ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 76 โกลาหล
ตอนที่76 โกลาหล
เหอจื่อเอ่ยเสียงตะกุกตะกักขึ้นทันควัน
“อ่า…แต่…แต่อาการของแม่หนูแตกต่างจากคนอื่นมากนะคะ มันแปลก! คือ…คือหนูไม่กล้าอธิบายชัดเจนนน่ะ กลัวแม่จะอาย เอ่อ…เอ่อ…รีบๆ ให้เบอร์มาเถอะค่ะ! ถ้ามีอะไรเดี๋ยวหนูโทรไปถามเอง!”
เหอจื่อตัดสินใจโกหกหน้าด้านๆ ออกไปตามตรง เธอคิดกับตัวเองว่า จะยังไงก็เถอะ วันนี้ฉันต้องได้เบอร์อาจารย์! ส่วนที่ว่าจะกล้าโทรหาไหมหลังจากนี้ค่อยว่ากัน!
แม้ฉีเล่ยจะดูสงสัยไม่น้อยเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กสาวตัวน้อย ทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเช่นกันนอกจากเอ่ยปากบอกเบอร์ของตัวเองกับเหอจื่อ
“เดี๋ยวๆ”
เหอจื่อหยิบมือถือออกมาอย่างรวดเร็ว
“ทวนใหม่อีกครั้งทีค่ะ”
มุมปากฉีเล่ยพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยทวนขึ้นว่า
“13xxxxxxxx”
เหอจื่อรีบฟังพลางกดเบอร์ตามที่ได้ยิน หลังจากบันทึกเสร็จสรรพก็เก็บมือถือลงตามเดิม เธอคลี่ยิ้มหวานกล่าวขอบคุณทันที
“ขอบคุณค่ะอาจารย์ ถ้าแม่หนูอาการกำเริบขึ้นมาอีก หนูค่อยโทรหานะคะ บ๊ายบาย”
ทันทีที่พูดจบ เด็กสาวก็สวมหูฟังกลับเข้าหูของเธอ หมุนตัวกลับเข้าห้องเรียนไป ก่อนจากยังหันมาโบกมือให้ฉีเล่ยดูราวกับว่าวันนี้เป็นวันที่ดียิ่ง
เมื่อเห็นร่างเพรียวเรียวสวยของเหอจื่อกลับเข้าห้องเรียนไป ฉีเล่ยพลันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
สาวน้อยคนนี้ทำอะไรตรงไปตรงมา พูดจาค่อนข้างฉะฉานมีขวานผ่าซากเล็กน้อยราวกับเด็กผู้ชาย แต่เมื่อผนวกเข้ากับความน่ารักและซุกซนตามภาษาวัยรุ่นแล้ว เธอกลับดูมีเสน่ห์เหลือล้น
หลี่ถงซียังมีคาบสอนต่อตอนบ่ายสอง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจขึ้นรถออกไปจิบกาแฟข้างนอก พอใกล้ถึงเวลาเข้าสอนค่อยขับกลับมานั่งพักต่อในห้องพักอาจารย์
ก่อนหน้านี้ หลี่ฮั่วเฉินเคยบอกกับฉีเล่ยว่า เขาต้องการจะมอบตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ให้ แต่เรื่องนี้กลับถูกหัวหน้าภาคอย่างหลินหมิงซางคัดค้าน มันไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าภาคหลินไม่เชื่อมั่นในความสามารถของฉีเล่ย ทว่าเป็นเพราะหัวหน้าภาคหลินกลัวว่า การที่มอบตำแหน่งสูงขนาดนี้ให้ฉีเล่ยที่เพิ่งมาสอนได้แค่วันเดียว อาจจะทำให้บรรดาอาจารย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ และนั้นอาจทำให้การทำงานของฉีเล่ยลำบากยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะถูกกีดกันโดยอาจารย์คนอื่นๆ
ส่วนตัวฉีเล่ยเองก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เขาต้องการมาที่นี่เพื่อมอบความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ ไม่ใช่เพื่อลาภยศ
ซึ่งโต๊ะทำงานของฉีเล่ยถูกทิ้งร้างมาสักพักแล้ว เจ้าของคนเก่าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอาจารย์วิชาการวินิจฉัยคนก่อนที่เพิ่งโดนไล่ออกไป ปัจจุบันมีอาจารย์อยู่ในห้องพักไม่ถึง6คนด้วยซ้ำในช่วงเช้า อาจารย์พวกนี้ถ้าไม่มีคาบสอนโดยส่วนใหญ่มักจะไม่เดินทางมามหาวิทยาลัยให้เสียเวลาเปล่า เพราะแทนที่จะเสียเวลานั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องเฉยๆ สู้พวกเขาออกไปรับจ้างตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเล็กๆ เพื่อหารายได้เสริมไม่ดีกว่าเหรอ?
นอกจากนี้เอง มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งเองก็ยังมีโรงพยาบาลในเครือของตัวเองอีกด้วย มีอาจารย์หลายคนที่ควบสองหน้าที่ในเวลาเดียวกัน ไม่ได้เป็นแค่อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเป็นแพทย์ที่ออกตรวจอยู่ในโรงพยาบาลในเครืออีกด้วย เพียงว่า อาจารย์ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นหาได้ค่อนข้างยากในสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้
“น้องฉี วันแรกของการสอนเป็นยังไงบ้าง? ปกติดีใช่ไหม?”
อาจารย์ในวัย50เดินเข้ามาไถ่ถาม
ในช่วงพักระหว่างคาบสอนตอนเช้า หัวหน้าคณะซีได้เข้ามาแนะนำอาจารย์คนอื่นๆ ให้ฉีเล่ยได้รู้จักในฐานะเพื่อนร่วมงาน ชายแก่ที่กำลังไถ่ถามอยู่ตอนนี้สกุลซง เขาเป็นอาจารย์สอนวิชา ‘สารานุกรมสมุนไพร’ และเนื่องจากลุงซงคนนี้อาวุโสที่สุดในหมู่อาจารย์ทั้งหมด ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างให้หน้าเขา นอกจากหัวหน้าคณะซีแล้ว คนที่มีอำนาจรองลงมาก็คือเขานี่แหละ
ฉีเล่ยเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบไปว่า
“ก็ดีครับ”
เขาสังเกตเห็นสีหน้าของอาจารย์ซงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเยาะเย้ย แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปกปิดแค่ไหนก็ตาม
“เด็กสมัยนี้ค่อนข้างก้าวร้าว ถ้าพูดยากก็ไม่ต้องไปสนใจมักหรอก อาจารย์สองคนก่อนหน้าน้องฉีที่มาสอนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ก็ถึงขั้นโดนเด็กพวกนี้กดขี่จนลาออก นายเองก็ระวัง อย่าไปเข้าใกล้กับเด็กพวกนั้นมากล่ะ ไอ้เด็กพวกนี้มันชอบลองภูมิ ไม่ไหว ไม่ไหว”
บนผิวเผิน สีหน้าการแสดงออกของตาลุงคนนี้กำลังปลอบฉีเล่ยอยู่ก็จริง แต่เบื้องหลังคำกล่าวเหล่านี้กลับกำลังเยาะเย้ย คล้ายจะบอกว่า ความสามารถของฉีเล่ยมันไม่เพียงพอที่จะไปสอนพวกเด็กๆ เหล่านั้นได้ ทางที่ดีอยู่ห่างๆ เอาไว้จะดีกว่า
ฉีเล่ยวางหนังสือในมือลง เขาเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพลางหัวเราะตอบไปว่า
“ก็ไม่นะครับ ผมว่าพวกเขาเป็นเด็กน่ารักตั้งใจเรียนกันมาก”
“ฮ่าฮ่า ก็ดี ก็ดี ยังหนุ่มยังแน่นมีพละกำลังสู้กับพวกเด็กๆ ไหวอยู่นั่นแหละ”
ตาลุงซงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่หาใช่รอยยิ้มจากใจจริง จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอาจารย์อ้วนท้วอีกคนที่อยู่ข้างๆ ว่า
“เสี่ยวหม่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอะไรนะ? อาจารย์คนไหนที่มีข่าวฉาวกับลูกศิษย์ตัวเอง?”
หัวข้อสนทนาเรื่องผู้หญิงโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในหมู่ผู้ชาย แม้แต่ในมหาวิทยาลัยเองก็ไม่เว้น
“โอ้? อาวุโสซงเองก็สนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ? อืมม…ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอาจารย์คนไหน?”
อาจารย์หม่าปั้นหน้าดูครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่รู่เช่นกันว่าทำไมสีหน้าของเขาดูน่ากลัวแปลกๆ จนอยากจะรู้เลยว่า เวลาอาจารย์คนนี้สอนอยู่หน้าห้องเขาเป็นยังไง?
ตาลุงซงขมวดคิ้วแน่นกล่าวว่า
“อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็เยอะเหลือเกิน แกคิดว่าใครล่ะ?”
