ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 408 ช่วยพระชายาแก้ต่าง
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ ตอนที่ 408 ช่วยพระชายาแก้ต่าง
ยังไม่จบ?!
หรือหนานหว่านเยียนเขียนมากกว่าหนึ่งบท ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร! กวีบทนี้เป็นผลงานชิ้นเอกแล้ว ข้างหลังคงไม่ได้เอาของไม่ดีมาปนกับของดีใช่หรือไม่
คิดแล้วคิดอีก ทุกคนก็ให้ความสนใจทันที ฟังเซียงอวี้อ่านบทกวีบทหลังต่ออย่างตื่นเต้น
เมื่ออ่านบทกวีทั้งหมดจบลง ทุกคนต่างรู้สึกทึ่ง ไม่คาดคิดว่า บทที่สาม กับบทที่สี่…
กระทั่งอ่านถึงบทที่สิบ เซียงอวี้ถึงได้หยุดลงจริงๆ
ทุกคนต่างตกใจอ้าปากค้าง ตะลึงงัน
ทุกคนที่นี่ล้วนรู้บทกวีพอสังเขป บางคนก็รู้ลึกยิ่งกว่า
แต่ทุกคนก็รู้ว่า บทกวีทั้งสิบที่หนานหว่านเยียนเขียนนี่ไม่ใช่ผลงานธรรมดาสามัญ สุ่มหยิบมาสักบท ก็บันทึกลงประวัติศาสตร์ได้แล้ว!
มีบางคนถอนหายใจอย่างตกตะลึงว่า “แม้แต่ปราชญ์กวีของสมัยก่อน เขียนบทกวีเรียบเรียงถ้อยคำยังต้องใส่แรงบันดาลใจที่ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาก็ไม่อาจเขียนลื่นเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่พระชายากลับทำได้+ ช่างเก่งกาจเกินไปจริงๆ!”
“ใช่แล้วๆ อย่าว่าแต่ปราชญ์กวีเลย แม้แต่เซียนกวี หรือเทพกวีมาเอง ก็ไม่อาจเขียนผลงานชิ้นเอกทั้งสิบบท ภายในระยะเวลาอันสั้นได้! นี่แค่ครึ่งก้านธูป ครึ่งก้านธูปเท่านั้น!”
หนานหว่านเยียนถูกชมจนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย รู้สึกขอโทษเหล่าบุคคลสำคัญในใจไม่หยุด ที่ใช้บทกวีของพวกเขามาสวมรอย แต่นางก็ลงนามทั้งหมด ขอบคุณบุคคลสำคัญ
กู้โม่หลิงจ้องมองหนานหว่านเยียนที่สวมชุดสีแดงดุจเลือด ด้วยสายตาที่ยากหยั่งถึง
สตรีที่เก่งกาจเช่นนี้ เป็นแค่พระชายาอี้ก็เสียของเกินไปแล้ว…
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกับหนานชิงชิงโมโหจนตาแทบถลนเบ้าออกมา
โดยเฉพาะหนานชิงชิงกัดริมฝีปากอย่างรุนแรง ขยำบทกวีที่ตนเองบรรจงเขียนบนกระดาษในมือ จนยับยู่ยี่
นางใช้เวลาเขียนทั้งก้านธูปอย่างไม่ว่อกแว่ก เขียนออกมาได้สามบท ทั้งเป็นบทกวีที่นางเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ได้รับเทียบเชิญ!
แต่ในเวลาครึ่งก้านธูป หนานหว่านเยียนเขียนผลงานชิ้นเยี่ยมได้สิบบท!
และทุกบทล้วนบดขยี้นาง!
หนานหว่านเยียน!!!
นางจะมาตบหน้านาง แย่งทำตัวเด่นอย่างนี้ได้อย่างไร!
หนานชิงชิงโกรธจนจับตัวฮูหยินเฉิงเซี่ยงไว้ ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็โกรธจนกัดฟันกรอด ยังดีที่พวกนางเตรียมแผนสองรองรับไว้ ไม่ปล่อยให้หนานหว่านเยียนสมใจแน่!
สายตาฮูหยินเฉิงเซี่ยงมองทางคุณชายชุดม่วงที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วขยิบตาให้
ฮูหยินกั๋วกงมองหนานหว่านเยียนด้วยความชื่นชม ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ!
หนานหว่านเยียนช่างอัดแน่นไปด้วยความประหลาดใจจริงๆ!
นางกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ คุณชายชุดม่วงก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางฝูงชน ชี้ที่กระดาษในมือเซียงอวี้ประณามด้วยความไม่พอใจ
“ช้าก่อน! พระชายาไม่ได้เขียนบทกวีเหล่านี้ด้วยนางเอง ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกที่ข้าน้อยข้ากับสหายร่วมเรียนสวี่ซื่อทำออกมาอย่างยากลำบาก! โดยเฉพาะกวีทำนองเพลงวารีบทนั้นข้าเป็นคนขบคิดแต่ละประโยคออกมา พระชายาสถานะสูงส่ง ถึงกับลอกเลียนผลงานของข้าน้อย จะทำกันเกินไปแล้ว!”
