ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 839 หนูน้อยหาพ่อ
“บ่าวรู้สึกดีใจแทบไม่ทันอยู่แล้ว จะรู้สึกเป็นการรบกวนได้อย่างไรเพคะ”
อย่างไรก็แล้วแต่ องค์หญิงหมิงหวงตอนนี้ช่วยเหลือราชกิจอย่างตั้งใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีจิตใจนึกถึงเรื่องเลือกคู่เลย บุรุษนางพอหาให้ได้ แต่ก็ใช่ว่าองค์หญิงจะทรงเลือก
เมื่อเฟิงยางได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมก็แข็งทื่อทันที มองไปยังหนานหว่านเยียนที่มีความกังวลอยู่เต็มสองตา
องค์หญิงเองไม่ลืมความทุกข์ตรมเมื่อครั้งอดีต เลือกสวามีเหรอ เกรงว่าไม่ได้ทรงคิดคำนึงถึงน่ะสิ
ดวงตาเรียวงามของหนานหว่านเยียนจ้องมององค์จักรพรรดินี เห็นท่าที่ที่ดูพอพระทัยของพระองค์แล้ว ก็เกิดความรู้สึกจำใจยอม
“เสด็จน้าเพคะ เหตุใดทรงคิดจะให้หว่านเยียนเลือกคู่อีกแล้วล่ะเพคะ”
นางกลับมายังต้าเซี่ยได้ราวสองปีครึ่งแล้ว หนึ่งปีก่อนเสด็จน้าบีบบังคับให้นางขึ้นครองราชย์ แต่ด้วยการพูดโน้มน้าวและยืนยันว่าจะช่วยเหลือราชกิจอย่างดีของนาง เสด็จน้าจึงยอมรามือและสถาปนานางขึ้นเป็นองค์หญิง ยกขึ้นเป็นองค์รัชทายาท
หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี เสด็จน้าก็กำลังทรงคิดจะเลือกสวามีให้นาง เป็นแม่สื่อให้นางกับคนนั้นทีคนนี้ที แต่ก็ด้วยการปฏิเสธนับไม่ถ้วนของนาง วันนี้ไม่นึกว่าจะทรงเลือกบุรุษหลายร้อยคนให้นางอีก ว่าไปแล้วก็ดูเป็นการเร่งด่วน
องค์จักรพรรดินีทรงดึงมือของหนานหว่านเยียน เกลี้ยกล่อมนางด้วยท่าทีจริงจัง “ทำไมถึงพูดว่าอีกแล้วล่ะ เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว คนที่ดูแลเจ้าอยู่ข้างกายสักคนก็ไม่มี น้าเองดูแล้วจะเป็นสุขได้อย่างไรกัน”
เพื่อตัวหนานหว่านเยียน พระองค์อาจจะคิดไตร่ตรองอย่างหนัก เรื่องบ้านเมืองยังไม่จัดการยากเท่าเรื่องราวของหนานหว่านเยียน
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว “เสด็จน้า ตอนนี้หม่อมฉันคิดแต่เรื่องเรียนรู้การบริหารราชกิจให้ดี ๆ เท่านั้น เรื่องเลือกคู่ ไว้ค่อยพูดกันอีกทีดีกว่าเพคะ ”
“ไม่ได้!” องค์พระจักรพรรดินีทรงกล่าวปฏิเสธด้วยเหตุผลที่หนักแน่น ทรงมองนางด้วยสายตาที่คาดหวังในตัวนาง “ทุกครั้งเจ้าก็ยังผัดผ่อนข้าเช่นนี้ ครั้งนี้จะไม่ยอมให้เจ้าเลื่อนอีกต่อไปแล้ว!”
