ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 178 พลังแห่งความเกลียดชัง
ตอนที่178 พลังแห่งความเกลียดชัง
ดังนั้นสิ่งที่ฉีเล่ยต้องทำก่อนในตอนนี้ก็คือ การเจาะรูนำร่องภายในใจของหลี่ถงซีให้เกิดขึ้นเสียก่อน หรือก็คือการกระตุ้นทางอารมณ์ของเธอนั่นเอง
โดยอารมณ์ที่ฉีเล่ยพยายามที่จะดึงออกมานั้นไม่ใช่ความรัก แต่เป็น ‘ความเกลียดชัง’ ต่างหาก
ถ้ายิ่งปล่อยเอาไว้เช่นนี้โดยไม่ลงมือทำอะไรเลย หลี่ถงซีจะค่อยๆปิดกั้นทุกเฉดอารมณ์ให้พ้นออกไปจากจิตใจ จนท้ายที่สุดหากไม่กลายเป็นบ้า ก็คงจะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกอย่างแน่นอน
ฉีเล่ยไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของหลี่ถงซี ดังนั้นเขาจึงใช้ ‘ความเกลียดชัง’ เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นอารมณ์ของเธอ
โดยการสร้างสถานการณ์ว่า เธอกำลังถูกผู้ชายล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย เพื่อสร้างเป้าหมายในใจว่า เมื่อใดก็ตามที่หญิงสาวนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อใด มันจะไปกระตุ้นความเกลียดชังภายในใจให้ปรากฏออกมาโดยอัตโนมัติ
เป็นธรรมดาที่คงจะไม่มีใครอยากอาสาเอาตัวเองเป็นตัวล่อในแผนการเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงต้องเป็นฝ่ายยอมเสียสละออกโรงจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
ตราบใดที่เขาสามารถสร้างความเกลียดชังขึ้นภายในใจของหญิงสาวได้ ต่อจากนี้ไป ก็คงจะไม่ต้องกลัวว่าเธอจะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกอีก
เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะยังมีพลังแห่งความเกลียดชังที่เธอมีต่อฉีเล่ยหล่อเลี้ยงอยู่ยังไงล่ะ!
ความเกลียดชังก็เป็นหนึ่งในอารมณ์ของมนุษย์เช่นกัน
ฉีเล่ยต้องการดึงหลี่ถงซีให้ออกมาจากขุมนรกนี้ให้จงได้ และหนทางเดียวที่จะสามารถช่วยได้ก็คือ การสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้นและมากขึ้นไปอีก
เฮ้ออ…พวกคนนอกคงไม่มีทางเข้าใจเจตนาดีของฉันหรอก
ฉีเล่ยแลบลิ้นออกมาดู พร้อมกับกล้ำกลืนฝืนกลืนน้ำลายอึกหนึ่งด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ในฐานะอัจฉริยะแพทย์หนุ่มผู้มีอุดมการณ์อันสูงส่ง เพียบพร้อมไปด้วยจรรยาบรรณทางการแพทย์และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เขาย่อมสามารถอุทิศตนเพื่อรักษาอาการของคนไข้ได้เสมอ
ต่อให้ภายนอกจะมองว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ช่าง เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นล้วนแล้วแต่เกิดจากความหวังดีกับคนไข้ทั้งสิ้น
อย่าว่าแต่กัดเลย ต่อให้หลี่ถงซีหยิบอะไรขึ้นมาฟาดศีรษะของเขา เขาก็จะไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆแน่
อย่างมากก็แค่ลงไปทัวร์นรกเล่นสักรอบ
…………..
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉีเล่ยตื่นขึ้นมาและเดินลงไปออกกำลังกายดังเช่นปกติ ก็พบหลี่ฮั่วเฉินกำลังรำไทเก็กอยู่ตรงสวนหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินออกมา หลี่ฮั่วเฉินก็ยิ้มให้พร้อมกับทักทายขึ้นว่า
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”
“ก็ดีครับ”
ฉีเล่ยแกล้งทำเป็นจดจ่ออยู่กับการออกกำลังกาย เมื่อสบโอกาสเหมาะจึงรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที
เขาไม่อยากให้หลี่ฮั่วเฉินสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้ว่าบาดแผลจะเกิดขึ้นบริเวณลิ้น แต่ผ่านไปคืนหนึ่ง บาดแผลดังกล่าวก็เริ่มบวมเป่งมากขึ้น
“ฮ่าฮ่า ดีแล้ว ดีแล้ว นี่..ว่าแต่เธอคืนดีกับถงซีรึยัง?”
