ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 154 ประลองรอบสอง(2)
ตอนที่154 ประลองรอบสอง(2)
เป่ยฉวนเทียนหันกลับไปสอบถามความคิดเห็นของฉีเล่ยว่า
“ฉีเล่ย เธอมีอะไรจะถามบ้างไหม?”
“ไม่มีครับ”
ฉีเล่ยกล่าวตอบ
เป่ยฉวนเทียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้เลย กติกาการประลองยังคงเหมือนกับครั้งแรก สุ่มเลือกคนไข้มาเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา ในเมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันการโกง คนไข้ทั้งหมดจะถูกสุ่มเลือก เธอมีปัญหาอะไรไหม?”
ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“เอาตามที่อาวุโสเป่ยเสนอไดเ้เลยครับ”
เขาทราบดีว่า ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียน ชายผู้นี้ไม่มีวันทำเรื่องสกปรก หรือฉกฉวยโอกาสใดๆอย่างแน่นอน เพราะเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเขาโดยตรง หากเรื่องราวได้แพร่สะพรัดออกไป
อีกอย่าง… การประลองแบบนี้ยังมีอะไรให้โกงได้อีก?
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ผู้มากทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริงเช่นนี้ แผนการหรือกลอุบายใดล้วนกลายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษทันที
เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินออกไปเรียนเชิญกลุ่มคนไข้ ที่ได้ลงทะเบียนกรอกข้อมูลไว้ให้เข้ามาด้านในทันที และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเขา เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขอให้ฉีเล่ยสุ่มเลือกหมายเลขของคนไข้ก่อนโดยสามารถเลือกได้ตามใจชอบ
“ฉีเล่ย เธอเลือกสุ่มหมายเลขคนไข้ก่อนเลย”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า
“ผมขอเลือกหมายเลข7ครับ”
เมื่อฉีเล่ยประกาศหมายเลขคนไข้ที่ต้องการออกไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้อาสาออกไปเรียกผู้ป่วยที่ได้เลขคิวเบอร์ 7ให้ทันที
เป่ยจ้าวหยวนเปิดแฟ้มข้อมูลขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกว่า
“ซูเฉา เพศชาย อายุ 38ปี”
หลัวไป๋ซิ่วที่รออยู่ในห้องตรวจด้านใน จึงได้ร้องบอกว่า
“เรียกเขาเข้ามาในห้องนี้เลย”
ในไม่ช้า หญิงสาวในชุดกี่เพ้าก็ได้เดินนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก เข้ามาภายในห้องตรวจ VIP ทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าพาขึ้นมายังห้องตรวจชั้นที่สอง เขาก็ถึงกับชะงักและรีบร้องร้องถามออกไปทันที
“นี่เรามาผิดห้องรึเปล่าครับ?”
หญิงสาวในชุดกี่เพ้ายิ้มให้และกล่าวตอบไปว่า
“ไม่ผิดค่ะ วันนี้อาจารย์เป่ยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน พวกเขาจะทำการตรวจรักษาให้คุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”
คำกล่าวของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าทำให้ชายคนนั้นดูผิดหวังและตกอกตกใจอย่างมาก ก่อนจะร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่า
“นี่ผมเป็นโรคอะไรกันแน่? มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามากลุ้มรุมตรวจกันขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าเองก็ค่อนข้างรับมือได้ดี เธอยิ้มตอบพร้อมปลอบคนไข้อย่างใจเย็นไปว่า
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เนื่องจากในในทุกเดือนอาจารย์เป่ยจะเรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้แวะเวียนกันเข้ามาอยู่แล้ว และคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับการสุ่มเลือกในวันนี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินว่า เขาจะได้รักษากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและเป่ยฉวนเทียนเป็นการส่วนตัว สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ และใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ”
ในเวลานั้นเอง คนไข้ชายก็ได้เดินเข้าไปถึงห้องพอดี และได้พบเห็นกลุ่มชายชราที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่สี่ทิศ ดูประหนึ่งเหล่าปรมาจารย์ลงมาจุติ ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองช่างโชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ และการได้รับการรักษากับเหล่าปรมาจารย์ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว
เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยว่า
“เอาล่ะฉีเล่ย เธอเริ่มก่อนได้เลย”
ฉีเล่ยเดินตรงออกมาจากมุมห้อง เอื้อมมือไปจับชีพจรบริเวณข้อมือของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นฉีเล่ยอาสาออกมารักษาตนเองแทนเหล่าอาวุโส เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ทำไมถึงให้แพทย์ฝึกหัดมาล่ะ? ไหนบอกว่าผมจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?”