“ตอนนี้เจ้ายังเป็นรัชทายาท มีเหตุผลอันใดกันที่รัชทายาทจะไม่เลือกสวามี อย่างน้อย ครั้งนี้เจ้าจะต้องเลือกมาสักสิบคน มิเช่นนั้นข้าอาจจะต้องยัดเยียดคนเข้าห้องเจ้าอย่างไม่จบไม่สิ้น”
ตรัสจบ ดวงตาของหนานหว่านเยียนเคร่งขรึมลงเล็กน้อย รู้สึกกลุ้มใจพอดู
ไม่ใช่ว่านางจะไม่เคยประสบพบเจอกับประสิทธิภาพการจัดการกิจต่าง ๆ อย่างรวดเร็วเฉียบขาดของเสด็จน้า เมื่อก่อนมีครั้งหนึ่งนางปฏิเสธการเลือกสวามี คืนวันต่อมาตอนกลับตำหนัก ก็พบว่าภายในตำหนักมีบุรุษรูปงามมากหน้าหลายตานั่งคุกเข่าเรียงแถวอยู่
นางไล่พวกนั้นออกไปอย่างทุลักทุเล พ้นไปไม่เกินสองวัน ขณะที่นางทานอาหาร ชายหนุ่มหน้าตาไม่เลวสองสามคนก็มาล้อมรอบนาง แล้วก็มาปรนนิบัติรินเหล้าให้นางไปพลางทุบหลังให้นางไปพลางระหว่างทานอาหาร
ครั้งที่น่ากลัวที่สุดก็คือตอนที่นางกำลังอาบน้ำอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกคนเปิดออก ตอนแรกนางก็นึกว่าเป็นลูก ๆ ของนางหรือไม่ก็เฟิงยาง กลับกลายเป็นว่ามีหนุ่มน้อยท่าทีเขินอายเดินเข้ามา ตัวเขาคนนั้นอายุเพิ่งจะ 17 ปี ก็โดนเสด็จน้าผลักไสให้เข้ามาปรนนิบัตินาง
น่ากลัวยิ่งนัก น่ากลัวมากจริง ๆ
ตอนนี้องค์พระจักรพรรดินีเริ่มการเลือกสวามีให้นางอย่างเอิกเกริก นางเองก็กลัวว่าหากปฏิเสธอีกพาลแต่จะให้เสด็จน้าจัดการรวบรัดอีก เลยหัวเราะออกไปแบบขอไปที่แล้วกล่าวว่า “เพคะ เสด็จน้าตรัสถูกต้องแล้ว”
องค์จักรพรรดินีทอดพระเนตรเห็นหนานหว่านเยียนยอมให้ความร่วมมือ ทรงพยักพระพักตร์ตอบรับอย่างพอพระทัย
“หว่านเยียน น้าจะบอกให้นะ ไม่ว่าครั้งนี้เจ้าจะเลือกใคร ชอบแบบไหนก็ตาม อันดับแรกจะมีคนสองคนที่เจ้าต้องเลือก”
สองคนนี้นางเองก็คุ้นเคย เสด็จน้าคอยเป็นแม่สื่อจับคู่นางกับพวกเขาทั้งสองมาโดยตลอด
เฟิงยางและเฉียนซีเงี่ยหูฟังเสียงอึกทึกอยู่ด้านข้าง องค์จักรพรรดินีก็ทรงตบพระเพลาฉาดใหญ่ “ไม่เลวนี่”
“ก่อนอื่นพูดถึงเย่เชียนเฟิง มีชาติตระกูลดี และเหมือนกับหวิ่นหมิง ต่างก็มาจากสำนักบัณฑิตเขาล่างซานอันมีชื่อเสียงระดับต้น ๆ เคยได้รับการชี้แนะจากราชครูด้วยตัวเอง เขาหน้าตาดี วรยุทธ์ก็ร้ายกาจ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เหมาะยิ่งนักที่จะเป็นสวามีของเจ้า ”
“อีกทั้ง พวกเจ้าทั้งสองคนหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าสนิทชิดเชื้อกันแล้วหรอกเหรอ น้าว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าทั้งสอง ยังถือว่าไม่เลวนะ”
