวมถึงความรักด้วย” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา “ถ้าคุณไม่กลับไปก็อย่ามาหาว่าผมหยาบคายก็แล้วกัน”
เรกบูนร์ยิ้มอย่างเฉยเมยและเขาก็ดูถูกความเย่อหยิ่งของเย่เชียน แต่เขาก็แอบแปลกใจเล็กน้อยเพราะเขารู้ดีว่าจ้าวหยาจะต้องพูดถึงตัวตนของเขากับเย่เชียนแต่เย่เชียนกลับไม่เกรงกลัวเขาเลย สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเขาก็พอจะเดาได้ว่าเย่เชียนไม่ใช่คนประเภทที่ไม่มีสมองและมั่นใจในตัวเองเกินไปและนั่นหมายความว่าเขารู้ว่าเย่เชียนเป็นมังกรพลัดถิ่นนั่นเอง
อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ 100 ปีของตระกูลมาเฟียแล้วมาเฟียกับนักเลงในประเทศจีนนับไม่ถ้วนก็เคยต้องการจะมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสร้างโลกของพวกเขาแต่พวกเขาต่างก็ล้มเหลวเพราะพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ในแผ่นดินนี้ ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะประเทศสหรัฐอเมริกายังคงเป็นโลกของมาเฟียเจ้าถิ่น อย่างไรก็ตามเรกบูนร์ก็ไม่ได้คิดจะเผชิญหน้ากับเย่เชียนในตอนนี้เพราะเขาไตร่ตรองและไล่ลำดับความสำคัญก่อนเสมอ หลังจากคิดแบบนั้นเรกบูนร์ก็พูดว่า “คุณจ้าวหยาหากคุณประสบปัญหาใดๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มาบอกผมได้เลย..ผมยินดีช่วยเหลือคุณเสมอ”
ถ้าหากเรกบูนร์เป็นแค่คนที่สนใจแต่ผู้หญิงและเรื่องใต้สะดือล่ะก็เกรงว่าน้องชายที่ทะเยอทะยานของเขาจะขโมยตำแหน่งและสถานะของเขาในตระกูลไปจากเขาแล้ว แต่เป็นเพราะเขานั้นมักจะทำผลงานที่ดีเสมอและกดขี่ข่มเหงน้องชายอยู่ประจำ
การแข่งขันภายในของตระกูลมาเฟียนั้นโหดร้ายและนองเลือดมากและผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็จะรอดตาย มันไม่มีความเสน่หาใดๆ ให้พูดถึงและนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมมาเฟียต่างประเทศจึงสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้ ท้ายที่สุดแล้วการแข่งขันก็ขาดคู่แข่งไปไม่ได้และสภาพแวดล้อมที่เหนือกว่าที่ปราศจากวิกฤตก็มักจะง่ายที่จะทำให้คนสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาไปและกลายเป็นคนเลวทรามแหลกเหลว นี่คือเหตุผลที่ราชวงศ์ในอดีตของจีนไม่ว่าจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็มักจะมีทายาทที่ไม่คู่ควรอยู่สองสามคนในบั้นปลายชีวิตของพวกเขา
คนฉลาดนั้นจะไม่ยืนอยู่บนเส้นด้านอย่างแน่นอน ซึ่งเรกบูนร์คนนี้เคยวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนและได้อ่านประวัติศาสตร์และสงครามของจีนมามากมายและกลยุทธ์หกประการและศิลปะแห่งสงครามของซุนวู ฯลฯ ซึ่งเขาสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ในวันนี้โดยอาศัยความพยายามและสติปัญญาของเขาเองและเขาก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งอีกต่อไปเพราะไม่อย่างนั้นผู้ชายสองคนตรงหน้าเขาที่ไม่เข้าใจรายละเอียดเลยแม้แต่น้อยจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน
