ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 834 สุสานแห่งไท่ซาน!
ตอนที่ 834 สุสานแห่งไท่ซาน!
……….
บางทีในสายตาผีไร้ญาติภายนอก ยมโลกยังคงเป็นการมีอยู่ที่น่าหวาดหวั่นและไม่อาจบรรลุได้เช่นเคย มันสูงส่ง เส้นสายของมันกระจายไปทั่วแดนนรก ขณะเดียวกันยังแผ่ขยายไปยังแดนมนุษย์อีกด้วย
ความประสงค์ของมันเทียบเท่ากับความประสงค์ของนรก
แต่ทว่า
คนภายนอกมักมองเห็นไม่เด่นชัด คล้ายกับหลักการการก่อสร้างแผงบังลมทั้งสองด้านของทางหลวงเพิ่มมากขึ้นเอาไว้กั้นบ้านน่าเกลียดสองฝั่งข้างถนนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
มีเพียงคนวงในเท่านั้นถึงสัมผัสได้ว่ารากฐานใต้ฝ่าเท้าตัวเองยังมั่นคงดีอยู่หรือไม่
ผู้ตรวจสอบ โดยเฉพาะผู้ตรวจสอบที่ทำงานในยมโลก ถือเป็นผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง
โจวเจ๋อติดต่อสัมผัสไม่กี่ครั้ง ทนายอันก็เอาแต่ตะโกนว่า ‘พายุมาแล้วๆ’ ทั้งวัน เฝิงซื่อเอ๋อร์ไปทำธุระให้บุคคลสำคัญในนรกโดยไม่ลังเล แต่ที่จริงแล้วพวกเขาได้เลือกแล้วและมีคนมากมายเลือกแบบเดียวกับพวกเขา ก่อนที่เรือลำนี้จะจม ทุกคนล้วนมองหาห่วงยางชูชีพของตัวเองกันทั้งนั้น
ผู้เฒ่าจางควบม้าทะยานไปข้างหน้าต่อ เข้าไปจากตรงกลางพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ข้างในมีก้อนหินใหญ่เรียงทับซ้อนกันอยู่ ในรอยแยกอันมืดมิดทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามอง ซึ่งมันน่าอึดอัดมาก
ผู้เฒ่าจางลงจากม้าและนั่งลง เอื้อมมือไปกุมหน้าท้องของตัวเอง ตรงบริเวณนั้นยังมีแสงสีม่วงจางๆ เขาได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้
เขาเข้าร่วมการต่อสู้กับผู้แปรพักตร์ แต่ล้มเหลว ถ้าเกิงเฉินไม่ปล่อยเขาไป เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้
เขาเป็นคนที่บอกเกิงเฉินว่าร้านหนังสือในทงเฉิงสามารถแก้ปัญหานี้ได้ อย่างน้อยก็มอบปัญหานั้นไว้ในมือของผู้ที่สามารถควบคุมมันได้
เพียงแต่ว่า ต่อมาผู้เฒ่าจางพยายามส่งข้อความจากนรกไปยังพิกัดของร้านหนังสือแดนมนุษย์ กลับไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะมันบังเอิญประจวบเหมาะกับที่ตอนนั้นทนายอันและคนอื่นๆ ยังอยู่ที่หรงเฉิงและยังไม่กลับมา
ตอนนี้ เขาไม่สามารถช่วยเหลือส่วนที่เหลือได้ เหตุผลที่ควบม้ามาที่นี่อย่างสุดกำลัง ก็เป็นเพราะอยากจะเห็นว่าสถานการณ์ที่นี่เสียหายไปถึงขั้นไหน
ชาติก่อนผู้เฒ่าจางก็มีแรงเหลือล้น หลังตายกลายเป็นผีก็นิสัยเดิมไม่เปลี่ยน ในขณะที่ทุกคนล้วนเลือกถอยหลัง เขากลับเลือกเผชิญหน้ากับความตาย
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของยมโลก หากเกิดปัญหาอะไรที่นี่อีก พวกแก่หนังเหนียวเหล่านั้นพรวดพราดออกมาอีก คาดว่าถนนเส้นทางแห่งความตายฝั่งนั้นคงต้านเอาไว้ไม่อยู่
