ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 457 ช่างน่าจดจำยิ่งนัก
บทที่ 457 ช่างน่าจดจำยิ่งนัก
……….
บทที่ 457 ช่างน่าจดจำยิ่งนัก
“เหตุใดถึงไม่ได้เล่า?”
หลิงเยว่รู้สึกว่าความคิดนี้ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก เพียงแบ่งเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์คนละครึ่ง ฝ่ายที่ชนะย่อมต้องเป็นโม่จวินเจ๋อแน่นอน!
ส่วนเหตุผลที่เชื่อมั่นในตัวโม่จวินเจ๋อเช่นนี้ เป็นเพราะวิถีสวรรค์นั้นอยู่ฝั่งพวกเขา และด้วยการช่วยเหลือของวิถีสวรรค์ เทพปีศาจต้องตายแน่!
ส่วนหตุผลที่นางไม่ทำเองเพราะไม่มั่นใจ แม้ว่าหลิงเยว่จะโชคดีได้หลอมรวมเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์จากหัวใจเทพปีศาจจริง แต่การจะใช้วิชาฟื้นคืนชีพเพื่อชุบชีวิตอาจารย์และคนอื่น ๆ ต้องใช้เวลานานมาก
แต่ถ้าให้โม่จวินเจ๋อผู้กลับชาติมาเกิดเป็นยอดฝีมือจัดการแทน ย่อมเร็วและได้ผลดีกว่าแน่นอน
โม่จวินเจ๋อไม่ได้ตอบคำถามของหลิงเยว่ เพียงแต่จ้องมองนางอยู่อย่างนั้น หากเขาไม่ได้รู้จักนางในฐานะโม่จวินเจ๋อและเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นนี้… เขาคงไม่ปฏิเสธแน่
ใครเล่าจะปฏิเสธพลังของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ได้?
“ทำไมท่านถึงมองข้าเช่นนั้น?”
หลิงเยว่ลูบใบหน้าตัวเองด้วยความแปลกใจ แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “เหตุใดจึงไม่ตอบคำถามของข้า?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากถูกหลอมรวมแล้ว เจ้าจะไม่ใช่ตัวเจ้าอีกต่อไป และไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้?”
“ข้ารู้” หลิงเยว่ก้มหน้าลงเล็กน้อย “แต่การให้เทพปีศาจตายไปด้วย ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก”
หากมีชีวิตอยู่ได้ ใครจะอยากตายเล่า?
นางยังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากทำ… เพียงแต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์’ ของนาง การให้นางเป็นผู้จบเรื่องนี้ถือว่าสมเหตุสมผล อีกอย่างใครบอกว่านางไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้? นางยังมีร่างเณรน้อยอีกไม่ใช่หรือ?
นั่นก็ถือว่าเป็นนางเหมือนกันนี่!
“ข้าจะนำหัวใจเทพปีศาจมาให้เจ้า”
โม่จวินเจ๋อมองหน้าหลิงเยว่ด้วยสายตาจริงจัง ทำให้คนถูกมองรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย คำพูดนี้ฟังดูคล้ายกับ… การสารภาพรักอยู่หน่อย ๆ นะ?
“ท่าน…”
หลิงเยว่อ้าปากพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป อนาคตจะเป็นเช่นไร ใครเล่าจะรู้?
“ท่านตั้งใจจะบุกเข้าไปแดนเทพอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ต้องคิดเลย เทพปีศาจและเผ่าปีศาจต้องรออยู่ที่นั่นแน่นอน คงเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า
โม่จวินเจ๋อส่ายหน้า เหตุที่เขามาถึงถ้ำนี้เป็นเพราะบนเตียงน้ำแข็งมีความทรงจำบางส่วนของเขาผนึกไว้ และมีตำแหน่งประตูสู่แดนเทพเส้นที่สองอยู่ด้วย
เพียงแต่ทางลัดนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่แน่ว่าจะง่ายกว่าการบุกฝ่าประตูแรก
เดิมทีโม่จวินเจ๋อตั้งใจจะไปบุกเพียงลำพัง แต่ด้วยสภาพของหลิงเยว่ในตอนนี้ เขาไม่วางใจที่จะทิ้งนางไว้คนเดียว
ทั้งคำพูด การฆ่าตัวตายด้วยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ และการบอกให้เขากลืนกิน ยังมีเรื่องอะไรที่นางทำไม่ได้อีก?