“ถ้างั้นผมตัวก่อนนะเดี๋ยวผมจะมาหาคุณจ้าววันอื่น” เรกบูนร์ยิ้มอย่างสง่าผ่าเผยแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีสงบและสุขุมและเต็มไปด้วยอ่อร่าของชนชั้นสูง เขาหน้าตาหล่อเหลาและภูมิหลังครอบครัวก็โดดเด่น อารมณ์การสนทนาของเขา สามารถพิชิตผู้หญิงและเหล่าดาราที่มีชื่อเสียงได้มากมายและผู้ชายแบบนี้สามารถทำลายความสุขตลอดชีวิตของผู้หญิงได้นับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเขาจะคิดสกปรกอยู่ในใจแต่ก็ยังมีผู้หญิงอีกนับไม่ถ้วนพร้อมที่จะโบยบินไปหาเขาอย่างสิ้นหวังเพราะเขามีเงื่อนไขที่ดีในการพิชิตผู้หญิง แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขากลับพ่ายแพ้ให้กับเย่เชียนอย่างหมดท่า
“หืม..คุณไม่ควรมาที่นี่อีกไม่อย่างนั้นผมก็รับรองไม่ได้หรอกว่าคุณจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้เหมือนวันนี้หรือเปล่านะ” เย่เชียนก้าวไปทีละก้าวและพูดอย่างไร้ความปรานี
เรกบูนร์ก็ทำเป็นหูหนวกตาบอดและยิ้มอย่างเฉยเมยและหลังจากหยุดเดินไปสักพักเขาก็ก้าวออกไปอีกครั้ง ส่วนชายร่างกำยำก็ยับยั้งความเกรี้ยวกราดของเขาเอาไว้แต่เมื่อเขาเดินผ่านเย่เชียนจู่ๆ ก็ปล่อยหมัดออกมาอย่างรวดเร็วไปที่หัวของเย่เชียน ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครตอบสนองทันเลย
จ้าวหยาก็กรีดร้องด้วยความตกใจและเธอก็ปิดตาและไม่กล้ามองต่อไปและน้ำตาก็ไหลออกมาทันที เมื่อหมัดนี้โดนเย่เชียนผลจะเป็นอย่างไร? หัวของเย่เชียนอาจดูเหมือนแตงโมที่ถูกทุบหรือไม่?
อย่างไรก็ตามสถานะปัจจุบันของบอดี้การ์ดของเรกบูนร์นั้นก็เทียบไม่ได้กับเย่เชียน ซึ่งทันทีที่ชายร่างกำยำปล่อยหมัดออกมาเย่เชียนก็หมุนตัวทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ โดยการกระทืบเท้าขวาจนเกิดเสียง “ตู้ม” หินอ่อนบนพื้นก็แตกร้าวและร่างของเย่เชียนก็พุ่งไปหาชายร่างกำยำทันทีด้วยกระบวนท่ามวยปาจี๋กระแทกเขาจนลอยขึ้นไปในอากาศ ซึ่งในเวลาเดียวกันนิ้วชี้ของหมัดขวาก็เจาะเข้าไปที่ซี่โครงของเขาโดยตรงพร้อมกับพลังปราณที่ควบแน่นที่นิ้วระเบิดออกไปจนเกิดเสียงกระดูกภายในแตกหักอย่างน่าสยดสยอง
ชายร่างกำยำก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่แตกหักกลางอากาศและล้มลงกับพื้นอย่างแรง จากนั้นเย่เชียนก็แสยะยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเสียงฝีเท้าของเรกบูนร์ก็หยุดลงและเขาก็ถอนหายใจด้วยความโกรธเกรี้ยวและพูดว่า “ไอ้ยักษ์ไร้ประโยชน์..ทำอะไรเสียหน้าตระกูลบูนร์ของฉันหมด!” เมื่อพูดจบเขาก็เดินต่อไป
คิ้วของจินเหว่ยห่าวก็ขมวดเข้าหากันและกำลังจะไล่ตามเรกบูนร์ไปแต่เย่เชียนก็โบกมือส่งสัญญาณเพื่อปล่อยพวกเขาไป หากไม่จำเป็นเย่เชียนก็ไม่ต้องการมีปัญหากับตระกูลมาเฟียเรกบูนร์มากเกินไป นั่นก็เพราะว่าจ้าวหยาก็ยังคงอยู่ที่นี่ข้างๆ เขาดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถโล่งใจได้มากนักและไม่ต้องการสร้างปัญหาเพิ่มเติม