พระกษิติครรภโพธิสัตว์ถูกขังให้ประทับอยู่ในอุโบสถที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างสันโดษ จากที่ตั้งของภูเขานั้น ได้ยินเพียงสียงฟ้าร้องคล้ายกับเสียงกรนของตี้ทิงบางครั้งบางคราเท่านั้น
ส่วนตำหนักสิบพระยม พระยมผิงเติ่งหวังลู่ตายไปแล้ว ตำหนักเก้ายังคงว่างเปล่า เมื่อไม่นานมานี้ว่ากันว่าผู้พิพากษาแซ่ลู่อยากสานต่อรับตราประทับและจัดระเบียบตำหนักเก้าเสียใหม่ แต่ก่อนที่เรื่องราวจะเสร็จสิ้น ตัวเขาเองและพวกพ้องของเขาถูกสังหารฝังกลบขณะสยบนรกอนันต์ภายใต้เขตอำนาจตำหนักเก้า
พระยมเก้าองค์ที่เหลือก็เลิกดูแลจัดการเรื่องต่างๆ อีก ความเฉยเมยของผู้อยู่ระดับสูง ความตื่นตระหนกของผู้อยู่ระดับกลาง ส่งผลให้เครื่องจักรสง่างามแต่เดิมนี้ประสบปัญหาใหญ่ในที่สุด
ผู้เฒ่าจางพักครู่หนึ่งแล้วเดินเขาไปอีกระยะหนึ่ง เขาหยุดอยู่ใต้กำแพงที่พังทลาย
เขาตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นทั้งหมดตรงหน้า
ใช่แล้ว เขาผิดแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่ายมโลกบ้าบอมาจนถึงขั้นนี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่แต่ยังไม่ส่งใครมาอีก
ที่จริงแล้วนั้น ได้ส่งคนมาแล้ว เพราะบนกำแพงที่นี่เต็มไปด้วยซากศพ
ตรงกลางสุดนั้น เป็นชายสวมชุดข้าราชการสีแดงถูกตรึงไว้บนกำแพงหิน จิตวิญญาณแห้งเหือดไปนานแล้ว แต่ยังคงสภาพเดิมไว้อยู่
เหมือนกับคนที่กินกุ้งเก่งจริงๆ ที่สามารถกินเนื้อกุ้งจนหมดแต่ยังคงสภาพเปลือกกุ้งไว้เหมือนเดิม
ผู้เฒ่าจางรู้จักคนผู้นี้ เขาเป็นผู้พิพากษาภายใต้บังคับบัญชาของพระยมฉู่เจียงหวังตำหนักที่สอง มีนิสัยชอบใช้รุนแรงและโหดร้ายต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมาก แต่กลับได้รับการชื่นชมอย่างสูงจากพระยมชูเจียงหวัง
จริงๆ แล้วระบบของยมโลกนั้นเรียบง่ายมาก เดิมทีตำหนักพระยมทั้งสิบเทียบเท่ากับสิบกษัตริย์ปกครองเมือง ซึ่งแต่ละแห่งได้จัดตั้งหน่วยงานรัฐ มีอาณาเขตและเขตอำนาจปกครองของตนเอง ขณะเดียวกันยังมีระบบทหารราชการภายใต้การบังคับบัญชาของตนด้วย
แต่ก็มีระบบกลางรับผิดชอบดำเนินงานส่วนรวม จำนวนคนในระบบนี้มีมากที่สุด ความรับผิดชอบมากที่สุด แต่ก็เป็นระบบที่มีอำนาจน้อยที่สุดเช่นกัน
ผู้เฒ่าจางจัดอยู่ในระบบนี้ ทนายอันและเฝิงซื่อเอ๋อร์ในตอนแรกก็อยู่ในระบบนี้เช่นกัน บางคนอยากย้ายไปอยู่ตำหนักสิบแต่กลับไม่มีที่ว่างเลย แน่นอนว่ามีคนไม่น้อยชอบความเงียบสงบและเวลาว่าง
ศพของผู้พิพากษาถูกตรึงติดกับกำแพงหิน ส่วนด้านข้างนั้น ยังมีซากศพผู้ตรวจสอบสวมชุดข้าราชการมากกว่ายี่สิบคนและยมทูตผู้จับกุมอีกหลายร้อยคน เหมือนถูกสร้างเป็นชิ้นงานตัวอย่าง ตรึงไว้ที่นี่อย่างประณีต
กองทหารกองกำลังกลุ่มนี้น่าจะถูกยมโลกส่งมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ของผู้แปรพักตร์ ผู้เฒ่าจางประเมินเวลาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของเขา หลังจากคำนวณแล้ว คนกลุ่มนี้ควรจะมาจะมาที่นี่เร็วกว่านี้อีกหน่อย แต่สุดท้ายก็ถูกกวาดล้างไปจนหมด
ผู้เฒ่าจางไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใด กลับกันนับตั้งแต่เขาลงมา ตระกูลเหล่าจางล้วนมีประเพณีอันรุ่งโรจน์ เขาไม่รังเกียจที่จะรุ่งโรจน์อีกครั้ง เพียงแค่สงสัยเอามากๆ ส่วนหนึ่งต้นกำเนิดหาวจื้อที่ก่อความวุ่นวายในครั้งนี้ถูกผู้แปรพักตร์พาออกไป เช่นนั้น คนที่เข่นฆ่าสังหารเจ้าหน้าที่ทางการยมโลกที่นี่ต่อเป็นใครกัน
ดินแดนผนึกสุดตะวันตกดูไม่เหมือนคุกเข้าไปทุกวันแล้ว คล้ายกับจัตุรัสบันเทิงเสียมากกว่า ใครๆ ก็สามารถเข้าออกได้ กระทั่งเต้นสแควร์แดนซ์ได้ด้วย
ผู้เฒ่าจางไม่ได้เดินกลับไปแต่เข้าไปข้างในต่อ ตำแหน่งใกล้ๆ และตื้นเขินที่สุดมีศพหลายร้อยศพเกลื่อนอยู่ตรงนั้น หนึ่งในนั้นมีผู้พิพากษาที่ผู้เฒ่าจางรู้จักด้วย
ผู้พิพากษาผู้นี้แซ่เฉิน มีบุคลิกนิสัยแกร่งกร้าวและซื่อตรง เคยวิจารณ์เรื่องอาหารมังสวิรัติของตำหนักทั้งสิบในที่สาธารณะมากกว่าหนึ่งครั้ง วิจารณ์พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทำลายรากฐานของยมโลก ตะโกนว่าคานบนไม่ตรงและคานล่างคดอีกต่างหาก
จากนั้นเขาโดนเตะเหมือนลูกบอล เตะมาอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นหัวหน้ากองกำลังรักษาการณ์ดินแดนสุดตะวันตกยมโลกก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น
ผู้แปรพักตร์ปรากฏตัวขึ้น แต่เขาไม่ได้ทรยศหลบหนี เขาจึงเสียชีวิต
กลุ่มคนที่ไม่เต็มใจแปรพักตร์ก็ถูกฆ่าตายไปด้วยกัน
ผู้เฒ่าจางถอนหายใจ หยิบขวดสุราที่พกติดตัวราดมันลงบนพื้น สุราของนรก มีฤทธิ์ทำให้จิตวิญญาณมึนเมา เขาไม่ได้ทำพยายามแสดงความเคารพต่อใคร และไม่ได้อยากจะแสดงละคร ถึงอย่างไร บางทีสุราอาจจะยังไม่แห้งเหือดก็ได้ อีกเดี๋ยวเขาต้องอธิบายเรื่องนี้ จึงใช้เป็นสุราเซ่นไหว้ให้ตัวเองล่วงหน้าแล้วกัน
“ฮือๆๆ…” เสียงร้องคร่ำครวญดังมาเรื่อยๆ แยกออกได้ยากว่าเป็นเสียงลมภูเขาหรือเป็นเสียงสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวได้จริงๆ ที่ร้องโหยหวนเพราะทนความโดดเดี่ยวไม่ได้
สิ่งเดียวที่มองเห็นได้ คือชั้นหมอกสีเลือดจางๆ เหนือศีรษะ ตลบอบอวลและแผ่ซ่านแพร่กระจาย ราวกับอสูรดุร้าย อ้าปากเปื้อนไปด้วยเลือดของมันและค่อยๆ กลืนอาหารชิ้นใหญ่นี้เข้าปากตัวเอง
ผู้เฒ่าจางมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นอกเสียจากท้องฟ้าเหนือศีรษะดูเหมือนจะเปลี่ยนสี
ผู้เฒ่าจางก้าวไปข้างหน้าต่อเรื่อยๆ จนมองเห็นโพรงถ้ำใหญ่ ปากถ้ำเรียบลื่นมาก
นี่คือจุดที่ผนึกถูกทำลาย มีร่องรอยของการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวมุดออกมา!
แต่ทว่า
หลังจากเข้าไปใกล้มากขึ้น ผู้เฒ่าจางกลับพบว่าเดิมทีนึกว่าในหุบเขาด้านนอกปากถ้ำเป็นเศษหินแตกละเอียดทั้งผืน ตอนนี้ถึงได้พบว่ามันดันเป็นครึ่งหนึ่งของงูเหลือมยักษ์ เพราะว่าผิวหนังและเนื้อเสื่อมสลายไปนานแล้ว เหลือเพียงกระดูกสีเดียวกันกับหิน ดังนั้นในตอนแรกจึงแยกออกได้ยากมาก
บนกระดูกยังมีร่องรอยของอักขระเหลืออยู่ นี่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยออกมาอาละวาดในนรกเช่นกัน เพียงแต่ในเวลานี้กลับตกตายอยู่ที่นี่
เช่นนั้น โพรงถ้ำนี้ก็น่าจะตอนที่มันทำลายผนึกแล้วมุดออกมาสินะ
ในเมื่อมันทำลายผนึก แล้วมันจะตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ผู้เฒ่าจางไม่เข้าใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนถูกทหารรักษาการณ์ข้างนอกและเจ้าหน้าที่ทางการที่เพิ่งมาถึงสังหาร ไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าจางดูถูกพวกเขา แต่…
ผู้พิพากษาคนหนึ่งนำกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางการมาเฝ้าดูสถานการณ์ และทำให้สถานการณ์คงที่ แต่อยากให้พวกเขานำทีมลุยเดี่ยวสังหารอสูรร้ายโบราณ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านั้นตายหมดแล้ว คงจะไม่พูดว่าพาพวกเขามาตายที่นี่ด้วยกันใช่หรือไม่
งูยักษ์ตัวนั้นตรึงพวกเขาไว้บนกำแพงหิน ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าสูญเสียจุดมุ่งหมายในชีวิตหลังจากออกมา จึงฆ่าตัวตายหรือ
ผู้เฒ่าจางตีลังกาจากตัวงูเข้าไปจนมาถึงทางเข้าปากถ้ำ จู่ๆ เขาก็พบว่า ตรงปากถ้ำมีรอยเท้าขนาดยักษ์หลายรอยปรากฏขึ้น เมื่อครู่นี้มองจากระยะไกล ทั้งรอยเท้าและหินปะปนกันจนทำให้แยกแยะยาก หลังจากเข้าไปใกล้ๆ แล้ว ส่วนที่จมและส่วนหินที่แตกหัก กลับสามารถแยกร่องรอยของรอยเท้าได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่างูไม่มีรอยเท้า
ผู้เฒ่าจางเพียงรู้สึกศีรษะชาวาบเล็กน้อย สรุปว่าอสูรร้ายทำลายผนึกออกมาแล้วกี่ตัวกันแน่ อีกทั้งพลังเหลือล้นจนถึงขนาดสามารถเล่นละครห่ำหั่นกันเองหรือ
ผู้เฒ่าจางเดินเข้าไปข้างใน เขาปล่อยวางและหมดสนุกไปแล้ว ไปทุกที่ที่มีอันตราย เมื่อคนๆ หนึ่งไม่สนใจชีวิต ก็จะปราศจากความกลัวอย่างแท้จริง
เดินเข้าไปได้สักพักก็พบว่าถ้ำนี้ค่อนข้างลึก ยิ่งเดินเข้าไปข้างในก็ยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจอับชื้น คลื่นความร้อนอากาศพัดพาออกอย่างต่อเนื่อง
ผู้เฒ่าจางทรงตัวมั่นคงและเดินไปตามกำแพงหินต่อเรื่อยๆ
ไม่นานนัก เขามองเห็นโลงศพนอนอยู่ตรงกลางส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ!
มันเป็นโลงศพสีม่วงแวววาวที่ถูกซ่อนไว้ภายใน แค่เหลือบมองก็ทำให้ผู้คนปรารถนาที่จะยอมแพ้
ผู้เฒ่าจางจำต้องหลบเลี่ยงบริเวณที่มีโลงศพอยู่ เขากังวลจริงๆ ว่าตัวเองจะคุกเข่าต่อหน้าโลงศพไม่ได้จริงๆ
แต่ทว่า
เมื่อเขาฝืนเบนสายตามองไปอีกด้านหนึ่งลึกๆ ไกลๆ ก็มองเห็นวานรยักษ์ตัวหนึ่งนั่งหมอบพลางหลับตาอยู่ตรงนั้น คล้ายกับกำลังหลับใหลในห้วงนิทรา ลมหายใจอุ่นๆ ที่เขาสัมผัสได้ตอนที่เข้ามาก่อนหน้า คือลมหายใจของวานรตัวนี้!
เช่นนั้น คนที่ฆ่างูเหลือมยักษ์ตรงปากถ้ำและทิ้งรอยเท้าไว้เป็นวานรตัวนี้หรือ
ใต้ร่างวานรยังมีแผ่นป้ายหินสีม่วงและมีตัวอักษรที่แข็งแกร่งและเรียบง่ายสลักอยู่บนนั้น
‘สถานที่พำนักแห่งไท่ซาน’
ผู้เฒ่าจางเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง ยมโลกเคยขุดหลุมศพของไท่ซานฝู่จวินหลายรุ่น กระทั่งโลงศพของพวกเขาถูกใช้เป็นอาวุธสงครามเพื่ออัญเชิญวิญญาณคนตายกลับมา แต่มีไท่ซานฝู่จวินสององค์ที่ไม่ยอมทิ้งหลุมศพเอาไว้
หนึ่งคือ ไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้าย เขาหายตัวไป
อีกหนึ่งคือ ไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรก ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกฝังอยู่ที่ไหน
แท้จริงแล้ว หลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกยุติยุคสมัยนรกปั่นป่วนในอดีตผนึกยักษ์อาละวาดไว้ที่นี่ ก็ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของพระองค์ด้วยนี่เอง!
……………………………………………………………….