ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 117 ปัญหาละเอียดอ่อน
ตอนที่117 ปัญหาละเอียดอ่อน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดฉีเล่ยก็ยอมใจอ่อน สีหน้าอันแสนตึงเครียดของเหอจื่อก็คลายอ่อนลงทันที เธอวิ่งไปกอดแขนของฉีเล่ยไว้แนบแน่น และพูดขึ้นว่า
“หนูรู้อยู่แล้ว ว่าอาจารย์จะต้องตอบตกลง”
ฉีเล่ยรีบสะบัดแขนออกทันที
“นี่! คุณเป็นนักศึกษานะ ส่วนผมก็เป็นอาจารย์ ช่วยใส่ใจกับเรื่องนี้ให้มากด้วย แล้วก็รักษาระยะห่างอย่าให้เกินพอดีนัก”
เหอจื่อทำปากมุ่ยเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ถ้าพูดแบบนั้น หนูก็หวังว่าอาจารย์จะโดนไล่ออกจริงๆ เพราะต่อไปอาจารย์จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างห้ามไม่ให้หนูกอดอีก!”
“…คุณรู้ตัวไหมว่า ตัวคุณเองเริ่มเหมือนแม่เข้าไปทุกทีแล้ว?”
“ก็หนูคลอดออกมาจากท้องเธอนี่คะ ไม่ให้เหมือนแม่แล้วจะให้เหมือนใคร?”
..…….
หลี่ฮั่วเฉินเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง
แต่อันที่จริงแล้ว ทุกคนล้วนทราบดีว่านอกจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขายังเป็นประธานบริหารของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่ง ทั้งยังเป็นรองประธานแพทย์สภาอีกด้วย
ดังนั้นหากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ จะเป็นหน้าที่ของรองอธิการบดีที่คอยจัดการแทน เพราะอีกฝ่ายไม่อยากจะรบกวนหลี่ฮั่วเฉินมากจนเกินไป
แต่ในตอนนี้หลินหมิงจางเข้ามารับตำแหน่งแทน มันก็เทียบเท่ากับว่าเขาเข้ามารับช่วงต่อ และช่วยปลดภาระก้อนหนึ่งของหลี่ฮั่วเฉินออก ทั้งคู่รู้จักกันมานานหลายปีแล้ว หลี่ฮั่นเฉิวจึงค่อนข้างไว้วางใจในทักษะการแพทย์และการบริหารของหลินหมิงจาง นิสัยของสหายเฒ่าคนนี้แตกต่างจากโห่วเซิงกัวโดยสิ้นเชิง สำหรับเรื่องดำมืดไม่ถูกต้อง รับรองได้ว่าหลินหมิงจางไม่มีทางกล้าทำแน่
หลังจากที่หลินหมิงจางเข้ามารับช่วงต่อจากเขา ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่ายทันที แนวทางการบริหารยังคงเป็นไปตามหลักขนบธรรมเนียมเดิมของหลี่ฮั่วเฉิน นอกจากเปลี่ยนป้ายชื่อตำแหน่งในห้องทำงานอธิการบดีแล้ว ทุกอย่างภายในมหาวิทยาลัยยังคงเป็นดังเดิม
ฉีเล่ยเคาะประตูห้องทำงานเล็กน้อย เพียงไม่นานก็มีหนุ่มแว่นเดินมาเปิดประตูให้และกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
“อาจารย์ฉีใช่ไหมครับ? ท่านอธิการบดีกำลังรอคุณอยู่เลย”
“ขอบคุณมากครับ”
ฉีเล่ยยิ้มตอบอย่างสุภาพกลับไป
หนุ่มแว่นคนนั้นเหลือบมองเหอจื่อที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายฉายแววสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พาทั้งคู่เข้าไปโดยไม่พูดทักถามใดๆทั้งสิ้น
หลินหมิงจางกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานพอดี พลางเซ็นเอกสารฉบับหนึ่งในมือและส่งให้หนุ่มแว่นไปจัดการต่อ
“เสี่ยวหวาง ช่วยเอาเอกสารฉบับนี้ไปส่งทีนะ”
“ครับผม”
หนุ่มแว่นรับคำสั่ง หลังจากได้รับเอกสารมาแล้ว เขายังไม่ได้จากไปทันที แต่เดินไปรินชาทั้งสองแก้วให้แขกก่อน แล้วจึงค่อยโค้งศีรษะเดินออกไปอย่างมีมารยาท
หลินหมิงจางเดินไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับฉีเล่ย ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดกลับหันไปเห็นเหอจื่อที่กำลังจ้องเขม็งใส่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินหมิงจางเห็นแบบนั้นจึงอดที่จะถามขึ้นไม่ได้
“สาวน้อย เธอเป็นใครงั้นเหรอ?”
