ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 317 ข้าอนุญาต
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 317 ข้าอนุญาต
รับหยีเฟยกลับมาอยู่ที่จวนอ๋องอี้หรือ?
ทุกคนตกตะลึงยิ่งนัก
ประกายแห่งความประหลาดใจเผยขึ้นในแววตาของกู้โม่หาน
การที่เสด็จแม่ยังอยู่ในวัง ก็จะถูกเสด็จพ่อมองว่าเป็นจุดอ่อนของเขา และมักใช้มาบีบบังคับ เขาเองก็รู้สึกเป็นกังวลใจ หากสามารถรับเสด็จแม่กลับไปอยู่ด้วยกันได้ สำหรับเขามีแต่ข้อดีมิมีข้อเสีย
หนานหว่านเยียนเอ่ยเงื่อนไขนี้ออกมา หรือว่านางคิด……
เฟิ่งกงกงรู้สึกว่าบรรยากาศ ณ ที่นั้นแทบจะหยุดนิ่งลง
หนานหว่านเยียนรู้หรือไม่ว่าการที่จะรับหยีเฟยออกไปจากพระราชวัง นั่นหมายความว่าอย่างไร?
นางกำลังล้อเล่นกับอำนาจล้ำฟ้า!
กู้จิ่งซานกำมือแน่น สีหน้าของเขาดูน่ากลัวเยือกเย็น “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรับหยีเฟยออกไปนอกวัง?”
การจะให้หยีเฟยเดินทางออกนอกพระราชวัง แน่นอนว่าเขาไม่ยินดีเลย
แต่หนานหว่านเยียนกลับกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ลูกแน่ใจเพคะ เมื่อครู่เสด็จพ่อเองก็กล่าวว่าอยากจะให้ความสัมพันธ์ของลูกกับท่านอ๋องแน่นแฟ้น”
“หากว่าลูกสามารถรับเสด็จแม่กลับไปที่จวนอ๋องได้ คาดว่าท่านอ๋องคงจะมีความสุขนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เชื่อว่าหนทางในอนาคตของลูกกับท่านอ๋องคงจะก้าวไปได้อย่างราบรื่น”
ในใจของกู้จิ่งซานชัดเจนแน่แท้ หากให้หยีเฟยเดินทางออกจากราชวัง นั้นก็เท่ากับหนานหว่านเยียนตบหน้าเขา ดูเหมือนนางจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว
แต่จากที่เขามองดู หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานร่วมมือกันได้อย่างแยบยล คงจะไม่เอ่ยเรื่องจลาจลออกมาแน่ ไม่ว่าเขาจะกล่าวหรือไม่กล่าว ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องที่ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองใครได้
กู้โม่หานเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนานหว่านเยียนจะพยายามจนสุดความสามารถเช่นนี้
สองคนนี้คาดว่าหัวใจคงจะเชื่อมโยงกันแล้วก่อนหน้า ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้ว่าจะปล่อยไว้ไม่ได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองสายตาแหลมคม อ้าปากกล่าวขึ้นว่า “ข้าอนุญาต”
แม้ว่าจะตอบตกลงแล้วแต่ใครก็ตามรู้ดีถึงเรื่องนี้ว่าหมายถึงสิ่งใด
เพียงแต่ไม่มีใครกล่าวออกมาตามตรงเท่านั้น
บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรดูตึงเครียด
ทันใดนั้น ที่หน้าประตูก็มีขันทีคนหนึ่งรายงานขึ้น ขัดบรรยากาศภายในห้องนี้ทันที
“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาส่งคนมากำชับว่าวันเทศกาลดอกไม้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เชิญฝ่าบาทเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จิ่งซานเหลือบมองดูหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เรื่องของหยีเฟย ประเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันต่อหลังจากงานเลี้ยงจบสิ้น บัดนี้เราไปที่อุทยานหลวงกันเถิด”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินตรงออกไปข้างนอก โดยมีเฟิ่งกงกงเดินตามติดไป กู้โม่หานและหนานหว่านเยียนถอยหลังออกมาด้วยความนอบน้อมแล้วเดินตามหลังไปเช่นกัน
สองสามีภรรยาสบตากัน สายตาทั้งคู่ประสานกันอย่างมีเลศนัย
หนานหว่านเยียนจับชีพจรของกู้โม่หานอย่างลับๆ แล้วใช้น้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนกล่าวว่า “สุราเมื่อครู่ที่เจ้าดื่มลงไปนั่นคือสุราพิษระยะยาว มันจะยังไม่ออกฤทธิ์เสียตอนนี้”
ตอนแรกที่นางได้กลิ่นหอมผิดปกติ ก็รู้ได้ว่าคือพิษอะไร
พิษชนิดนี้จะไม่ออกฤทธิ์กะทันหัน มันช่างน่ารังเกียจนัก แต่เมื่อมันออกฤทธิ์ขึ้นมาก็จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย หากไม่มียามาระงับความเจ็บปวดละก็ คงยากที่จะผ่านมันไปได้
คาดว่าฮ่องเต้คงต้องการจะใช้โอกาสนี้ในการตักเตือนนาง ให้นางรู้ว่านางอยู่ในความควบคุมของผู้อื่น และไม่อาจหนีออกจากเงื้อมมือของเขาได้
แต่เขาคงไม่เคยรู้ว่าแผนการอันโหดเหี้ยมของเขาเหล่านี้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งต่างๆ จะขัดแย้งกันในที่สุด
“อืม” สีหน้าของกู้โม่หานมองมาที่นางอย่างลึกซึ้ง “บัดนี้เจ้าถอดใจแล้วหรือไม่?”
หนานหว่านเยียนรู้ดีว่าเขาจะหัวเราะเยาะนางเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้นางหย่าร้างกับเขา
ฮ่องเต้คนผู้นี้คาดเดาได้ยากจริงๆ นางยอมรับ แต่เรื่องการหย่าร้างจะต้องดำเนินไปอย่างแน่นอน นางไม่อยากจะถูกคุมตัวอยู่ข้างกายกู้โม่หานตลอดชีวิต ไม่มีอิสระ ทั้งยังต้องคอยถูกผู้คนจับจ้องจะเอาชีวิต
“รอให้งานเลี้ยงจบลงแล้วพวกเรามาสนทนากันเถิด สนทนาถึงเรื่องที่เจ้าสนใจ”
“อืม” ดวงตาของเขาขยับเขยื้อนเล็กน้อย และเดินไปด้านหน้าด้วยสีหน้าราบรื่นเป็นปกติ
ฮ่องเต้และสองสามีภรรยาเดินทางมาถึงอุทยานหลวง เสียงหัวเราะกระซิบกระซาบเมื่อครู่ก็ลง
ทุกคนพากันคารวะฮ่องเต้อย่างนอบน้อม กู้จิ่งซานนั่งลงที่เก้าอี้ประธานท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน และยกมือเป็นความหมายให้ทุกคนนั่งลง
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงในตระกูลเรา ทุกคนไม่จำเป็นต้องมากพิธีความ เริ่มงานเลี้ยงเถิด”
กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดงานในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ทั้งสองหาที่นั่งของตนเองพบและนั่งลงแล้ว นางก็เงยหน้ามองไป พบว่าผู้ที่นั่งอยู่นั้นล้วนเป็นคนที่รู้จักกันดี
อ๋องเฉิงและพระชายา องค์ชายสิบและพระชายา ทุกคนล้วนอยู่ที่นั่น
แท้จริงแล้วตอนที่หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานปรากฏตัว สายตาของทุกคนก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อ๋องเฉิงเลิกคิ้วขึ้น มองไปยังสีหน้าซีดเสียวของกู้โม่หาน ในใจก็รู้สึกซับซ้อน
จากครั้งก่อนที่หนานหว่านเยียนได้เอ่ยเตือน เมื่อเขากลับไปยังจวนอ๋องแล้วก็ได้ให้คนออกไปแอบสืบดู
เขาได้พบเรื่องราวผิดปกติเกี่ยวกับการลอบสังหารในครั้งนั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ไม่ได้เชื่อจนหมดใจว่าการลอบสังหารครั้งนั้นไม่ใช่ฝีมือของกู้โม่หาน
ข้างกายของกู้โม่เฟิง หนานชิงชิงอุ้มเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้ สายตามองไปยังหนานหว่านเยียน แฝงไปด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อย
นางได้ยินมาว่ากู้โม่หานที่ได้รับอาการบาดเจ็บสาหัสยากจะช่วยให้หายได้ กลับถูกหนานหว่านเยียนช่วยจนฟื้นขึ้นมา นางก็รู้สึกราวกับมีคนเอาน้ำเย็นมาสาดหน้า
นางคิดว่ากู้โม่หานคงจะต้องตายอย่างแน่แท้ และเริ่มคิดถึงเรื่องตอนที่อ๋องเฉิงได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท คาดไม่ถึงว่ากู้โม่หานได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้แล้วยังสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมามีชีวิตได้ดังเดิม
นี่ยังไม่เท่าไร แต่กู้โม่หานกลับโชคดีเพราะอาการบาดเจ็บครั้งนี้ เขาได้รับหัวใจจากชาวบ้านประชาชนและทหารมากมาย ทางด้านของกู้โม่เฟิงเองก็ดูผิดปกติไป ไม่รู้ว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง ทำให้นางโมโหยิ่งนัก
ขณะนั้นเอง ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นกู้โม่หานสามารถลุกขึ้นเดินได้ก็ดีใจจนไม่อาจหุบยิ้ม รีบตรัสถามว่า “อ๋องอี้ ร่างกายเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นมากแล้วหรือไม่?”
แววตาลึกล้ำของกู้โม่หานไม่ได้เคลื่อนไหวสักเล็กน้อย แต่เขากลับลุกขึ้นยกมือคารวะไทเฮาแล้วตอบว่า “ทูลเสด็จย่า อาการบาดเจ็บของหลานยังไม่หายดี แต่ก็ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของฮองเฮาก็แฝงความหมายอันลึกซึ้ง แต่เมื่อนึกขึ้นว่าเมื่อสักครู่กู้โม่หานและพระชายาถูกพามาโดยฮ่องเต้ นางก็รู้สึกอยากจะลองเชิงดู
“หายดีก็ดีแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงกังวลพระทัย ก็ยังคงต้องดูบาดแผลของเจ้าด้วยตนเองสักหน่อย……”