ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 500 เขาบ้าไปแล้วจริง ๆ
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 500 เขาบ้าไปแล้วจริง ๆ
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของกู้โม่หานก็พลันมืดทะมึนลงทันที รีบเดินนำเข้าไปในห้องหนังสือ
เซียวลี่เดินตามเข้าห้องหนังสือไป ก่อนจะปิดประตูแน่น
เขาประสานมือคารวะ น้ำเสียงขึงขังจริงจังอย่างยิ่ง “ท่านอ๋อง กลุ่มมือสังหารที่หลบหนีเมื่อเช้า กระหม่อมได้พาเหล่าพี่น้องกองทหารไล่ตามไป จนพบว่านอกจากคนของสำนักอู๋หยิ่งแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แสร้งปลอมแปลงตัวตนปะปนเข้ามาด้วย”
นัยน์ตาหงส์ของกู้โม่หานเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางเผยอขึ้นน้อย ๆ “ว่าต่อไป”
สีหน้าของเซียวลี่ดูเคร่งเครียดจริงจังยิ่งขึ้น ล้วงหยิบป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นส่งไปตรงหน้ากู้โม่หาน
“มือสังหารกลุ่มนั้นฝีไม้ลายมือคล่องแคล่วปราดเปรียวมาก หลังจากที่พวกกระหม่อมต่อสู้กับพวกนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่เหลือใครที่รอดชีวิต แต่ในศพที่เหลืออยู่สามสี่ร่าง เราตรวจพบของบางอย่างรวมถึงสิ่งนี้…..”
กู้โม่หานรับมาดู สีหน้าของเขาก็พลันมืดทะมึนอย่างน่าสะพรึงกลัว “เป็นป้ายคำสั่งเสวียนอู่จริง ๆ น่ะรึ?!”
กระดูกข้อต่อที่มองเห็นเด่นชัดบีบขยำกระดาษเซวียนจื่อในมือแน่น ราวกับว่าต้องการจะขยี้มันให้แหลกจนกลายเป็นผุยผง
เซียวลี่ถูกปราณอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างของกู้โม่หานกดดัน จนทำให้เหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบไปทั่วร่าง เจ้าตัวถึงกับขมวดคิ้วแน่น
เขาติดตามกู้โม่หานมานานหลายปี เขาย่อมรู้ถึงที่มาของป้ายคำสั่งนี้เป็นธรรมดา
ป้ายคำสั่งเสวียนอู่ เป็นป้ายคำสั่งลับทางการทหาร ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้แคว้นซีเหย่เท่านั้นที่จะถือครองได้มาโดยตลอด ดังนั้นคนที่จะสามารถสั่งการให้กองทัพเสวียนอู่กระทำการใด ๆ ได้ ย่อมมีเพียงผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรคนเดียวเท่านั้น
ความโกรธแค้นเกลียดชังอันเย็นเยียบที่หลบเร้นอยู่ในใจของกู้โม่หาน ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นไอสังหาร กระทั่งแฝงความรู้สึกผิดหวังน้อย ๆ ด้วยอีกหลายส่วน “นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ สินะ!”
ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าคนที่เขาพาเที่ยววันนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์ชายและองค์หญิงของแคว้นเทียนเซิ่ง เสด็จพ่อก็ยังลอบส่งกองทัพเสวียนอู่ไปลอบสังหารฉินมู่ไป๋? !
หากฉินมู่ไป๋ตายอย่างน่าอนาถไปเมื่อเช้าจริง ๆ เช่นนั้นแล้วเขาย่อมไม่อาจหนีความรับผิดชอบนี้ไปได้ ขฌ ยิ่งไม่อาจหลีกหนีการถูกประณามจากบรรดาขุนนางในราชสำนัก แต่อาจร้ายแรงจนถึงขั้นถูกบังคับให้รับโทษตายเพื่อเป็นการไถ่โทษอีกด้วย
และทั้งหมดนี้ เป็นแค่ผลลัพธ์ที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะคาดเดาถึงผลเสียได้!
เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เสด็จพ่อถึงกับยอมเสี่ยงทำให้ทั้งสองแคว้นเข้าสู่สงคราม เรียกได้ว่าบ้าจนกู่ไม่กลับแล้ว!
เซียวลี่เข้าใจความหมายของกู้โม่หาน รีบคุกเข่าลงแล้วถามว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้นแล้วตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
กู้โม่หานหลับตาลงลึก ๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นก็เย็นเฉียบบาดลึกจนเสียวปลาบไปจนถึงกระดูก ทำให้รู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
“ในเมื่อทุกย่างก้าวที่เขาเดิน เอาแต่บีบคั้นไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลย เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องห่วงกังวลเรื่องอะไรอีกต่อไปแล้ว!”
“เจ้ารีบกลับไปที่ค่ายเสินเชื่อ ออกคำสั่งลับให้จัดเตรียมอาวุธใหม่ล่าสุด นำไปแจกจ่ายให้กับทหารทุกคน จากนั้นให้เริ่มการฝึกซ้อมเป็นการส่วนตัว บอกพวกเหล่าเสิ่นว่าถึงเวลาแล้ว พวกเราไม่อาจนั่งเฉย ๆ รอความตายได้อีกต่อไป”
การค่อยจฌ ๆ ยึดกลืนอำนาจเป็นอะไรที่ช้าเกินไป กู้จิ่งซานทั้งกดดันข่มเหงหาทางทำลายเขาทุกด้าน เขาจะไม่มีวันยอมให้กู้จิ่งซานทำได้สมดังปรารถนาแน่!
นี่… นี่หมายความว่า….. จะก่อกบฏอย่างนั้นรึ?
เซียวลี่ถึงกับตกใจจนผงะ ถึงขั้นหวั่นใจน้อย ๆ แต่เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า ถ้าท่านอ๋องไม่ก่อกบฏล่ะก็ เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ นั่งรอความตายอย่างนั้นรึ?
ต้องรู้ก่อนว่าคนที่หมายชีวิตเขา คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เป็นบิดาแท้ ๆ ของท่านอ๋อง ซึ่งตัวท่านอ๋องเองก็คงจะอกไหม้ไส้ขม ทุกข์ระทมใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว ถึงได้กล้าตัดสินใจเช่นนี้
“ขอรับ! ท่านอ๋อง!” เขาพูดพลางลอบมองพินิจกู้โม่หานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววเจ็บปวดใจ “ท่านอ๋อง ทั้งกระหม่อมและพวกรองแม่ทัพ จะซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านตลอดไป!”
…………
หลังจากเซียวลี่ไปแล้ว กู้โม่หานก็ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง นิ้วถูป้ายคำสั่งเสวียนอู่ในมือไม่หยุด หวนนึกถึงการลอบสังหารเมื่อเช้า เรื่องสับสนอลหม่านเมื่อคืน รวมถึงเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวังเมื่อวันก่อน หัวใจของเขาวุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
โดยไม่มีเหตุผล จู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากเห็นหน้าหนานหว่านเยียนขึ้นมา เป็นความปรารถนาที่แรงกล้าจนไม่อาจควบคุมได้ เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ชายหนุ่มเก็บป้ายคำสั่งเสวียนอู่ไว้ในอกเสื้อ มือกำเป็นหมัดแน่น แล้วเดินตรงไปที่เรือนเซียงหลิน
แต่ในเวลานี้ กู้โม่หานยังไม่รู้ว่าอีกครู่เดียว เขาก็จะได้รู้ความลับประการหนึ่งแบบที่ไม่ทันตั้งตัว
เป็นความลับที่เกี่ยวข้องกับเขาและหนานหว่านเยียน ซึ่งมีชะตาที่เกี่ยวโยงกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานหลายปีแล้ว เป็นความลับที่ขมวดพันกันจนอิรุงตุงนังยากจะคลี่คลาย……
