ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1035 พันธมิตรทางผลประโยชน์
ตอนที่ 1035 พันธมิตรทางผลประโยชน์
……….
คำพูดของเย่เชียนและโอ่วหยางหมิงซวนก็ค่อยๆมีอิทธิพลต่อความคิดของชาฮัวเอียนจนชาฮัวเอียนเริ่มจะเปิดใจและแน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้หวังว่าชาฮัวเอียนจะสามารถช่วยเขาจัดการกับตู้ฟู่เหว่ยจริงๆ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายและยิ่งไปกว่านั้นชาฮัวเอียนก็ตระหนักดีถึงตัวตนของม่อหลงและแน่นอนว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากันอย่างแน่นอน
ถ้าตู้ฟู่เหว่ยตายม่อหลงก็จะเข้ายึดสำนักม่อจื๊อและนั่นจะเป็นม่อหลงหรือชาฮัวเอียนกันแน่ที่ได้ครอบครองสำนักม่อจื๊อ? ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วเว้นแต่ว่าคนใดคนหนึ่งจะถอยและล้มเลิกความพยายามไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
ชาฮัวเอียนนั้นได้เป็นลูกศิษย์ของตู้ฟู่เหว่ยเมื่อตอนที่เขาเติบโตขึ้นแล้วซึ่งแตกต่างไปจากหยานซื่อฉุยที่ตู้ฟู่เหว่ยรับเลี้ยงเธอตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กังนั้นความรู้สึกของตู้ฟู่เหว่ยที่มีต่อพวกเขาก็แตกต่างกันและอาจพูดได้ว่าตู้ฟู่เหว่ยถือว่าหยานซื่อฉุยเป็นลูกของเขาเอง แต่สำหรับชาฮัวเอียนกับตู้ฟู่เหว่ยนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์แค่ศิษย์กับอาจารย์เท่านั้น ซึ่งภายใต้ความรู้สึกดังกล่าวตู้ฟู่เหว่ยก็หวังให้หยานซื่อฉุยเข้ามาแทนที่และนอกจากนี้ตู้ฟู่เหว่ยก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเมื่อเขาเห็นความทะเยอทะยานของชาฮัวเอียนที่มีมากจนเกินไป
ดังนั้นหากตู้ฟู่เหว่ยต้องการให้หยานซื่อฉุยเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักม่อจื๊อล่ะก็เขาต้องกีดกันชาฮัวเอียนทุกทาง ดังนั้นถึงแม้ว่าตู้ฟู่เหว่ยจะดูแลและฝึกสอนชาฮัวเอียนมานานหลายปีแต่ชาฮัวเอียนก็เชื่อว่าหากวันหนึ่งเขาต่อสู้กับหยานซื่อฉุยจริงๆล่ะก็ตู้ฟู่เหว่ยจะฆ่าเขาโดยไม่ลังเลเลย
คำพูดของโอ่วหยางหมิงซวนได้ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนอย่างมากเพราะเขาเคยพูดว่าหยานซื่อฉุยเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในสำนักม่อจื๊อแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่มีความสามารถที่แท้จริงของสำนักม่อจื๊อจะเป็นชาฮัวเอียนคนนี้ อาจเป็นไปได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาซ่อนตัวตนเอาไว้จากโลกภายนอกและไม่มีใครรู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตามในฐานะเพื่อนของชาฮัวเอียนแล้วดูเหมือนว่าอันที่จริงโอ่วหยางหมิงซวนก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อตอนที่ชาฮัวเอียนยังเด็กเขาฝึกฝนกับปรมาจารย์แห่งตันตระ จากนั้นเขาก็เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของตู้ฟู่เหว่ยแต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อนซึ่งปรมาจารย์ตันตระแทบจะไม่ได้รับการจัดอันดับในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณเลยแต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกปรมาจารย์แห่งศาสนาพุทธตันตระ เพราะในความเป็นจริงบ่อยครั้งลัทธิและสำนักเหล่านี้จะดูไร้ตัวตนแต่จะมีความแข็งแกร่งมากกว่าสำนักใหญ่ๆที่มีชื่อเสียง แน่นนอว่าเย่เชียนก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องนี้เพราะเมื่อเขาอยู่ในวัดหลิงหลงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพระเฒ่าลึกลับเพียงแค่สัมผัสเขาเบาๆในชั่วพริบตาแค่นั้นสิ่งชั่วร้ายในร่างกายของเย่เชียนก็หายวับไปกับตา นอกจากนี้พลังเล็กๆที่เข้ามาก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับพลังแฝงที่ลึกลับของเย่เชียนที่เย่เจิ้งหรานได้ทิ้งเอาไว้ให้ อันที่จริงคำตอบนั้นก็ง่ายมากเพราะว่าพระเฒ่าลึกลับคนนั้นเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงนั่นเอง