“หุหุ ถ้าจะให้เดาคงต้องมุ่งเป้าไปที่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดล่ะนะ”
“หลินชูวโม่หรือไม่ก็หลี่ถงซี? พวกเธอทั้งคู่ล้วนแต่เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้คงเดาได้ไม่อยาก เพราะบุคลิกของทั้งคู่แตกต่างโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตลอด ส่วนอีกคนตีตัวออกจากสังคมอย่างเดียว สำหรับเรื่องฉาวแบบนี้คงเดาได้ไม่ยาก”
อาจารย์หม่าหัวเราะ
“ถ้าเป็นหลินชูวโม่ ปฏิกิริยาท่าทางของทุกคนจะแสดงออกมารุนแรงแบบนี้เหรอครับ? ไม่ใช่ว่าเธอเปลี่ยนหนุ่มควงทุกสัปดาห์อยู่แล้วเหรอ?”
“ถ้างั้น…ก็อาจจะเป็นหลี่ถงซี?”
น้ำเสียงของตาลุงซงดูตกใจอย่างยิ่ง
อาจารย์สาวทั้งสองคนนี้ล้วนมีชื่อเสียงที่สุดแล้วในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ในด้านความสวย และแน่นอนว่าทุกคนยังลือกันไปถึง บุคลิกของดอกไม้งามทั้งสองที่แตกต่างกันสุดขั้ว
หลินชูวโม่เป็นสาวสวยโปรไฟล์จบจากต่างประเทศ ว่ากันว่าชีวิตรักของเธอค่อนข้างเปิดกว้างแบบชาวตะวันตก เธอเปลี่ยนแฟนรายสัปดาห์ยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก
ซึ่งมันตรงกันข้ามกับหลี่ถงซีสุดขั้ว เธอปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่พยายามเข้าใกล้ โดยเฉพาะในระยะหลังขนาดผู้หญิงเองยังไม่ค่อยชอบให้เข้าใกล้ ใครก็ตามที่เข้ามาคุยกับเธอเกินสามครั้ง ในคราที่สี่หลี่ถงซีจะเริ่มขมวดคิ้วใส่เผยสีหน้ารังเกียจออกมาแล้ว ไม่ว่าเพื่อนคนนั้นจะหน้าด้านแค่ไหน ก็ยังไม่อาจทนต่อความเย็นชาของเธอได้
ดังนั้นแล้ว ถ้าจะพูดว่าใครกันที่สร้างข่าวจนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นได้ขนาดนี้คงหนีไม่พ้นหลี่ถงซี เพราะถ้าเป็นหลิวชูวโม่ที่ควงหนุ่มไม่เคยซ้ำหน้าคงไม่มีใครให้ความสนใจด้วยซ้ำ
เดิมทีฉีเล่ยไม่เคยกังวลหรือสนใจกับบทสนทนาของเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนนี้นัก แต่พอได้ยินว่าเป็นเรื่องของหลี่ถงซีออกจากปากพวกเขา ฉีเล่ยก็แกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในขณะที่หูก็ตั้งใจฟังพวกเขาสองคนคุยกัน
“น่าจะใช่ แถมผมยังได้ยินจากเพื่อนที่สอนสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันอีกว่า ตอนนี้ทุกคนในสาขานั้นทั้งอาจารย์ทั้งนักศึกษาพูดกันจ้าละหวั่น ว่ากันว่าแฟนหนุ่มของหลี่ถงซีน่าจะอยู่ในหมู่พวกเขานี่แหละ จนถึงขั้นเสนอราคาสูงเป็นรางวัลสำหรับคนที่จับได้ว่า ใครกันที่กล้าแย่งเทพธดาของพวกเขาไป!”
“ห่ะ? ขนาดนั้นเชียวเหรอ? สมัยนี้ผู้ชายดีๆ มันหายากนักรึไง ถึงได้ไปเอาลูกศิษย์ตัวเองแบบนี้ แย่จริงๆ”
“โถ่ว อาวุโสซง ล้าสมัยมากเลยนะครับรู้ไหม เพิ่งใช้อินเทอร์เน็ตเป็นใช่ไหมครับถึงได้พูดแบบนี้? ว่ากันว่าอาจารย์สมัยนี้ทั้งมีข่าวออกเดตทั้งกอดทั้งจูบกับนักเรียนของตัวเองก็เยอะแยะเต็มไปหมด อาจารย์บางคนถึงขั้นมีเมียแล้วก็ยังจับเด็กสาวเป็นกิ๊กก็ยังมี!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลย
ข่าวที่มีอาจารย์คบหากับนักเรียนสาวเป็นกิ๊กทั้งๆ ที่ตนมีภรรยาอยู่แล้ว เรื่องนี้ฉีเล่ยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือ ทำไมปมปัญหาชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งต้องกลายมาเป็นขี้ปากของคนพวกนี้?
หลี่ถงซีไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง?
ตราบเท่าที่ได้แก้แค้นหลี่ถงซี ซูเสี่ยวหยานไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำว่าข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่ถูกบิดเบือน