ดังนั้นพานางไปด้วยดีกว่า…
“ข้าไม่ไป ข้าต้องอยู่ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนเพื่อล่อเทพปีศาจ ไม่เช่นนั้นหากเขาไม่เห็นข้าปรากฏตัวเสียที จะเริ่มฆ่าฟันอย่างไร้ปรานีได้อย่างไร?”
นางสูญเสียอาจารย์และคนอื่น ๆ ไปแล้ว หลิงเยว่ไม่อยากสูญเสียใครอีก
“แต่หากไม่มีความช่วยเหลือของเจ้า ข้าอาจไม่สามารถฝ่าไปได้” แววตาน้อยใจของโม่จวินเจ๋อ ทำให้หลิงเยว่นึกถึงภาพตอนที่พบเขาครั้งแรก
“มีเสี่ยวจินช่วยก็ยัง… ไม่ได้หรือ?”
โม่จวินเจ๋อส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ได้”
หลิงเยว่รู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกว่าโม่จวินเจ๋อมีแผนการบางอย่าง แต่จะมีแผนการใดที่ยิ่งใหญ่กว่าการกลืนกินนางอีกหรือ?
“วิชาข้ามภพของเทพปีศาจนั้นจะยุ่งยาก แต่ข้ามีวิธีทำให้เขาไม่สามารถใช้มันกับผู้คนในโลกเบื้องล่างได้อีก”
โม่จวินเจ๋อรู้ว่าการตายของชิงยวนและคนอื่น ๆ สร้างความสะเทือนใจให้หลิงเยว่มากเพียงใด เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน
ที่แท้ก็เป็นวิชาข้ามภพ…
“ท่านมีวิธีหยุดมันจริง ๆ หรือ?” หลิงเยว่ถาม “ไม่ใช่แค่แต่งเรื่องขึ้นมาหลอกข้า เพื่อให้ข้าไปบุกเข้าประตูแดนเทพกับท่านใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่เคยหลอกเจ้า”
โม่จวินเจ๋อจับมือของหลิงเยว่ แล้วใช้วิชาเหยียบย่อฟ้ามาถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างแดนเทพและโลกผู้บำเพ็ญเซียนในพริบตา
เป็นไปตามที่ทั้งสองคาดการณ์ไว้ ที่นี่ถูกยึดครองโดยเทพปีศาจและเผ่าปีศาจแล้ว หากต้องการบุกเข้าไปในช่องทางนี้ ถึงใช้หมื่นชีวิตก็ยังไม่พอ
สายฟ้าฟาดกระหน่ำทั่วฟ้าพลันถล่มเทพปีศาจและร่างแยกของเทพปีศาจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เทพปีศาจก็ยังไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย ถึงขนาดไม่สนใจการไล่ล่าของทัณฑ์สวรรค์เลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าเขารับรู้ถึงการมาของทั้งสองหรือไม่ เทพปีศาจที่เงียบมาหลายวันจึงเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน
“หากยังไม่ออกมา พวกมดปลวกในโลกเบื้องล่างจะต้องตามรอยอาจารย์ของเจ้าไป” เมื่อเทพปีศาจกล่าวจบ ร่างแยกพิเศษข้างกายก็โบกมือ ภาพมากมายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางพายุคะนองอันมืดมิด
เป็นภาพพวกนั้นอีกแล้ว!
เมื่อหลิงเยว่เห็นเพื่อนร่วมรบ เพื่อนร่วมสำนัก และอาจารย์ที่กำลังต่อสู้กับเผ่าปีศาจ นางก็กำหมัดแน่น อยากจะทุบหัวเทพปีศาจให้แตกคามือ
เทพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับใช้วิธีการต่ำทรามเช่นนี้ได้
“คราวนี้จะให้ใครตายดีนะ?”