อันที่จริงมันก็ง่ายมากสำหรับเรกบูนร์ที่จะได้ตัวจ้าวหยาไปเพราะเขาสามารถใช้คนของเขาเพื่อลักพาตัวจ้าวหยาได้ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เป้าหมายของเขาเพราะสำหรับคนที่ประสบการณ์โชกโชนและช่ำชองอย่างเขานั้นการพิชิตผู้หญิงเป็นสิ่งที่จำเป็นและเพื่อพิชิตใจเธอ ซึ่งเขาไม่ต้องการเพียงความสุขทางเพศเพราะนั่นจะเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเขา
เมื่อเห็นรถ Roll Royce สีดำขับรถออกไปจากบ้านเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและจ้าวหยาก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเย่เชียนและพูดว่า “ฉันขอโทษ..ฉันขอโทษจริงๆ ..ฉันไม่ควรให้นายมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเลย..เขาเกือบจะฆ่านายแล้ว..ฉันขอโทษ!”
การกระทำของจ้าวหยาทำให้จินเหว่ยห่าวเศร้าเล็กน้อยเพราะถ้าหากผู้หญิงของเขายังมีชีวิตอยู่เธอจะต้องเป็นเหมือนจ้าวหยาอย่างแน่นอนที่คอยกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาแบบนี้และจะร้องไห้เพราะความเป็นห่วงเขาใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จบลงด้วยความเศร้าโศกและหัวใจของจินเหว่ยห่าวก็เจ็บปวดแต่เขาก็ต้องอดทนกับมัน
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “สาวน้อยฉันเป็นผู้ชายของเธอเพราะงั้นการปกป้องเธอก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วทำไมเธอต้องขอโทษฉันด้วย..เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอให้ฉันมามันก็น้อยไปด้วยซ้ำ..อย่ากังวลไปเลยตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่จะไม่มีใครสามารถทำร้ายเธอได้..ใครกล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผมของเธอล่ะก็ฉันจะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิตที่มายุ่งกับเธอ”
ไม่มีความอ่อนโยนและความหวานในน้ำเสียงแต่มีความหนักแน่นและมั่นใจอย่างมาก ซึ่งความหนักแน่นและความมั่นใจนี้ก็ทำให้จ้าวหยารู้สึกมีความสุขและอ่อนหวานอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผู้ชายบางครั้งเมื่อต้องเผชิญกับความรักพวกเขาก็ต้องการความหนักแน่นและความมั่นใจเพราะความอ่อนแอไม่สามารถทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีได้
ที่มุมหนึ่งของบ้านมีรถ Maserati จอดอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ และชายหนุ่มที่เอนหลังพิงเบาะหลังสูบซิการ์อยู่ในปากแล้วยิ้มอ่อนๆ “นายน้อยดูเหมือนว่าพี่ใหญ่ของคุณกำลังเสียหน้าอยู่นะ..เขาถึงกับเดินหนีมาอย่างเสียศักดิ์ศรีแบบนั้น” คนขับหันกลับมาแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใครแต่เขาสามารถทำให้พี่ใหญ่ของคุณหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้”
“เขาก็แค่ชอบแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ” ชายหนุ่มพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ผู้หญิงเป็นแค่ของเล่นสำหรับเขาและมันไม่คุ้มที่จะทุ่มเทและเสี่ยงขนาดนั้นหรอก”
.
.
.
.
.
.