ฉีเล่ยกตอบกลับด้วยใบหน้าที่เจือความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“หื้ม? ครับ…ก็ดีครับ…”
บุญแค่ไหนแล้วที่เมื่อคืนเขาไม่ถูกเธอแทงด้วยมีด…
หลี่ฮั่วเฉินยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พูดออกมาเถอะ หนุ่มๆสาวๆก็อย่างนี้ล่ะ โกรธง่ายหายเร็วจะตายไป ผ่านไปสักคืนสองคืนเดี๋ยวก็คืนดีกันเองนั่นแหละ”
ฉีเล่ยรีบกล่าวตอบไปทันทีว่า
“ครับ…ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ พักออกกำลังกายบ้างสักวันก็คงจะดี…”
เนื่องจากลิ้นเป็นแผลทำให้เขาพูดได้ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ จึงเป็นการดีกว่าหากจะเลี่ยงการสนทนากับอีกฝ่าย
หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“ฮ่าฮ่า ฉันเข้าใจๆ เธอไปพักผ่อนเถอะ เธอไปพักเถอะ”
แต่แล้วจู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็นิ่งเงียบไป พร้อมกับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉีเล่ยไม่วางตา
“ฉันสังเกตดูตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นั่นปากของเธอเป็นอะไรรึเปล่า?”
ฉีเล่ยรีบเบี่ยงหน้าหลบ และรีบพูดแก้ตัวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พอดีลิ้นของผมเป็นแผลน่ะครับ…บังเอิญไปกัดโดนเข้า…”
หลี่ฮั่วเฉินหันขวับทันทีพร้อมกับสั่งให้ฉีเล่ยอ้าปาก หลังจากตรวจดูร่องรอยบาดแผลบริเวณลิ้นของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็กระซิบถามเสียงเบาว่า
“ฝีมือถงซีเหรอ?”
“ปะ-เปล่าครับ…”
“เฮ้ออ…เด็กคนนี้มันจริงๆเลย ต้องอาการหนักขนาดไหน ถึงกัดซะเธอลิ้นฉีกแบบนี้”
“อาวุโสหลี่ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ”
หลี่ฮั่วเฉินยกมือขึ้นมาตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ และเปิดใจพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมาในฐานะลูกผู้ชายด้วยกัน
“ฉีเล่ยเอ้ย ถึงฉันจะอายุปูนนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ตาบอดกหูหนวกนะ เมื่อคืนฉันได้ยินเสียงพวกเธอทะเลาะกัน แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ว่าไง? ไปพลอดรักกันอีท่าไหนล่ะถึงโดนกัดจนเยินแบบนี้เข้า?”
“เราไม่ได้ทำอะไรกันจริงๆครับ”
“โถ่ฉีเล่ย ฉันกับเธอก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน มีเหรอที่ฉันจะไม่เข้าใจ? แต่ยังไงเธอก็เป็นอาจารย์นะ ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ตัวเองหน่อย ถ้าให้ลูกศิษย์เห็นแผลนี้เข้า พวกเขาจะคิดยังไง?”
“…..”
ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออกอธิบายไม่ถูก
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่า ตาเฒ่าหลี่คนนี้แม้จะมีใบหน้าและอายุที่แก่ชรามากแล้ว แต่จิตวิญญาณและความนึกคิดยังเหมือนวัยหนุ่มสาว ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับอายุของเขาเอาซะเลย
“อ่อ แล้วก็นะ เมื่อไหร่เธอจะมีลูกกับหลานสาวฉันซะทีล่ะ? ตอนนี้ถงซีเองก็ไม่เด็กแล้วนะ ถ้าเธอวางแผนอยากจะมีลูกก็ควรรีบมีเลยดีกว่า ถ้าผู้หญิงอายุเกิน30ปีไปแล้ว ระหว่างอุ้มท้องอาจมีสภาวะแทรกซ้อนได้ มิหนำซ้ำหลังคลอดลูกแล้ว การฟื้นตัวของร่างกายก็ยังจะแย่มากด้วย ถ้าอยากมีลูกจริงๆ ฉันแนะนำให้คิดไวทำไว เอาคืนนี้เลยเป็นไง…”
เปรี้ยง!
เสียงดังคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างแตกดังสนั่นขึ้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาทั้งคู่ยืนอยู่ ปรากฏว่ามีคนโยนกระถางต้นกระบองเพรชลงมา เฉียดศีรษะของฉีเล่ยไปไม่ถึงสามนิ้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจงใจลอบทำร้ายเขาอย่างแน่นอน
ทั้งชายชราและชายหนุ่มต่างก็ตกตะลึงกับภาพฉากตรงหน้าอย่างมาก และเมื่อทั้งคู่เงยหน้ามองขึ้นไป ก็พบหลี่ถงซีที่กำลังยืนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ราวกับผีแม่หม้ายสาวที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
ฉีเล่ยรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศรีษะเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนเองยอมจำนนแต่โดยดีพร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ ปู่ของคุณต่างหากที่เป็นคนพูด!”
