ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ - บทที่ 315 ข้ามิเห็นด้วย
ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 315 ข้ามิเห็นด้วย
“หย่าร้างหรือ?”
กู้จิ่งซานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาดูเย็นชา
เขาคิดมิถึงว่าหนานหว่านเยียนจะเสนอเงื่อนไขนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อห้าปีก่อนหนานหว่านเยียนตกหลุมรักกู้โม่หานอย่างลึกซึ้ง เหตุใดจู่ๆ จึงกล่าวเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
“เพคะ ลูกมีเพียงคำร้องขอเดียว”
กู้จิ่งซานเหลือบมองไปที่นางแล้วกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ด้วยเหตุใด?”
หนานหว่านเยียนจิกต้นขาของตนเองอย่างแรง ดวงตาของนางแดงเรื่อเล็กน้อย มองไปทางฮ่องเต้
“ทูลเสด็จพ่อ ลูกถอดใจจากท่านอ๋องแล้ว”
“เมื่อนานมาแล้วหน้านั้น ลูกชื่นชมท่านอ๋อง รักเชิดชูบูชาจากใจจริง ทว่านับตั้งแต่พระชายารองหยุนเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง ท่านอ๋องกับนางก็ดูมีความสุขเหลือเกิน ทำให้ลูกตระหนักว่า คนเรามิมีทางเปลี่ยนใจใครได้ง่ายๆ ”
เมื่อกล่าวจบนางก็ยกมือขึ้นแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตา “ลูกตามติดท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็มิได้รับความโปรดปรานของเขาแม้แต่น้อย ลูกเหนื่อยแล้วเพคะ สู้ทำให้ท่านอ๋องและพระชายารองหยุนมีความสุขเสียดีกว่า”
คิ้วของกู้จิ่งซานเย็นชาขึ้นเล็กน้อย เขามิอยากจะเชื่อว่าหนานหว่านเยียนมิได้ช่วยกู้โม่หาน แต่สตรีก็คือสตรี การหึงหวงเป็นเรื่องปกติ
เขามองไปทางหนานหว่านเยียน กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “เงื่อนไขนี้ข้าตกลงจะให้เจ้า แต่เจ้าต้องคิดให้ดี หากเจ้าหย่าร้างไปแล้วอนาคตของเจ้าคงจะลำบากนัก”
หมายความว่าเขาตกลงงั้นหรือ?
หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าฮ่องเต้ตอบตกลงอย่างราบรื่นเหลือเกิน เมื่อครู่เขายังมองนางอย่างสงสัย
แต่หากนางสามารถเดินจากไปได้จริงๆ นางก็คงจะมีความสุขมาก ดังนั้นจึงน้ำตาไหลพรากเสแสร้งต่อไปว่า
“ลูกคิดดีแล้วเพคะ หลังจากที่หย่าร้างกัน ลูกก็จะเดินทางออกจากจวนอ๋อง เดินทางออกไปจากเมืองหลวงและร่อนเร่ไปทั่วเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ”
กู้จิ่งซานมองไปที่นางด้วยแววตาอันลึกล้ำ กำลังพิจารณานางอยู่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงตามที่เจ้าหวัง แต่ในฐานะที่เจ้าหกเป็นสามีของเจ้า เขาควรที่จะได้รู้เรื่องนี้”
หนานหว่านเยียนดีใจยิ่งนัก แต่มิได้แสดงออกมาทางสีหน้า “เสด็จพ่อกล่าวด้วยถูกต้องแล้วเพคะ ลูกจะฟังตามที่เสด็จพ่อจัดการ”
ร่องรอยความหนาวเย็นผ่านแววตาของกู้จิ่งซานแวบหนึ่ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า
“เฟิ่งจงฉวน ไปเชิญอ๋องอี้มา และสุราอีกหนึ่งจอกให้พระชายาอี้”
แน่นอนว่าเขามิเชื่อในสิ่งที่หนานหว่านเยียนกล่าวมาทุกประการ
เมื่อตอบตกลงการหย่าร้างแล้ว เป็นเพราะหนานหว่านเยียนเฉลียวฉลาดไร้ที่ติจึงมิได้เอ่ยอะไรออกมา เช่นนั้นเขาจะใช้หยิบยกเรื่องการหย่าร้างมาทดสอบกู้โม่หานสักหน่อย ดูว่าทั้งสองคนมีความรักต่อกันหรือไม่
หนานหว่านเยียนในฐานะเบี้ยของเขา นางทรยศเขาหรือไม่ และมีประโยชน์ที่จะใช้นางต่อไปหรือไม่?