คนที่สามารถถูกคัดเลือกเข้าไปเรียนในสำนักบัณฑิตเขาล่างซานล้วนไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ทั้งคุณสมบัติ หน้าตา และชาติตระกูล ไม่ว่าด้านไหนก็นับว่าไม่เลว ปีนั้นหวิ่นหมิงเองก็ถูกคนนั้นเลือกเป็นศิษย์ จึงปราดเปรื่องปรีชาด้วยสรรพวิทยาต่าง ๆ
สำนักบัณฑิตเขาล่างซานจะว่าไปแล้ว ก็ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคัดเลือกสวามีและผู้มีความสามารถให้แก่ฝ่าบาทตามประเพณีที่สืบกันมา แน่นอนว่าย่อมไร้ซึ่งข้อตำหนิผิดพลาดใด ๆ
ได้ยินเช่นนั้น หนานหว่านเยียนก็นิ่วหน้าเล็กน้อย แต่กลับไร้คำพูดใด ส่วนเฟิงยางเพ่งมองดูหนานหว่านเยียนเต็มตา ในใจเกิดความสับสน ตอนที่องค์หญิงประสูติซื่อจือก่อนกำหนดก็เกือบต้องสิ้นลมไปแล้ว
เมื่อครั้งเสี่ยวซื่อจือทั้งสองมีอายุได้แปดเดือน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ไม่สู้ดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่เชียนเฟิงผู้นี้คอยห่วงหน้าพะวงหลังให้องค์หญิงแล้วไซร้ เกรงว่า……
อันที่จริงแล้วเขาก็เป็คนดีคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ว่าองค์หญิงไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้นกับตัวเขา
พอเรื่องเย่เชียนเฟิงจบลง องค์จักรพรรดินีก็ตรัสพร้อมแย้มพระสรวลว่า “ยังมีเฉิงซูหย่วนอีกคน ก็เป็นคนหนุ่มที่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ชำนาญศิลปะทั้งสี่แขนง ทั้งยังมีอารมณ์ขันต่อผู้คน ไม่มีท่าทางคร่ำครึแบบบัณฑิตรุ่นเก่าเลยสักนิด”
“ข้ารู้สึกว่าเหมาะให้เจ้าใช้เวลาพูดคุย รอเจ้าเป็นกษัตริย์แล้ว เรื่องวุ่นวายก็จะมีมาก มีคนรู้จักใช้คำพูดคำจาถือว่าสำคัญนัก อีกทั้งเขายังช่วยเจ้าสั่งสอนเด็กเจ้าเล่ห์พวกนั้น ช่วยเจ้าปลดเปลื้องปัญหาน่ากังวล นี่ถือว่าคุ้มยิ่งนัก สวามีข้างกายเจ้า เลือกเอาสักคนจากสองคนนี้เถอะนะเจ้า คนอื่นนั้นก็เลือกไว้เป็นสนมชายของเจ้าก็แล้วกัน”
คิ้วของหนานหว่านเยียนขมวดชนกันชิด
จะว่าไปแล้ว คนทั้งสองที่เสด็จน้าเอ่ยถึงก็ไม่เลว เย่เชียนเฟิงก็เป็นคนดี หน้าตาดูโดดเด่น บุคลิกท่าทางก็ไม่เลว ที่สำคัญก็คือหลังจากที่นางกลับมายังต้าเซี่ย ก็ทำดีต่อนางและลูก ๆ มาตลอดไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
ทว่านางเองนั้นเดิมทีก็มีความรู้สึกต่อเย่เชียนเฟิงแค่มิตรที่ดีต่อกัน ไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์
ส่วนเฉิงซูหย่วน นางเองก็ไม่ได้รังเกียจตัวเขา ที่จริงแล้วเขารุกนางมากเกินไป อยากจะอุทิศสละตนให้นางตลอดเวลา ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นสนมชายของนาง นางต้องหลีกหนีเขา
“เสด็จน้า พวกเขาต่างก็มีดี แต่หว่านเยียนเองก็เป็นได้แค่มิตรของพวกเขา”
เพียงชั่วครู่เท่านั้น องค์จักรพรรดินีก็ไม่ได้ทรงเริงร่าอีกต่อไป “เพื่อนแล้วยังไงกัน รู้จักมักคุ้นกันมากแล้ว อีกอย่าง เจ้าคิดกับพวกเขาแค่เพื่อน แล้วสองคนนั้นคิดกับเจ้าอย่างไรกันแน่ เคยถามพวกเขาไหม”
“ยังมีอีกอย่าง เจ้าจงห่างจากบรรดาพี่ ๆ ของเจ้าสักหน่อย เด็กพวกนั้นเอาแต่ปกป้องเจ้าไปทุกที่ แทบจะเป็นองครักษ์ติดตัวเจ้าอยู่แล้ว เช่นนี้แล้ว ผู้ชายที่ไหนจะกล้ามาใกล้ชิดเจ้า แสดงความรักต่อเจ้ากัน เจ้าต้องอยู่ตามลำพังบ้าง ออกไปเที่ยวเล่นให้พบพานคู่บุพเพสันนิวาสบ้าง”
หนานหว่านเยียนไม่มีจิตใจที่จะผัดผ่อนได้อีก คิดที่จะหาโอกาสปลีกตัวออกไป นางเป็นรัชทายาทแท้ ยังมีธุระมากมายต้องจัดการ
ไม่ทันได้คาดคิด เพียงแค่ฝ่าบาทตรัสออกมาจากพระโอษฐ์เพียงประโยคเดียว ก็ถึงกับทำให้หว่านเยียนตะลึงไปเลยทีเดียว
“ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ถ้าเจ้าไม่เอาสองคนนี้ ข้าจะออกราชโองการพระราชทานสมรส ตัวเจ้าน่าจะรู้ดีนะ พูดอีกอย่างก็คือ การเลือกสวามีให้เจ้านั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วกลับลำไม่ได้ อันอันและน่าวน่าวตอนนี้ก็ดูอยู่ที่ลานคัดเลือก ตอนนี้ทั้งต้าเซี่ยก็รับรู้แล้วว่าองค์หญิงกำลังเลือกสวามีเลือกสนมชาย เจ้าเองก็บ่ายเบี่ยงไม่ได้อีกแล้ว”
ตรัสเสร็จ หนานหว่านเยียนแทบจะกระโดดลุกออกไป สีหน้าดูเคร่งเครียดในทันใด “พระองค์ตรัสว่าน่าวน่าวและอันอันอยู่ที่ลานคัดเลือกหรือเพคะ”
แย่แล้ว เจ้าเด็กสองคนนั่นทำไมถึงแทรกตัวเข้าไปที่นั่นแล้วตอนนี้
ถ้าหากว่าบุรุษที่มาคัดเลือกเป็นสวามีมีร้อยคน เจ้าเด็กป่วนสองคนนั่นคงต้องเลือกกลับมาให้นางหนึ่งร้อยหนึ่งคนเป็นแน่
องค์จักรพรรดินีขยิบพระเนตรอย่างไร้เดียงสา “ถูกต้องแล้ว”
เฟิงยางเองก็เริ่มอยู่ไม่สุข หันไปมองทางหนานหว่านเยียนโดยพลัน “องค์หญิงหมิงหวง นี่……”
ซื่อจือทั้งสององค์เป็นปีศาจน้อยที่มีชื่อเสียง ทุกวันก็แหกปากร้องเรียกหาพ่อ ตอนนี้ก็แทรกตัวเข้าในการคัดเลือกสวามี เกรงว่าจะต้องก่อความวุ่นวายแล้วเป็นแน่