หลี่ถงซีบังเอิญมานอนตากอากาศยามเช้าอยู่นอกระเบียงชั้นสองพอดี ขณะที่เธอกำลังสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น เธอก็บังเอิญไปได้ยินบทสนทนาระหว่างปู่ของเธอกับฉีเล่ยเข้า จึงโมโหจนอดที่จะโยนกระถางต้นกระบองเพรชลงมาไม่ได้
มันก็ทั้งคู่นั่นแหละ! น่ารังเกียจไม่ต่างกันเลย…
ทันทีที่คิดแบบนั้น จู่ๆก็มีอีกหนึ่งคำถามผุดขึ้นภายในใจของเธอว่า
เมื่อคืนฉันถูกล่วงเกินไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมฉันกลับไม่รู้สึกรังเกียจเขาเลยล่ะ…
ทั้งที่รู้อยู่แต่แรกแล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องจู่โจมเข้าใส่แบบนี้อย่างแน่นอน ในเมื่อตั้งใจผลักประตูเข้ามาขนาดนั้น แต่ทำไมเธอถึงยังปล่อยให้อีกฝ่ายทำต่อไปล่ะ มิหนำซ้ำที่เธอพยายามดิ้นรนในตอนนั้น แท้ที่จริงกลับออมแรงไว้กึ่งหนึ่ง… ทำไมเธอถึงไม่พยายามดิ้นหนีให้เต็มที่มากกว่านั้นล่ะ?
ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหมดรักเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
แต่ทำไมจู่ๆฉีเล่ยถึงได้ทำแบบนี้กับเธอล่ะ?
หรือเขาคิดว่านี่จะเป็นการสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่กันงั้นเหรอ?
ถึงแบบนั้นก็เถอะ…แต่เขาแต่งงานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขากับหลินชูวโม่…
หลี่ถงซีเดินกลับเข้าห้องนั่งกอดเข่า พลางใช้มือทั้งสองข้างขยี้ผมตัวเองอย่างแรง เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด!
น่าเสียดายที่พื้นฐานของเธอเป็นคนเย็นชาและมีสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ฉีเล่ยจึงไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจกันแน่
แต่ถึงแบบนั้น ทันทีที่ได้เห็นหลี่ถงซีโยนกระถางต้นไม้ลงมาใส่ตนเอง หากคำนวณจากทิศทางที่กระถางต้นไม้ตกลงมาแล้ว ก็พอจะประเมินได้ว่าเธอน่าจะเล็งมาที่หัว และนี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอกำลังรู้สึกโกรธเกลียดเขาอยู่ภายในใจ
และนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลยุทธ์ของเขาใช้ได้ผล
ในระยะสั้นต่อจากนี้ โรคอารมณ์สองขั้วจะไม่สามารถทำอะไรเธอได้แน่นอน แม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกเกลียดชังเขายิ่งกว่าอะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้อาการทางจิตของเธอรุนแรงยิ่งขึ้น
ตราบใดที่ฉีเล่ยยังอยู่ที่นี่ เขาก็มั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถรักษาอาการของหลี่ถงซีให้หายขาดได้อย่างแน่นอน
รถBMWจอดนิ่งอยู่หน้ารั้วมหาวิทยาลัย หลี่ถงซีนั่งนิ่งโดยแม้แต่จะเหลียวมองฉีเล่ยเลยสักนิด
“มีอะไรอยากจะบอกผมรึเปล่า?”
ฉีเล่ยปรายหางตามองอีกฝ่าย พร้อมกับหันไปสั่งเสียงห้วน
“ลงไป”
“ฮ่าฮ่า…”
ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการไล่ให้เขาลงจากรถ เพราะไม่อยากให้บรรดานักศึกษา และอาจารย์คนอื่นๆพบเห็นภาพที่เขานั่งรถเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยพร้อมกันนั่นเอง
ฉีเล่ยปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้หญิงสาวพร้อมกับบอกไปว่า
“ตอนเย็นเราไปดินเนอร์ด้วยกันดีกว่า ตอนเที่ยงด้วยเป็นไง?”
“ไม่”
“ไม่ต้องเกรงใจ ผมเลี้ยงคุณเอง”
“ไม่”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า คุณเองก็มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องกินอาหารบ้าง ไม่กินอะไรเลยเดี๋ยวก็ตายกันพอดี”
“…”
หลังจากเดินลงมาจากBMWของหลี่ถงซีไปแล้ว ฉีเล่ยก็ตรงไปที่อาคารสาขาแพทย์แผนจีนทันที เมื่อฉีเล่ยเดินไปถึง ก็พบว่ามีอาจารย์กลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ
โดยมีตาแก่ซงเป็นตัวเอกของเหตุการณ์ ทุกคนต่างพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม