ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 176 แก้มลิงปากแหลม หน้าตาขี้เหร่
ตอนที่176 แก้มลิงปากแหลม หน้าตาขี้เห่ร
“ไม่ลองเดาดูหน่อยเหรอ?”
“ฉินฟางขอให้แกมาชวนฉันไปงานเลี้ยงใช่ไหม?”
ชูซินฮังจ้องมองพี่สาวด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาอ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“พี่รู้ได้ไง? รู้ได้ไงว่าพี่ฟางขอให้ผมมาชวนพี่?”
ชูซินซูกวาดสายตาจ้องมองใบหน้าซีดเผือดของน้องชายตัวเอง ก่อนจะตอบไปว่า
“นิสัยอย่างแก ถ้าจู่ๆมาทำตัวน่ารักกับฉันมากขนาดนี้ ก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นล่ะ คือฉินฟางต้องไหว้วานให้แกทำอะไรสักอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไรแกก็ดูเชื่องไปซะทุกอย่าง”
ชูซินฮันยิ้มให้กับพี่สาวพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า
“ในงานเลี้ยงวันเกิดของปู่พี่ฟางไม่ได้เชิญแขกเหรื่อมามากมาย พี่เองก็น่าจะรู้นี่ว่า พี่ฟางจัดงานนี้ขึ้นเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น ผมขอไปคงจะโดนปฏิเสธกลับมาแน่ แต่ถ้าพี่ยอมไปร่วมงานด้วย ผมก็จะมีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงครั้งนี้สูงมากขึ้นด้วย ถือว่าเห็นแก่น้องชายร่วมสายเลือดเถอะนะพี่”
หลังจากพูดจบ ชูซินฮันก็ส่งสายตาวิบวับเป็นประกายให้พี่สาวสุดที่รัก ชูซินซูฟังแล้วก็ได้แต่ย้อนถามกลับไปว่า
“หมอนั่นทำข้อตกลงอะไรไว้กับแก คงให้เลือกเอาระหว่างซุปเปอร์คาร์ Koenigsegg รุ่นลิมิเต็ด กับข้อมูลติดต่อของโห่วหรู่หยานสินะ?”
ชูซินฮันที่ได้ยินว่าพี่สาวรู้เรื่องที่ฉินเฟิงให้เขาเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างรถกับข้อมูลเข้า ก็อดที่จะถามเสียงอ่อนกลับไปไม่ได้
“เรื่องนี้พี่ก็รู้อีกเหรอ…นี่พี่รู้ได้ยังไง…”
มีพี่สาวที่ทั้งสวยทั้งฉลาดแบบนี้ จะเรียกว่ามีนางฟ้าอยู่ใกล้ตัวหรือว่า‘ปีศาจ’ดีนะ? บอกตามตรง เขาเองไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
“คนสันดานดิบอย่างแกคงเลือกรถซุปเปอร์คาร์แน่ แถมรุ่นนี้แกเองก็อยากได้มาตลอด คราวที่แล้วแกยังมาอ้อนวอนขอร้องให้ฉันซื้อให้ แต่ฉันก็ฏิเสธแกไป ส่วนข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดที่ใช้ติดต่อกับโห่วหรู่หยาน หญิงสาวที่แกคลั่งรักอยู่ข้างเดียว หมอนั่นเองก็น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าแกอยากได้จริงไหม?”
ชูซินซูปรายหางตามองน้อยชายที่ปั้นหน้าสุดแสนจะปวดใจไปหนึ่งที
เนื่องจากแม่ของพี่น้องคู่นี้ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่พวกเขายังเด็กกันอยู่ ตัวเธอกับน้องชายจึงขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่าความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงเติบโตมาด้วยการพึ่งพากันและกันเป็นหลัก ส่วนน้องชายที่เริ่มโตขึ้นมาหน่อย จึงได้กลายเป็นเจ้าเสือตัวน้อยที่มีความสนอกสนใจผู้หญิงเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อย
ขอแค่อายุมากกว่า หน้าตาสะสวย มีหน้าอกหน้าใจตูมๆและบั้นท้ายกลมกลึงสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ล้วนแล้วแต่ตกเป็นเป้าหมายที่ชูซินฮังจะต้องพิชิตให้จงได้
ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด ตราบเท่าที่เขาได้ข้อมูลส่วนตัวที่ไว้ใช้ติดต่อกับบรรดาเป้าหมายเหล่านั้น และได้พูดคุยไปเที่ยวกัน สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปได้อีกหลายวันเลยทีเดียว
ชูซินชูรู้ดีว่า เหตุใดน้องชายของตัวเองถึงได้ชอบผู้หญิงที่อายุมากกว่า เพราะพวกเธอเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่ ล้วนมีประสบการณ์ผ่านเรื่องรักๆใคร่ๆมามาก จึงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเจ้าน้องชายตัวดีคนนี้อยู่เสมอ
พูดง่ายๆเลยก็คือ น้องชายของเธอจะว่าไร้เดียงสาก็ไร้เดียงสา จะว่าโง่ก็โง่ เพียงแต่เธอไม่ต้องการที่จะพูดจารุนแรงขนาดนี้ออกไปต่อหน้าเขาก็เท่านั้นเอง
แล้วโห่วหรู่หยานเองก็เป็นสาวสวยทรงโตที่มาจากจีนตอนใต้ เมื่อครั้งที่เธออยู่ที่นั่น เธอก็ถูกขนานนามว่า‘นางฟ้า’ และยังเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีคนหนึ่ง
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชูซินฮังจะสนอกสนใจเธอคนนี้เป็นพิเศษ
ชูซินฮังคลี่ยิ้มด้วยความเขินอาย
“เฮ้ออ…พี่ซินฉลาดจนน่ากลัวเกินไปแล้ว ผมเริ่มกลัวพี่จริงๆแล้วนะ ในเมื่อรู้จุดประสงค์ของผมแล้ว นี่ผมก็พูดมาซะขนาดนี้แล้ว…ผมก็จะบอกความจริงกับพี่ก็ได้ พี่ฟางเน้นย้ำกับผมมากว่า ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องพาพี่ซินไปให้ได้ และถ้าผมพาพี่ไปได้ เขาจะยอมทำตามสัญญาโดยให้ผมเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมก็เลยตอบตกลงไปทันที พี่คงไม่อยากให้ผมผิดสัญญาใช่ไหม?”
ชูซินซูถอนหายใจเฮือกหนี่ง ก่อนจะตอบน้องชายกลับไปว่า
“ซินฮัง นี่แกไม่รู้เลยรึไงว่าฉินฟางกำลังคิดอะไรอยู่?”
“แน่นอนว่าต้องรู้สิ เขาก็แค่ชอบพี่ไม่ใช่รึไง? มีอะไรให้น่าแปลกใจ? แล้วอีกอย่างนะพี่ ทั้งเรื่องหน้าตา นิสัย สถานะทางสังคม ฐานะครอบครัว พี่ฟางมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกอย่าง บนโลกนี้ยังมีผู้ชายคนไหนที่เพียบพร้อมแล้วก็สมบูรณ์แบบอย่างเขาอีก? ถ้าปล่อยไปอาจจะถูกผู้หญิงอื่นแย่งไปก็ได้นะพี่”
คราวนี้ชูซินซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบน้องชายไปว่า
“ไม่ว่าจะรวยหรือว่าดีแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ประเด็น แล้วอีกอย่างเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่เลย แกไปสัญญากับคนอื่นทั้งๆที่ไม่ได้มาถามฉันก่อนได้ยังไง? แล้วนี่แกก็ควรรู้ด้วยนะว่า ตามประเพณีจีน การชวนผู้หญิงข้างนอกเข้าไปร่วมงานวันเกิดของอาวุโสในตระกูล นั่นเท่ากับเป็นการแต่งเข้าตระกูลฉินไปแล้วหนึ่งก้าว เรื่องแค่นี้แกยังไม่รู้เลยรึไง?”
ชูซินฮังเอียงคอเล็กน้อยพลางเอ่ยถามด้วยความใสซื่อว่า
“แล้วแต่งเข้าสกุลฉินมันไม่ดีตรงไหนอ่ะพี่?”
ปกติน้องชายคนนี้มักทำตัวขี้เล่นอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจของครอบครัวเลยสักนิด แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เพียงแค่เรื่องพื้นฐานที่สุดแบบนี้ เขากลับยังไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าฉันแต่งเข้าตระกูลฉิน นั่นไม่เท่ากับว่ายกธุรกิจของตระกูลชูให้พวกตระกูลฉินรึไง? เฮ้ออ…แกจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันกำลังยุ่ง แล้วฝากบอกฉินฟางด้วยว่าฉันไม่ไป”
ชูซินซูคร้านเกินกว่าจะมานั่งอธิบายรายละเอียดให้น้องชายฟังอีกแล้วว่า หลังจากที่เธอแต่งเข้าตระกูลฉินนั้นจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เธอจึงได้แต่ออกปากไล่น้องชายให้รีบๆออกไปจากห้อง
ชูซินฮังกตอบกลับเสียงอ่อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย
“พี่ซินสงสารผมหน่อยเถิดนะ ผมบอกทางนั้นไปแล้วว่าพี่ต้องไปแน่ ถ้าพี่ไม่ยอมไปแบบนี้ ผมก็ขายหน้าแย่เลยสิ นี่…อย่าบอกนะว่าพี่จะเอาไอ้หมอจีนต้มตุ๋นนั่นมาเป็นเขยของตระกูลเราจริงๆ?”
ชูซินซูยักไหล่ตอบไปอย่างไม่แยแสว่า
“ก็ถ้าใช่แล้วไง?”
ชูซินซูรู้ว่าน้องชายของเธอเป็นคนหัวรั้นมาก และเขาก็พยายามทุกวิถีทางที่จะเป็นการปฏิเสธฉีเล่ย
สีหน้าของชูซินรฮังเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงมืดทมิฬขึ้นมาทันที พร้อมกับปริปากพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“พี่ซิน นี่พี่ไปชอบหมอนั่นลงได้ยังไง? ถ้าจะเปรียบเทียบหมอนั่นกับพี่เฟิงจริงๆ หน้าตาเหรอ มันก็ขี้เห่รกว่าพี่เฟิงเยอะ แก้มบวมเป็นลิงปากแหลมอย่างกับคนขาดสารอาหาร แค่นึกถึงหน้าของมันก็รู้สึกขยะแขยงมากแล้ว ไม่ว่าจะมองซ้ายแลขวา หรือมองจากบนลงล่าง ดูยังไงมันก็ไม่คู่ควรกับพี่ซินเลยสักนิด!”
ชูซินซูฟังแล้วถึงกับต้องส่ายหน้า พร้อมกับเปิดแฟ้มข้อมูลที่วางอยู่บนโต๊ะออก จากนั้นจึงชี้ไปที่รูปถ่ายของฉีเล่ยบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้น้องชายดู พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“แก้มลิงปากแหลม หน้าตาขี้เห่รจนขยะแขยงที่แกว่า ใช่เขาคนนี้รึเปล่า?”
“….”
ชูซินฮังที่ได้เห็นภาพของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาบนหนังสือพิมพ์พร้อมกับชื่อฉีเล่ยที่ปรากฏอยู่ ก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหมุนตัวกลับ แล้วรีบเดินหนีออกไปจากห้องทันที ในใจก็ได้แต่แอบคิดว่า
ต้องยอมรับจากใจจริงๆว่า ฉีเล่ยในรูปถ่ายบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น…หน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ….
…………..
หลังจากหมดคาบสอนในช่วงบ่าย หลี่ถงซีก็เดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าสะพาย แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างก็พบว่า ฉีเล่ยกำลังยืนรออยู่ข้างๆรถBMWของเธอ
“ผมขี้เกียจนั่งแท็กซี่กลับน่ะ ก็เลยมารอกลับบ้านพร้อมคุณ”
ฉีเล่ยร้องบอกหญิงสาวทันที
หลี่ถงซีเดินไปเปิดประตูโดยไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ส่วนฉีเล่ยก็เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับโดยไม่รอคำเชิญจากเธอเช่นกัน
เมื่อเห็นหลี่ถงซีกับฉีเล่ยกลับมาบ้านด้วยกัน หลี่ฮั่วเฉินที่รออยู่ในบ้าน ก็ถึงกับแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก พร้อมยกนิ้วโป้งให้ฉีเล่ย ราวกับพยายามจะสื่อว่า ‘เก่งมากไอ้หนู!’
มุมปากของฉีเล่ยยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกกับหลี่ฮั่วเฉินเกี่ยวกับเรื่องอาการทางจิตที่แย่ลงของหลี่ถงซี เพราะขืนเขาบอกออกไป ก็มีแต่จะเพิ่มความเครียดให้แก่ชายสูงอายุโดยเปล่าประโยชน์
เรื่องแบบนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนรอบข้างแอบไปนินทาหลี่ถงซีลับหลังได้นั่นเอง
หลี่ฮั่วเฉินหัวเราะร่วนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฮ่าฮ่า…ไหนๆก็กลับมากันแล้ว พวกเรามาทานอาหารด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาดีกว่านะ ฉีเล่ย คืนนี้มาดื่มด้วยกันดีไหม? สักแก้วสองแก้วกำลังดีนะ เลือดลมจะได้สูบฉีดไหลเวียนยังไงล่ะ”
แต่ดูราวกับหลี่ถงซีจะไม่ได้ยินคำพูดของปู่ตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอเดินถือกระเป๋าสะพายขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
หลี่ฮั่วเฉินเหลือบมองหลานสาวตัวเองที่เดินขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
“เป็นยังไงบ้าง? สถานการณ์ดีขึ้นรึยัง?”
ฉีเล่ยยิ้มและตอบชายชรากลับไปว่า
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เดี๋ยวก็หาย”
“อืม ดีแล้วที่คิดแบบนี้ ไม่มีคู่สามีภรรยาที่ไหนไม่เคยทะเลาะกันหรอกนะ”
เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยมองมาทางตนด้วยสายตาแปลกๆ หลี่ฮั่วเฉินจึงเพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองเผลอพูดอะไรผิดออกไป ก็เลยได้แต่ยิ้มแห้ง แล้วรีบพูดแก้ตัวทันที
“เอ่อ…ก็แค่คำอุปมาอุปมัยเฉยๆน่ะ แต่ถ้าพวกเธอทั้งคู่อยากจะแต่งงานกันจริงๆ ฉันก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกนะ! ฮ่าฮ่าๆๆ…”