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เฟิ่งกงกงที่ยืนอยู่ด้านนอกแววตาเย็นวาบ แล้วรีบเดินทางออกไปจัดการทันที
เขาให้ขันทีน้อยคนหนึ่งไปตามหากู้โม่หาน ส่วนตัวเขาเดินไปยังด้านข้าง หยิบแก้วสุราวางลงบนถาดไม้แล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายหนานหว่านเยียน
หนานหว่านเยียนได้กลิ่นผิดปกติจากสุราที่เฟิ่งกงกงเดินถือผ่านไปเมื่อครู่ แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่นางก็รู้ว่าในสุรานี้มีพิษ
นางตกใจมาก รีบหันหน้าไปมองกู้จิ่งซาน แววตาสงบเยือกเย็น
มิราบรื่นดั่งที่หวังจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้วนางก็ประเมินความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ต่ำไป
ในประวัติศาสตร์นั้น ฮ่องเต้มักจะฆ่าคนสนิท ฆ่าขุนนางที่ภักดี นับภาษาอะไรกับนางที่มิใช่ทั้งคนสนิทและขุนนางภักดี ทั้งยังรู้เรื่องราวต่างๆ ของเขามากมาย
ต่อให้นางบอกแล้วว่านางต้องการจะเดินทางไปทั่วใต้หล้าเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหลังจากการหย่าร้าง นั่นหมายความว่านางจะมิเข้ามายุ่งกับเรื่องในราชสำนักอีก หรือแม้กระทั่งเรื่องในวังหลัง แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงยืนสุราพิษให้แก่นาง
แม้ว่ายาพิษนี้นางจะมิได้ใส่ใจมัน เพราะนางแก้พิษได้ทุกวินาทีที่ต้องการ แต่นางก็รู้ดีว่าคงเป็นไปมิได้ ถึงเรื่องการร้องขอหย่าร้างกับฮ่องเต้ครั้งนี้……
หนานหว่านเยียนจ้องมองไปที่แก้วสุราด้วยความงุนงง จากนั้นกู้โม่หานก็ถูกตามตัวเข้ามา
ดูจากสภาพร่างกายของเขาแล้วยังคงบาดเจ็บสาหัส สีหน้าซีดขาว เขาเดินตรงเข้าไปในห้องทรงพระอักษรและเห็นหนานหว่านเยียนกำลังจ้องแก้วสุราในมือของเฟิ่งกงกง
กู้โม่หานหรี่ตาก้มลงเล็กน้อยมิให้เห็นอารมณ์ใดๆ แล้วคารวะกู้จิ่งซาน “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
หนานหว่านเยียนได้สติกลับคืนมาอีกครั้งแล้วมองไปทางกู้โม่หาน ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา นางเม้มริมฝีปากแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขากล่าวได้ถูกแล้ว ฝ่าบาทมิอนุญาตให้นางหย่าร้างกับเขา อีกประเดี๋ยวเขาคงจะต้องหัวเราะเยาะนางแน่……
กู้จิ่งซานมองไปทางทั้งสองคนตามปกติ จากนั้นกล่าวกับกู้โม่หานว่า “อ๋องอี้ ในวันนี้หนานหว่านเยียนได้ร้องขอเงื่อนไขกับข้า นางต้องการหย่าร้างกับเจ้า เหตุผลนั้นก็อธิบายอย่างชัดเจน ข้าเองก็รู้สึกว่าพวกเจ้าทั้งสองคนไร้ซึ่งโชคชะตาต่อกัน จึงได้ตอบตกลงเรื่องการร้องขอนี้
“เมื่อห้าปีก่อน เป็นข้ามอบการแต่งงานนี้ให้แก่พวกเจ้า อีกห้าปีต่อมา ข้าขอคืนอิสระให้แก่พวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองคนก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน สุราแก้วนี้ เจ้ายื่นให้นางด้วยตนเองเถิด”
กล่าวจบเขาก็ส่งสัญญาณ ให้กับเฟิ่งจงฉวน
หนานหว่านเยียนกำมือแน่น
แล้วแอบนึกอยู่ในใจว่า อีกประเดี๋ยวเมื่อกู้โม่หานยื่นแก้วสุรามา นางเพียงแค่ทำแก้วสุราหกหล่น แล้วค่อยเสแสร้งทำเป็นเวียนศีรษะ เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้
เฟิ่งกงกงเดินไปนำแก้วสุราให้แก่กู้โม่หาน แววตาเฉียบคม “อ๋องอี้ เชิญเถิด”
ท่าทีในแววตาของกู้โม่หานดูมืดมนเย็นชา เขาหยิบแก้วสุราขึ้นมาแล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“หนานหว่านเยียน คาดมิถึงว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็กล่าวเรื่องนี้ออกมา”
เขาดื่มสุราพิษแก้วนั้นลงไป จากนั้นมองไปที่หนานหว่านเยียนซึ่งกำลังทำดวงตาเบิกกว้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่ข้า มิยอมหย่ากับเจ้า……”