เทพปีศาจมองดูพวกมดปลวกตรงหน้า แล้วชี้ไปที่อวี้เจิน หัวหน้าตะขาบมรกต ชิงหลงและซูซวงที่บาดเจ็บสาหัสแล้ว…
“สี่คนนี้ก่อนแล้วกัน”
ไม่!
หลิงเยว่กำลังจะพุ่งออกไป แต่ถูกโม่จวินเจ๋อดึงกลับมาอย่างแรง “ดูให้ดี…”
ภาพการตายอย่างกะทันหันไม่ได้ปรากฏบนหน้าจอ แต่กลับเป็นร่างแยกพิเศษหมายเลขเจ็ดที่ใช้วิชาข้ามภพกำลังกระอักเลือด ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดมีเส้นสีขาวสี่เส้นเคลื่อนไหวไม่หยุด จากนั้นเลือดก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ม่านตาของเขาเบิกกว้าง…
เหล่าปีศาจจำได้ดี เส้นสีขาวพวกนั้นคือการย้อนกลับ!
“พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ๆ”
เทพปีศาจยิ้มบาง ๆ จิตสังหารแผ่ขยายออกไปไม่หยุด ราวกับต้องการดึงหลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อออกมา
น่าเสียดายที่เขาช้าไปหนึ่งก้าว โม่จวินเจ๋อได้พาหลิงเยว่จากไปแล้ว
“ท่านอาจหยุดข้าได้ครั้งหนึ่ง แล้วครั้งที่สองที่สามเล่า?” แม้โม่จวินเจ๋อจะพิสูจน์แล้วว่าตนไม่ได้โกหก แต่หลิงเยว่ยังไม่วางใจ
“ข้าได้วางค่ายกลย้อนกลับไว้ทั่วโลกผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว เพียงแค่เทพปีศาจใช้วิชาข้ามภพ สวรรค์จะลงมือส่งพลังย้อนกลับไปยังผู้ใช้ทันที”
“ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?!” ตอนนี้หลิงเยว่ดูเหมือนลูกสุนัขตัวน้อย แต่วางใจลงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
“อืม ตอนนี้ยังเหลืออีกเรื่องสุดท้าย”
เรื่องที่จะทำให้หลิงเยว่วางใจลงได้
ทั้งสองมาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ใต้หน้าผามีหมอกสีขาวดำลอยอยู่ หลิงเยว่มองเห็นเงาคนเลือนรางอยู่ตรงนั้น
“นี่คือเส้นทางที่นำไปสู่แดนเทพ…”
“ไม่ใช่”
โม่จวินเจ๋อใช้ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ในอากาศ การเคลื่อนไหวของเขาเริ่มจากช้าแล้วเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนหลิงเยว่มองไม่ทัน
ในไม่ช้าแสงที่ออกมาจากปลายนิ้วของเขาก็รวมตัวกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
ไม่สิ มันดูเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากกว่า ดูสวยงามและน่าทึ่งมาก
ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ปกคลุมหน้าผา หมอกสีขาวดำและท้องฟ้านั้นก็ค่อย ๆ หายไปจากสายตาของหลิงเยว่
“ช่องทางที่สามารถส่งร่างแยกลงไปยังโลกเบื้องล่างนั้นได้รับการซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะมีร่างแยกของเทพปีศาจลงไปยังโลกเบื้องล่างอีก”
อืม…
หลิงเยว่ราวกับเพิ่งได้รู้จักโม่จวินเจ๋อเป็นครั้งแรก
“นั่นเป็นที่ที่ข้าเคยอาศัยอยู่ และเป็นที่ที่… ข้าได้รู้จักเจ้า”
ช่างเป็นสิ่งที่น่าจดจำยิ่งนัก
เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความห่วงใยของโม่จวินเจ๋อ หากหลิงเยว่ยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา คงต้องเรียกนางว่าคนโง่แล้ว!
……….