“หนูชื่อเหอจื่อค่ะ เป็นตัวแทนนักศึกษาจากสาขาแพทย์แผนจีนรุ่น6 แล้วก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีด้วย หนูมาที่นี่เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับอาจารย์ฉี!”
สีหน้าของเหอจื่อทั้งดูเคร่งขรึมและจริงจังอย่างยิ่ง ราวกับว่าเธอเข้าพบหลินหมิงจางเพื่อทำภารกิจสำคัญอย่างนั้นล่ะ
“ทวงความเป็นธรรม?”
หลินหมิงจางปั้นหน้าสับสน
“ทวงความเป็นธรรมเรื่องอะไร?”
เหอจื่อกล่าวเสียงเย็นชาตอบไปว่า
“พวกเราทั้งหมดอยากรู้ว่า ทำไมทางมหาวิทยาลัยถึงต้องไล่อาจารย์ฉีออก?”
หลินหมิงจางยิ้มตอบไปว่า
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเรียกฉีเล่ยมาที่นี่เพื่อต้องการจะปรึกษาหารือ”
เหอจื่อถามจี้จุดไปว่า
“แล้วเหตุผลล่ะ?”
“เหตุผล? ถ้าพูดกันตามเนื้อผ้าอาจเป็นเพราะ…อาจารย์ฉีไม่มีคุณสมบัติของความเป็นอาจารย์”
“แต่อาจารย์ฉีก็เป็นอาจารย์แพทย์แผนจีนที่เก่งที่สุดเท่าที่หนูเคยพบเห็นมานะคะ!”
หลินหมิงจางโบกมือยิ้มกล่าวไปว่า
“ฉันรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และฉันเองก็เชื่อมั่นในความสามารถของอาจารย์ฉีเช่นกัน แต่ปัญหาคือคนอื่นจะเชื่อแบบพวกเธอรึเปล่า?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนอื่นที่ต้องเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยคะ? พวกเราเป็นักศึกษาย่อมรู้ดีที่สุดว่า ใครกันที่สามารถให้ประโยชน์แล้วก็ให้ความรู้กับพวกเราได้ ที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยส่งแต่อาจารย์ไร้น้ำยามาสอนกินเงินเดือน แต่คราวนี้อาจารย์ฉีมีความสามารถอย่างแท้จริง กลับจะไล่ออก เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่ยอมปล่อยอาจารย์ฉีไปง่ายๆแน่นอนค่ะ!”
หลินหมิงจางส่ายหัวไปมาพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นใจ
“สาวน้อย เธอยังเด็กเกินไป รอโตเป็นผู้ใหญ่และจำเป็นต้องเผชิญกับความเป็นจริงในสังคม เธอจะเข้าใจได้ทันทีว่า โลกนี้มักจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ไขได้เกิดขึ้นอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือกฎย่อมต้องเป็นกฎ ขัดแย้งกับผู้คนยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าขัดแย้งกับกฎระเบียบ”
เหอจื่อโบกมือน้อยๆของเธอไปมา ชะโงกหน้าเข้าปะทะพร้อมแสยะยิ้มฉีกกว้างแปลกๆให้
“พูดอย่างกับว่าหนูไร้เดียงสาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่นักศึกษาอย่างพวกเราต้องการก็คือให้อาจารย์ฉีได้สอนที่นี่ต่อไป อย่างอื่นพวกหนูไม่สนหรอกค่ะว่าอะไรจะถูกหรืออะไรจะผิด คุณเองก็เป็นถึงอธิการบดีไม่ใช่เหรอคะ กับแค่เรื่องใบปริญญาใบเดียว คงไม่ยากเกินไปที่จะหามาไม่ใช่เหรอคะ? แล้วถ้าทางมหาวิทยาลัยยังกล้าปฏิเสธ พวกคุณเองก็เตรียมมีปัญหากับทางกรมทหารได้เลย”
จู่ๆหลินหมิงจางก็ระเบิดหัวเราะลั่นโดยไม่ตั้งใจ
“โอ้? แม่สาวน้อย รู้ตัวไหมว่าเธอกำลังข่มขู่อธิการบดีคนนี้อยู่?”
“เมื่อกี้เธอเองก็เพิ่งข่มขู่ผมเหมือนกัน”
ฉีเล่ยหัวเราะเสียงแห้งด้วยความขมขื่นอยู่ข้างๆ
เดิมทีฉีเล่ยคิดไปว่า การที่เหอจื่อไม่ค่อยกินเส้นกับแม่ของตัวเองเท่าไหร่นั้น อาจเป็นเพราะอุปนิสัยที่แตกต่างกันของคนทั้งคู่ แต่ที่ไหนได้ทั้งท่าทาง คำพูดและการกระทำกลับได้แม่ตัวเองมาเต็มๆ!