หลังจากที่หนานหว่านเยียนกลับมาถึงเรือนเซียงหลิน เข้าไปในห้องก็พบว่ายัยหนูทั้งสองไม่อยู่ คาดว่าน่าจะไปเข้าเรียนที่เรือนหลังแล้ว จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปนั่งที่ลานโถงส่วนหน้าเรือนญบ มองดูบาดแผลเล็ก ๆ ที่มือด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ความหงุดหงิดที่ยากจะบรรยายยังคงวนเวียนอยู่ในใจของหนานหว่านเยียน นางเอาแต่รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ายิ่งนางอยากจะไปมากเท่าไหร่ เรื่องร้าย ๆ ก็มักจะเกิดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งเรื่องที่กู้โม่หานกับหยุนอี่ว์โหรวร่วมหอกัน การยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งของฉินมู่ไป๋ ท่าทางของ……หยีเฟย ล้วนทำให้นางหงุดหงิดรำคาญใจไม่หยุด จนถึงขั้นรู้สึกอึดอัดขัดข้องใจด้วยเล็กน้อย
ชั่วเวลานี้เอง โม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงก็พาสองยัยหนูที่หัวเราะคิกคัก พูดเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนานกลับมาที่เรือนเซียงหลิน
“ท่านแม่~” เมื่อเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยเห็นหนานหว่านเยียน ก็ยิ้มร่าสดใสดั่งดอกไม้แย้มบาน
เกี๊ยวน้อยสับขาเล็ก ๆ ของตัวเองถี่ยิบ วิ่งตึงตัง ๆ เข้าไปหานาง แล้วกอดขาของหนานหว่านเยียนอย่างมีความสุข “ท่านแม่! ทำไมวันนี้ท่านกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะเจ้าคะ?”
ซาลาเปาน้อยวิ่งช้า หอบฮั่ก ๆ ตามหลังมา ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำน่าเอ็นดู
“ท่านแม่ เมื่อครู่ข้ากับพี่สาวเพิ่งถามท่านน้ากับโม่เซียนเซิง พวกเขาบอกว่าวันนี้ท่านแม่ยุ่งมาก เดาว่าน่าจะค่ำ ๆ หน่อยถึงจะกลับมาอยู่เลย!”
ความสนใจของหนานหว่านเยียนพลันถูกดึงดูดไปทันที ก้มหน้าลงมองลูกสาวที่แสนน่ารักว่าง่ายและสดใสร่าเริงทั้งสอง หัวใจพลันอ่อนยวบแทบละลาย ลูบหัวของยัยหนูทั้งสองอย่างรักใคร่เอ็นดู
“ไม่มีอะไรหรอก วันนี้เลิกเร็วน่ะ แม่ก็เลยรีบกลับมาเร็ว ๆ เพื่อจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตัวแสบอย่างพวกลูกสองคนน่ะสิ วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่เชียวนะ”
เรื่องมือสังหารของสำนักอู๋หยิ่งนั่น….. น่ากลัวว่าอาจส่งผลกระทบต่อกู้โม่หานแน่
แต่ก็หวังว่า มันจะไม่ทำให้กระบวนการหย่าของนางต้องล่าช้าออกไปล่ะ
สายตาของโม่หลีกับโม่หวิ่นหมิงกลับไม่แสดงความแปลกใจอะไรนัก ทั้งสองคนแค่หันไปมองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง พลันเข้าใจเรื่องราวได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา
ในดวงตาของโม่หลี ยังถึงกับมีรอยยิ้มจาง ๆ รอยหนึ่งแฝงอยู่ด้วย
ดูแล้วเหมือนว่า แผนการจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นดี
โม่หวิ่นหมิงล้วงหยิบซองเงินนำโชคสามซอง ซึ่งห่อด้วยกระดาษสีแดงและรัดด้วยเชือกสีแดงออกมาจากอกเสื้อ ยิ้มอย่างอ่อนโยนไปทางสามคนแม่ลูก
“หว่านหว่าน นี่เป็นของขวัญให้เจ้ากับยัยหนูทั้งสอง”
หนานหว่านเยียนยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ดวงตาของสองยัยหนูก็พลันสว่างเจิดจ้าขึ้นมาทันที เกี๊ยวน้อยดูตื่นเต้นยินดีจนออกนอกหน้า “นี่คืออั่งเปาล่ะ!”