บ่าวชายของคุณชายชุดม่วงก็ด่าทอด้วยความไม่ยินยอม “จริงด้วยๆ คุณชายของข้ากับคุณชายสวี่ศึกษารวมเล่มบทกวีหามรุ่งหามค่ำ ตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ในจวน ไม่คิดว่าพระชายาจะเลียนแบบทั้งหมด? ช่างไร้ยางอายเสียจริง!”
บทกวีพวกนี้หนานหว่านเยียนลอกมาจากเขาทั้งหมดหรือ!
เสียง “ซี๊ด” ดังขึ้น ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นเข้าไป
ผู้คนที่ยังดื่มด่ำกับผลงานที่ทึ่งเหล่านั้นเมื่อครู่ สายตาทยอยมองทางคุณชายจางผู้นั้น สีหน้าตกตะลึง
บางส่วนตอบสนองกลับมา คนไร้ประโยชน์อย่างหนานหว่านเยียนนี่ จะเขียนออกมาจริงๆ ได้อย่างไร
ต้องอ่านตำราของคนอื่นล่วงหน้า แล้วท่องมาแน่
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก จ้องมองหนานหว่านเยียน สบถในใจ
สมน้ำหน้า!
ใครให้หนานหว่านเยียนผู้นี้ชอบอวดเก่ง เหมือนแม่ของนางกัน!
คุณชายจางผู้นี้เป็นตระกูลนักปราชญ์มาหลายชั่วอายุคน เป็นนักจดชวเลขมือดี เขาเป็นคนมีความสามารถ หากเขาบอกว่าบทกวีโคลงกลอนเป็นของเขา ย่อมน่าเชื่อถือกว่าหนานหว่านเยียน!
หนานหว่านเยียนก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย ยังนึกว่าได้เจอกับซูซื่อเข้าแล้ว แต่คุณชายชุดม่วงเรียกตนเองข้า งั้นก็ไม่ใช่ตัวจริง
นางไม่มีทางจำผิด ซูซื่อเป็นคนที่เขียนทำนองเพลงวารี เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแซ่จางแซ่สวี่กัน
หยุนเหิงไม่สบอารมณ์ทันที บังตัวหนานหว่านเยียน “ยังอยากมีปากอยู่อีกหรือไม่! ถึงกับกล้าพูดว่าพระชายาลอกเลียนแบบ งั้นเจ้าก็แสดงหลักฐานออกมาสิ!”
เซียงอวี้ยิ่งโกรธจนกระทืบเท้า “จริงด้วย! พระชายาของพวกข้าเดิมก็ฉลาดเหนือใครอยู่แล้ว ทั้งไม่รู้จักคุณชายของเจ้า จะรู้จักบทกวีของคุณชายเจ้าได้อย่างไรกัน!”
คุณชายจางพลันมีสีหน้าโกรธเคือง แค่นเสียงเย็นเอ่ยต่อว่า “ในบทกวีแรกเมื่อครู่ ‘ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่เกรงวิมานหยกอันงดงาม ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว’ คือกวีที่ข้าน้อยกับสหายร่วมเรียนร่วมกันคิดขึ้นมา ตอนแหงนมองพระจันทร์ บนห้องใต้หลังคาที่สำนักบัณฑิตฉานซิง”
“คนอยู่สูงยิ่งเหน็บหนาว พวกข้ามีปณิธาน อยากโผออกไปทั่วใต้หล้า เสียแต่ว่าเบื้องหน้ามีปัญหาอุปสรรค ยังไม่รู้ว่าในอนาคตมีอะไรรอพวกข้าอยู่ บางทีวันหน้า พวกข้าอาจจะหลงทาง ลืมความตั้งใจเดิม จึงถือโอกาสนี้จรดพู่พรรณนา กวีพวกนี้ ล้วนบันทึกไว้ในเล่มแล้ว!”
“พระชายาก็แค่ลอกผลงานของข้า ช่าง…ทำให้เหล่าปัญญาชนอับอายขายขี้หน้า!”
เขาเอ่ยคำสาบานอย่างจริงใจ ดูหมิ่นหนานหว่านเยียนทั้งโดยนัยและโดยตรง แทบจะชี้หน้าหนานหว่านเยียนด่านางหน้าด้านไร้ยางอาย คนไม่น้อยเริ่มหวั่นไหวขึ้นมา
กระทั่งมีคนพูดว่า “คุณชายจางผู้นี้คือคนของตระกูลจางบรรพบุรุษต่างเป็นนักปราชญ์ ทั้งเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของฮูหยินกั๋วกง พวกเจ้าว่าคนอย่างเขา ไม่เหมือนกำลังเอ่ยคำโป้ปดนะ”
“จริงด้วยนะ คุณชายจางมีระดับความรู้วรรณกรรมลึกซึ้งขนาดนั้น ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงแน่นอน!”
ในชั่วพริบตา ทุกคนต่างเริ่มทยอยวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา คิดว่าหนานหว่านเยียนเป็นสวะทางวรรณกรรม!
ทางหน้าต่างห้องปีกของหอจูหยุน อวี๋เฟิงโกรธจนกระทืบเท้า
“เพ้ย! ช่างเป็นคนน่ารังเกียจไร้ยางอายเสียจริง! กล้าว่าพระชายาของพวกข้าลอกงานเขา ข้าว่าเขาอิจฉาพระชายาของพวกข้ามากกว่า!”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! เร็วเข้า รีบไปช่วยพระชายาแก้ต่าง…”