นอกจากนี้พันธกิจของลัทธิตันตระนั้นมักจะเป็นการสอนด้วยวาจาเสมอไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดความคิดหรือการสอนศิลปะการต่อสู้และวิธีการทางจิตวิญญาณ จากนั้นก็ถ่ายทอดด้วยคาถาซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปรมาจารย์ตันตระเหลืออยู่น้อย ซึ่งชาฮัวเอียนได้ติดตามปรมาจารย์ตันตระเมื่อตอนที่เขายังเด็กและเรียกได้ว่าเขาได้รับประโยชน์มากมายก่อนจะไปเข้าร่วมสำนักม่อจื๊อ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ศิลปะการต่อสู้ของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงของสำนักม่อจื๊อแต่เขากลับซ่อนมันเอาไว้
“ไม่มีอะไรที่น่ากลัวในโลกใบนี้..แต่ผมกลัวความลึกลับ” เย่เชียนพูดต่อ “คุณชาซ่อนตัวจากโลกภายนอกมานานแล้วเพราะงั้นมันก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องก้าวออกมา..ผมเชื่อว่าคุณชามีวิธีที่ดีใช่มั้ย?”
ชาฮัวเอียนเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าผมมีวิธีแต่ทำไมผมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย?..คุณม่อหลงคนนี้เป็นลูกหลานของตระกูลม่อเพราะงั้นผมคิดว่าจุดประสงค์สูงสุดของเขาคือการทวงคืนสำนักม่อจื๊อ..เพราะงั้นถ้าตู้ฟู่เหว่ยตายล่ะก็สำนักม่อจื๊อก็จะตกเป็นของเขาหรือของผมกันแน่?..นี่เป็นคำถามสำคัญเพราะถ้าปัญหานี้แก้ไขไม่ได้ทุกๆอย่างที่ผมทำลงไปก็จะเปล่าประโยชน์และสุดท้ายก็กลายเป็นผลประโยชน์ของคนอื่นและมันไม่คุ้มกับการสูญเสียเลย?”
“อันที่จริงปัญหานี้ก็แก้ไขได้ไม่ยาก” หลังจากเงียบไปนานจินเหว่ยห่าวก็พูดขึ้นมา “เขาเป็นทายาทของตระกูลม่อและเป้าหมายของเขาคือสำนักม่อจื๊อ..ส่วนคุณเป็นลูกศิษย์ของตู้ฟู่เหว่ยเพราะงั้นเป้าหมายของคุณชาก็คือสำนักม่อจื๊อเช่นกัน..ซึ่งในเมื่อคุณมีเป้าหมายเดียวกันแต่ตราบใดที่ตู้ฟู่เหว่ยยังมีชีวิตอยู่พวกคุณทั้งคู่ก็จะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการใช่ไหม?..เพราะงั้นในเมื่อพวกคุณทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันทำไมถึงไม่ช่วยกันกำจัดศัตรูของศัตรูกันก่อนล่ะ?”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะคำพูดของจินเหว่ยห่าวจะดูบ้าบิ่นไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีช่องโหว่ใดๆที่จะตำหนิได้เลย อันที่จริงพวกเขามีเป้าหมายร่วมกันและนั่นคือตำแหน่งเจ้าสำนักม่อจื๊อนั่นเอง
“สำนักม่อจื๊อในปัจจุบันเป็นของตระกูลม่ออย่างงั้นเหรอ..ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” ม่อหลงพูด “แต่เดิมสำนักม่อจื๊อถูกสร้างมาโดยสาวกหมิงม่อและสาวกอันม่อที่ดูแลโดยผู้อาวุโสทั้งหมด..แต่ตอนนี้เหลือเพียงสาวกอันม่อเท่านั้นและนั่นก็หมายความว่าสำนักม่อจื๊อขาดพลังไปถึงครึ่งหนึ่ง..ซึ่งการที่ผมไปดวลศึกชี้ชะตากับตู้ฟู่เหว่ยก็เพราะว่าผมไม่ต้องการให้สำนักม่อจี๊อตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง..ซึ่งข้อตกลงของเรากับตู้ฟู่เหว่ยเป็นเพียงความแค้นส่วนตัวและมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาวกอันม่อเลย..ดังนั้นหากคุณชาเต็มใจเมื่อถึงเวลาเราก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้และนอกจากนี้การรวมตัวของสาวกหมิงม่อและอันม่อจะส่งเสริมพลังที่แท้จริงของสำนักม่อจื๊อและทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม!”