ฉีเล่ยปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับก่นเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ
“เงียบก่อน”
เมื่อได้เห็นสีหน้าการแสดงออกที่จริงจังเคร่งเครียดของฉีเล่ย ชายคนนั้นก็ถึงกับชะงักไปพร้อมกับปิดปากเงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก
ครั้งนี้ฉีเล่ยใช้เวลาจับชีพจรนานถึงสามนาทีเต็มๆ ขณะตรวจจับชีพจรก็เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาแดงก่ำ แก้วตาขุ่นมัว เมื่อสักครู่ที่ปริปากพูดออกมา ก็สัมผัสได้ถึงไอกลิ่นคาวเล็กน้อยพวยพุ่งออกมา
หลังจากที่ฉีเล่ยจับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายชราที่เหลือ จากนั้นก็เป็นเป่ยฉวนเทียนที่เข้ามาจับชีพจรของชายคนนั้นต่อจากฉีเล่ย
หลังจากที่แต่ละคนได้ทำการจับชีพจรของคนไข้ชายครบทุกคนแล้ว หลัวไป่ซิ่วก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“มีใครอยากจะสอบถามอะไรคนไข้บ้างไหม?”
ฉีเล่ยส่ายหัว
“ไม่มีครับ”
“ฉันเองก็ไม่มี”
ดูเหมือนว่าทั้งชายหนุ่มและชายชราเหล่านั้น จะตระหนักชัดแจ้งได้ตั้งแต่จับชีพจรและสังเกตสีหน้าท่าทางของชายผู้นั้นแล้ว เพียงรูปลักษณ์และสัญญาณการเต้นของหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทำให้ปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมดรู้ได้ว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร?
หลิวไป๋ซิ่วพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มเขียนใบสั่งยากันได้เลย จากนั้นจึงค่อยเอาใบสั่งยาของแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน”
ฉีเล่ยและเป่ยฉวนเทียนเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษ วางเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว
เป่ยฉวนเทียนตวัดร่ายเรียงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ในฐานะแพทย์แผนจีนที่เขียนใบสั่งยาให้คนไข้อยู่เป็นประจำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร
หลังจากวางพู่กันในมือลง เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางโต๊ะของฉีเล่ยไม่ได้ และกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของฉีเล่ยนั้นก็เตะตาชายชราเข้าอย่างจัง
ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดาเลย บางจังหวะลายเส้นดูแข็งกร้าว บางจังหวะเส้นกลับตวัดร่ายรำพริ้วไหวดูอ่อนโยน แสงที่สาดสะท้อนเส้นหมึกก่อให้เกิดเป็นประกายสีทองและเงินสลับไสวดูวิจิตรตายิ่ง
เมื่อได้เห็นแผ่นกระดาษของฉีเล่ย หลัวไป๋ซิ่วผู้รักการเขียนอักษรพู่กันเป็นชีวิตจิตใจก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่า
“ช่างเป็นอักษรที่สวยงามมากจริงๆ”
อาวุโสเหวินถึงกับต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกับปรบมือ
“ดูจากโครงอักษรแล้ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทักษะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสมามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”
ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า
“หาได้ยากมากเลยนะในยุคสมัยนี้ ที่จะมีหนุ่มสาวคนไหนสามารถเขียนพู่กันออกมาได้สวยขนาดนี้”
แม้จะได้รับคำยกย่องชมเชยไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีเล่ยกลับปราศจากคลื่นอารมณ์แปรปวนใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะเขาหนังหน้าหนามาก
แม้ว่าคนหนุ่มสาวในสมัยนี้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ตัวเองควรจะต้องทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ร้องเพลง แล้วก็ขับรถ แต่กลับไม่เคยรู้ว่า สิ่งใดที่จำเป็นกับชีวิตของพวกเขากันแน่?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในเมืองยุคใหม่ ที่ลายมือถูกแทนที่ด้วยแป้นพิมพ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว คนที่จะสามารถเขียนอักษรพู่กันได้สวยงามขนาดนี้ น่าจะเหลือแต่เพียงคนแก่คนเฒ่าแล้ว น้อยนักที่จะเสาะหาพบในกลุ่มคนหนุ่มสาว