โม่หวิ่นหมิงหันไปยิ้มด้วยสีหน้าสงสัยน้อย ๆ “อั่งเปาคืออะไรรึ?”
เกี๊ยวน้อยรีบโบกสองมือเล็ก ๆ ว่าหนานหว่านเยียนจะให้อั่งเปาพวกนางเสมอ
“เมื่อก่อน ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลปีใหม่ ท่านแม่ก็จะให้อั่งเปาพวกเราเสมอ! พวกเราจะเอาไปวางไว้ใต้หมอนเพื่อใช้ขับไล่พวกวิญญาณชั่วร้าย! ท่านแม่ยังบอกด้วยว่า วันหลังถ้าพวกเราได้พบผู้อาวุโสล่ะก็ ให้พูดว่า… พูดว่า….”
ชั่วขณะนั้นสมองของเกี๊ยวน้อยคล้ายจะหมุนไม่ทัน รีบใช้ข้อศอกสะกิดซาลาเปาน้อยเบา ๆ แล้วกระซิบถามว่า “ให้พวกเราพูดว่าอะไรนะ?”
ซาลาเปาน้อยหันไปมองใบหน้าเล็ก ๆ ของพี่สาว ที่ตอนนี้คล้ายจะตกที่นั่งลำบากเข้าแล้ว อดหลุดเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ ไม่ได้ “ให้พูดว่าขอให้ร่ำรวย ขออั่งเปามาให้ด้วยนะเจ้าคะ!”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” โม่หวิ่นหมิงยิ้มแย้มอบอุ่นอ่อนโยน ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวของสองหนูน้อยด้วยความเอ็นดู
สองพี่น้องยิ้มแย้มอ่อนหวาน ราวกับน้ำผึ้งเดือนห้าที่หวานฉ่ำจับใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่หมิง!”
หนานหว่านเยียนหลุดหัวเราะชอบใจ เมฆหมอกดำทะมึนที่ปกคลุมอยู่ตรงหว่างคิ้วเมื่อครู่ค่อย ๆ สลายหายไปจนไม่มีเหลือ แปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูที่มีต่อยัยหนูทั้งสองญด กับความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อโม่หวิ่นหมิง
นางยื่นมือออกไปรับซองแดงมา แล้วพูดกับโม่หวิ่นหมิงด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านน้า เป็นทั้งของขวัญเป็นทั้งเงินนำโชค ปีนี้ยัยหนูทั้งสองน่าจะเก็บเกี่ยวโชคได้มากเลยเชียวล่ะ”
แต่โม่หวิ่นหมิงกลับส่ายหน้า “ในฐานะผู้อาวุโส ที่ผ่านมาไม่ได้ให้เงินนำโชคในเทศกาลปีใหม่กับเจ้าเลย ถือว่าเป็นตัวข้าที่ทำไม่ถูก ตอนนี้ในเมื่อพวกเราได้กลับมาอยู่รวมกันอย่างพร้อมหน้าแล้ว ย่อมต้องชดเชยให้เป็นธรรมดา”
“ข้าก็ขออวยพรให้ปีใหม่ปีนี้ของเจ้า เป็นการเริ่มต้นใหม่ ได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ พบเจอความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ใหม่ ๆ ”
หนานหว่านเหยียนฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ความรู้สึกที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนรักใคร่ใส่ใจแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากจริง ๆ
นางมองไปที่โม่หวิ่นหมิงด้วยสายตาซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านน้า หว่านเยียนก็ขออวยพรให้ท่านน้ามีชีวิตที่สงบสุข ทำอะไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จ ได้พบคนที่รักจริงในเร็ววัน”
จู่ ๆ รอยยิ้มของโม่หวิ่นหมิงก็ถึงกับแข็งค้างไปทันที…..