ชาฮัวเอียนดูเหมือนจะไม่ยอมลดละและพูดว่า “แล้วใครจะเป็นเจ้าสำนักม่อจื๊อ?”
“มันจะไปยากอะไรเราก็แค่ใช้ระบบการแต่งตั้งจากความชอบของสาวกทุกคนหรือจะเลือกจากการแข่งขันของพวกเรา..ซึ่งถ้าหากใครชนะก็คนๆนั้นก็จะได้เป็นเจ้าสำนัก..แบบนี้ดีมั้ย?” ม่อหลงพูด
คิ้วของชาฮัวเอียนก็ขมวดเข้าหากันและค่อยๆรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะแท้จริงแล้วถ้าตู้ฟู่เหว่ยยังมีชีวิตอยู่มันก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีโอกาสขึ้นเป็นเจ้าสำนัก แต่ด้วยวิธีดังกล่าวต่อให้ม่อหลงจะหลอกวงเขาถึงยังไงเขาก็ยังสามารถต่อสู้กับม่อหลงได้ในเวลานั้นและเขาจะไม่เสียเปรียบใดๆเลย แต่ถ้าหากตู้ฟู่เหว่ยยังไม่ตายล่ะก็หยานซื่อฉุยก็จะได้เป็นเจ้าสำนักเพราะตู้ฟู่เหว่ยออกคำสั่งอย่างเผด็จการมาโดยตลอด และแน่นอนว่าจะมีสาวกไม่มากก็น้อยที่อยู่ฝ่ายเขาแต่จะมีคนที่จงรักภักดีมากสักแค่ไหนกัน? ดังนั้นหากเขาและหยานซื่อฉุยแย่งชิงบัลลังก์เจ้าสำนักกันล่ะก็เขาจะชนะหรือแพ้ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ด้วยความช่วยเหลือจากม่อหลงแล้วเขาจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “แบบนี้ก็ไม่เลวเลย..เพราะไม่ว่าในอนาคตคุณชาจะต้องต่อสู้กับม่อหลงหรือเปล่าเราก็ไม่สามารถรู้ได้..แต่ถ้าหากตู้ฟู่เหว่ยไม่ตายคุณจะมีโอกาสได้ยังไง?..เพราะงั้นเรื่องของอนาคตก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาเพราะที่สำคัญกว่านั้นคือการแก้ไขสถานการณ์ใรปัจจุบันเพราะถ้าหากแก้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอนาคตเลย”
“คุณชาผมคิดว่าสิ่งที่คุณเย่พูดออกมานั้นสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว” โอ่วหยางหมิงซวนพูดต่อ “ตอนนี้เราอยู่ในความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันแล้วเพราะงั้นเราต้องเปิดเผยและซื่อสัตย์..ถึงแม้ว่าคุณจะต้องต่อสู้กับคุณม่อหลงในอนาคตแต่มันก็อีกยาวไกลและนั่นไม่ใช่ปัญหาเลยที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นเจ้าสำนักม่อจื๊อ..แต่ตอนนี้เราต้องกำจัดตู้ฟู่เหว่ยก่อนไม่งั้นแผนการลงทุนของเราจะค้างคาและคุณก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าหากหยานซื่อฉุยได้เป็นเจ้าสำนักล่ะก็เธอจะใช้อำนาจเพื่อกดดันคุณและจะกีดกันคุณและทำลายคุณอย่างรวดเร็ว..หากเป็นแบบนั้นแผนการลงทุนของเราอาจจะพังทลายและนอกจากนี้คุณเองก็มีความสามารถมากกว่าหยานซื่อฉุยเพราะงั้นคุณจะยอมแพ้ได้ยังไง..คุณต้องวางแผนสำหรับอนาคตของคุณให้ดี”
หากสิ่งต่างๆล้มเหลวมันจะน่าเสียดาย ซึ่งโอ่วหยางหมิงซวนไม่ได้สนใจผลประโยชน์เพื่อเขาเองเพราะสิ่งที่เขาต้องการเห็นคืออนาคตอันรุ่งโรจน์ของตระกูลโอ่วหยาง ซึ่งหลังจากที่เขาร่วมมือกับเย่เชียนได้ล่ะก็อนาคตของเขาก็จะรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าเย่เชียนจะยอมตกลงและร่วมมือกับเขา? ดังนั้นคำพูดของเขาจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของชาฮัวเอียนอย่างไม่ต้องสงสัยเพื่อทำให้เย่เชียนประทับใจ อีกอย่างพวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีและชาฮัวเอียนก็ยังคงเชื่อในคำพูดของโอ่วหยางหมิงซวนในระดับหนึ่งเช่นกัน
ชาฮัวเอียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ตกลงผมเห็นด้วย..แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องพูดฉันให้ชัดเจนว่าผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะช่วยพวกคุณเอาชนะอาจารย์ได้หรือเปล่า..เพราะงั้นอย่าหวังพึ่งสิ่งที่ผมจะแนะนำพวกคุณมากจนเกินไปเพราะพวกคุณจะต้องใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเมื่อพวกคุณต่อสู้กับอาจารย์..และผมจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาในการต่อสู้ของพวกคุณเพื่อเริ่มดำเนินการโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ได้ครอบครองสำนักม่อจื๊อ!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มเพราะในที่สุดเขาก็เปลี่ยนความคิดของชาฮัวเอียนได้ ซึ่งหมายความว่าเส้นทางบนถนนข้างหน้าจะง่ายขึ้นมากและตอนนี้สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือการวิธีการและผลประโยชน์ต่างๆของแต่ละฝ่าย “ไม่มีปัญหาเพราะคุณชาคู่ควรกับการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพราะงั้นด้วยคำพูดของคุณชาผมก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นและผมก็ยินดีร่วมมือกับพวกคุณในอนาคต” เย่เชียนฉีกยิ้มแล้วพูด “ผมหวังว่าเราจะสามารถรวมพลังและสร้างโลกของพวกเราได้”
“ยินดีที่ได้ร่วมมือกับคุณครับคุณเย่” โอ่วหยางหมิงซวนยื่นมือออกมาและพูด
เย่เชียนก็ยื่นมืออกมาแล้วพูดว่า “ยินดีเช่นกันครับ” เมื่อเย่เชียนพูดจบพวกเขาก็แตะมือกันและทั้งสองคนก็หันไปมองชาฮัวเอียนพร้อมกัน ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้นชาฮัวเอียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆและในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกมา
ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วและพวกเขาจะหารือเกี่ยวกับแผนการความร่วมมือโดยละเอียดในภายหลัง เพราะถ้าหากชาฮัวเอียนกลับไปช้าจนเกินไปตู้ฟู่เหว่ยจะต้องสงสัยอย่างแน่นอนและการสูญเสียจะมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้ ส่วนเย่เชียนก็ต้องคิดเกี่ยวกับโจ่วหยวนเหมือนกันเพราะชายหนุ่มคนนี้เติบโตขึ้นมากและยังเข้ามามีส่วนร่วมในภาคตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วยแต่เขาไม่ได้ทักทายตัวเองเลย ซึ่งนี่ไม่ใช่แผนการที่เย่เชียนวางเอาไว้ตั้งแต่แรก
เย่เชียนก็รู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องไปพบโจ่วหยวนและดูสถานการณ์โดยรวมของโจ่วหยวนเพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงถามโอ่วหยางหมิงซวนเกี่ยวกับข่าวของโจ่วหยวนแล้วเย่เชียนก็ลุกขึ้นและจากไป
.
.
.
.
.