เป่ยฉวนเทียนเฝ้ามองอักษรบนแผ่นกระดาษของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ..ถ้าให้พูดตามตรง แค่ลายมือฉันก็แพ้เธอไปแล้วหนึ่งเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เธอควรต้องรู้ ลายมือมักสะท้อนให้เห็นถึงความลึกล้ำของบุคคลนั้น”
ฉีเล่ยยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”
หลิวไป่ซิ่วอากัปกิริยาของฉีเลีย จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้
“การรู้จักมารยาทเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถ่อมตัวมากจนเกินไป มันจะกลับกลายเป็นว่าดูหยิ่งผยองแทนนะ”
แม้น้ำเสียงของหลิวไป่ซิ่วจะฟังดูแข็งกร้าว แต่ทุกคนในห้องที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังชื่นชมฉีเล่ยอยู่ลึก
อาวุโสเหวินยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า
“เอาล่ะ มาดูใบสั่งยาที่เขียนกันเลยดีกว่า”
ทั้งสามรวบรวมใบสั่งยาที่เป่ยฉวนเทียนกับฉีเล่ยเขียนเอาไว้ จากนั้นจึงได้เอามานั่งดูเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด
และเป็นหลิวไป่ซิ่วที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“เบื้องต้นทั้งสองวินิจฉัยอาการออกมาเหมือนกัน พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคนไข้นั้นไม่เพียงอ่อนแอแต่ยังไหลเวียนไม่ดีด้วย จึงนำมาซึ่งสภาวะการสั่งสมพลังความร้อนไว้ภายในกายมากจนเกินไป ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ใจสั่นจนถึงขั้นนอนไม่หลับ”
อาวุโสเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า
“แต่ใบสั่งยาของทั้งคู่กลับค่อนข้างแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็จะมีแนวทางการรักษาในแบบฉบับของตัวเองสินะ? งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ใบสั่งยาไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด”
ปิงโหย่วหลินกวาดสายตามองใบสั่งยาทั้งสองใบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ของตาเฒ่าเป่ย ใช้ยาถางเซียวเหยาซาน(อิสระไพศาล) องค์ประกอบหลักมี เปลือกดอกโบตั๋น, ตะไคร่เหลือง, หวงเหลียน, เปลือกส้มตากแห้งและไฉหู องค์ประกอบเสริม ลูกพลู หวงเหลียน หวงหลุน อืมม…เข้าใจเลือกดีนะ เปลือกส้มตากแห้งไม่เพียงจะช่วยระบายแก๊สในม้ามและตับอ่อน แต่ยังช่วยบำรุงน้ำย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่วนสมุนไพรเสริมทั้งหมดมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไฟในร่างกาย ยิ่งนำเปลือกดอกโบตั๋นเข้ามาผสมด้วย ยังสามารถช่วยบำรุงถุงน้ำดี ปรับระดับหยินหยางให้เกิดความสมดุล นี่เป็นสูตรยาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ส่วนของฉีเล่ย ใช้ยาต้มหลงตัน(มังกรคะนอง) องค์ประกอบหลักได้แก่ ยอดดอกโบตั๋น หอยนางรมฟู่เสิน ไขกระดูกงู สมุนไพรทรายแดง องค์ประกอบรองจะเป็น ตะไคร่แดง ลูกพลับตากแห้ง อืม อืม…เน้นรักษาในส่วนตับ ม้ามและถุงน้ำดีเฉพาะทาง มิหนำซ้ำยังช่วยล้างไฟที่สั่งสมในตับอ่อนได้อีกด้วย ส่วนไขกระดูกงู กับหอยนางรมฟู่เสินมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับได้ดีขึ้น ส่วนสมุนไพรทรายแดงกับตะไคร่แดงหากใช้ด้วยกันจะมีฤทธิ์เกื้อกูล ช่วยในการขับถ่ายระบายความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี”
เมื่อได้อ่านใบสั่งยาของฉีเล่ย ปิงโหย่วหลินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า
“แต่ใบสั่งยาตัวนี้จะแรงเกินไปรึเปล่า? อย่างการใช้ตะไคร่แดงกับสมุนไรทรายแดงควบคู่กัน แม้จะช่วยเรื่องการระบายขับถ่ายก็จริง แต่เกรงว่าถ้าคุมปริมาณได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการท้องร่วงแทรกซ้อนขึ้นมารึเปล่า? ดูเหมือนจะอันตรายไปหน่อยนะ?”
ฉีเล่ยเหลือบมองชายชราที่กำลังปั้นหน้าฉงนใจ พร้อมกับอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เพราะการทำงานของสมุนไพรทั้งสองชนิดมีฤทธิ์รุนแรงเกินไปครับ ผมก็เลยใช้ลูกพลับตากแห้งเข้ามาถ่วงสมดุลสร้างความเสถียรขึ้นมา อันที่จริงถ้าเป็นคลินิกที่อื่นผมคงไม่กล้าเขียนใบสั่งยาแบบนี้ให้แน่นอน แต่เพราะที่นี่เป็นมืออาชีพมากพอ ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการชั่งวัดปริมาณครับ”