หลินหมิงจางมองไปทางฉีเล่ยและหัวเราะกล่าวว่า
“เสี่ยวฉี เธอโชคดีมากเลยนะที่มีลูกศิษย์ออกตัวข่มขู่แทนขนาดนี้”
“ก่อนหน้าฉันค่อนข้างยุ่งมาก จำเป็นต้องจัดการเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เข้าที่เข้าทางหลังรับตำแหน่ง ก็เลยยังไม่มีเวลามาสนใจกับเรื่องราวของเธอในมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตาเฒ่าหลี่พูดไปทั้งหมดจะถูกต้อง เธอมีพรสวรรค์อย่างมากกับการเป็นอาจารย์”
“ไม่หรอกครับ ถึงจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็สู้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้”
ฉีเล่ยกล่าวเสียดสีบุคคลที่สามให้อีกฝ่ายฟังทันที
เมื่อวกกลับเข้ามาหัวข้อนี้ หลินหมิงจางก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางแอบคิดกับตัวเองว่า
‘ถ้าไม่ใช่เพราะทางเบื้องบนโทรมาพล่ามไร้สาระกับฉันเรื่องนี้ เพื่อให้เซ็นอนุมัติการไล่ฉีเล่ยออกไป ฉันก็คงจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน ดูเหมือนว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะต้องมีใครอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวไม่น่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้’
หลังจากที่ครุ่นคิดอะไรแบบนั้น หลินหมิงจางก็เบนสายตาไปทางเหอจื่อและพูดขึ้นว่า
“หัวหน้าคณะอาจารย์สาขาโทรมาบอกว่า ทางมหาวิทยาลัยห้ามไม่ให้รับอาจารย์เข้ามาเป็นการส่วนตัว และเงื่อนไขสำคัญคืออาจารย์ที่รับเข้ามาจะต้องมีใบประกอบหรือไม่ก็ใบปริญญามารับรองเท่านั้น โดยปกติแล้ว แค่ตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ไม่มีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบประวัติและภูมิหลังของอาจารย์คนอื่นได้ แต่การที่ทางนั้นใช้เรื่องที่เธอไม่มีใบปริญญามาเป็นข้ออ้างไล่เธอออกได้ แสดงว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังและคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ”
ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสเมื่อได้ยิน
“ดูท่าผมคงจะเผลอไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าอีกแล้วสินนะครับ”
หลังจากพูดจบฉีเล่ยก็ได้แต่นั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ทำไมเขาถึงพูดว่า‘อีกแล้ว’?
ดูท่านอกจากเขาจะมีพรสวรรค์ด้านการสอนแล้ว คงจะยังมีพรสวรรค์ด้านการสร้างศัตรูอีกด้วย บางทีสิ่งที่ได้รับมาจากมรดกของบรรพบุรุษสกุลเฉินอาจไม่ได้มีเพียงองค์ความรู้ก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าเมื่อครั้งที่บรรพบุรุษสกุลเฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาเองอาจเป็นคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมาจนสร้างศัตรูไว้มากไม่ต่างกัน
แต่ปัญหาคือ ในสมัยโบราณคนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้สามารถเรียกได้ว่า เป็นคนเถรตรงได้ แต่มาในยุคปัจจุบันนี้ กลับถูกเรียกว่า เป็นพวกEQต่ำและไม่สามารถเข้ากับสังคมได้
ฉีเล่ยพลางคิดกับตัวเองไปว่า ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนสีเพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทางสภาพสังคมได้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องถ่อมาเป็นอาจารย์ถึงที่ปักกิ่งแน่
หลินหมิงจางมองมาทางเขาพร้อมกับพูดต่อว่า
“คุณสมบัติความเป็นอาจารย์ของเธอมันไม่มีข้อกังขาอยู่แล้ว แต่เงื่อนไขที่ไม่ตรงตามกฎเกณฑ์ จุดนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ ไม่ใช่ว่าฉันจะทนต่อแรงกดดันกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้หรอกนะหากจะจ้างเธอต่อ แต่สิ่งนี้จะกลายเป็นข้ออ้างในวันข้างหน้าทันที เมื่อมีผู้มีอำนาจใช้เส้นสายยัดคนของตัวเองเข้ามาเป็นอาจารย์ บางคนเก่งเหมือนเธอก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ? ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก”
“แล้ว…ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอค่ะ?”
เหอจื่อเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความกังวลใจ